‘สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน’ ดันเปิดหลักสูตรผู้บริหารธุรกิจฯรุ่นที่ 2 ด้าน ‘อุปทูตจาง’ ย้ำสัมพันธ์พี่น้องมีอนาคตร่วมกัน ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกผันผวน ไม่แน่นอน ชู ‘3 โอกาสทอง’ ผนึกเสริมแกร่งร่วมมือ
วันที่ 14 มิถุนายน 2568 ที่โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กทม. สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ได้จัดพิธีเปิดการศึกษา หลักสูตรผู้บริหารธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 2 (บจท.2) และหลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 2 (Young Executive Program 2) เมื่อวันที่13มิ.ย. โดยมีกรรมการบริหารสมาคมฯ สื่อมวลชน ผู้บริหาร และผู้เข้าเรียนในหลักสูตรกว่า 150 คนเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง
โดยนายกำพล มหานุกูล นายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ได้ กล่าวว่า หลักสูตรนี้จัดขึ้นโดยสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ร่วมกับสถาบันสื่อและบริหารธุรกิจไทย-จีน และหอการค้าไทย-จีน โดยได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และรายการจับจ้องมองจีน China Media Group ซึ่งหลักสูตรนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจในด้านธุรกิจระหว่างไทยและจีน รวมถึงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในอนาคต ภายใต้บริบทของความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายในเวทีโลก
นายกำพล กล่าวถึงความสำคัญของหลักสูตรผู้บริหารธุรกิจไทย-จีนว่า เป็นเวทีสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างองค์ความรู้และความเข้าใจในบริบทธุรกิจระหว่างไทยและจีนอย่างลึกซึ้ง ทั้งในด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ กฎหมาย และโอกาสทางธุรกิจ ตลอดจนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างผู้บริหารและผู้ประกอบการ เพื่อผลักดันความสัมพันธ์และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศให้มั่นคงและยั่งยืนในอนาคต ดังนั้นพิธีเปิดหลักสูตรผู้บริหารธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 2 ในครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการเปิดโอกาสทางการศึกษาและพัฒนาศักยภาพผู้บริหารเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือและมิตรภาพที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยและจีน ที่พร้อมก้าวไปข้างหน้าร่วมกันในโลกยุคใหม่อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ด้านน.ส.จาง เซียวเซียว อุปทูตฝ่ายเศรษฐกิจและการค้าประจำสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรม พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ความร่วมมือไทย-จีนในยุคความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก” โดยถ่ายทอดสารจากท่านทูตหาน จื้อเฉียง ที่เน้นย้ำความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนในฐานะ “พี่น้องที่มีเชื่อมโยงกันด้วยแม่น้ำ ภูเขา และอนาคตที่มีร่วมกัน” ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และการทูตที่แนบแน่นระหว่างสองประเทศ
น.ส.จาง กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลกว่า เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน รวมถึงผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน แต่ไทยและจีนยังคงเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่สำคัญและมีความร่วมมือที่แข็งแกร่งในหลายด้าน โดยจีนยังคงเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย และเป็นผู้นำเข้าสินค้าเกษตรรายใหญ่ เช่น ทุเรียน ซึ่งมูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศในปี 2567 สูงถึง 1.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 ขณะที่บริษัทจีนลงทุนในไทยผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มากถึง 5 แสนล้านบาท โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และดาต้าเซ็นเตอร์ ที่ช่วยเสริมศักยภาพการผลิตของไทยในระดับภูมิภาค
อุปทูตฯจีน กล่าวอีกว่า สำหรับ3โอกาสสำคัญที่ไทยสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกับจีนได้ในยุคที่เศรษฐกิจโลกผันผวน ได้แก่ 1. โอกาสจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน ซึ่งจีนเป็นคู่ค้ากับกว่า 150 ประเทศทั่วโลก และมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจคิดเป็น 30% ของการเติบโตทั่วโลก โดยในปีที่ผ่านมา จีนมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศมากถึง 64 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 83 สะท้อนถึงศักยภาพและโอกาสทางเศรษฐกิจที่เปิดกว้าง นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังส่งเสริมอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนและจัดตั้งเขตนำร่องเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า เช่น การยกเว้นภาษีสำหรับประชาชนจีนในการนำเข้าสินค้าไม่เกิน 26,000 หยวนต่อปี รวมถึงนโยบายจูงใจการลงทุนในมณฑลต่างๆ เช่น มณฑลไห่หนานที่เป็นเขตปลอดภาษีสำหรับสินค้านำเข้า 2. โอกาสจากความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมสีเขียวและเศรษฐกิจดิจิทัล โดยมีบริษัทจีนกว่า 1,000 แห่งดำเนินธุรกิจในไทยในภาคการผลิตและอุตสาหกรรมสีเขียว รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าและดาต้าเซ็นเตอร์ บริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่มีพาร์ทเนอร์ไทยและจ้างแรงงานไทยไม่น้อยกว่า 75% ซึ่งหลายแห่งมีสัดส่วนแรงงานไทยสูงถึง 90-99% อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายด้านวัฒนธรรมการทำงานที่แตกต่างกัน ซึ่งจีนได้แนะนำให้บริษัทจีนปรับตัวให้สอดคล้องกับบริบทของไทยเพื่อสร้างความร่วมมือที่ยั่งยืน และ 3.โอกาสจากการสร้างประชาคมไทย-จีนที่มีอนาคตร่วมกัน โดยจีนยังคงยึดมั่นนโยบายเปิดประเทศอย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิดกว้างทางเศรษฐกิจและต่อต้านมาตรการกีดกันทางการค้า รวมถึงการจัดงาน China International Import Expo (CIIE) ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้พบปะกับคู่ค้าจีนโดยตรง อุปทูตจีนยังเน้นย้ำว่าความร่วมมือระหว่างประเทศที่ยึดหลักกติกาจะนำไปสู่สันติภาพและความยั่งยืนในสังคมโลก
“มิตรภาพของสองประเทศคือคำตอบของสันติภาพและสังคมที่ยั่งยืน สะท้อนถึงความตั้งใจของไทยและจีนในการเดินหน้าความร่วมมือท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” น.ส.จาง กล่าว
ขณะที่นายชิบ จิตนิยม สมาขิกวุฒิสภา(สว.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การต่างประเทศ วุฒิสภา และเลขาธิการสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ได้กล่าวในระหว่างการบรรยายพิเศษหัวข้อ “ไทย-จีน ความสัมพันธ์ 50 ปี” โดยอ้างคำพูดของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อครั้งที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเยือนจีนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน สามารถย้อนกลับไปได้หลายพันปี โดยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจน เช่น เครื่องถ้วยชามและศิลปวัตถุที่พบในบริเวณประเทศไทยซึ่งเป็นศิลปะแบบจีน รวมถึงลักษณะทางภาษาที่คล้ายคลึงกันในบางมณฑลของจีน เช่น กว่างสี
นายชิบ ยังกล่าวถึงความพยายามในการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีนในยุคปัจจุบันที่มีความท้าทายจากสถานการณ์สงครามในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ลาว และกัมพูชา รวมถึงความหวาดกลัวภัยคอมมิวนิสต์ในช่วงยุคจอมพลแปลก พิบูลสงคราม และจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งมองจีนเป็นภัยคุกคาม แต่ก็มีบุคคลและกลุ่มบุคคลจำนวนไม่น้อยที่เล็งเห็นว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงความเป็นมหาอำนาจของจีนได้ จึงพยายามติดต่อกับจีนทั้งในทางลับและเปิดเผย โดยเฉพาะบทบาทสำคัญของสามตระกูล คือ ตระกูลชุณหะวัณ โดยอดีตนายกรัฐมนตรีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เจ้าของวลีอมตะที่ว่า "ไทยจีนใช่อื่นไกล พี่น้องกัน" ตระกูลพัธโนทัย และตระกูลใบหยก ซึ่งเรื่องราวของบุคคลและตระกูลเหล่านี้ถือเป็นบทเรียนที่ควรค่าแก่การศึกษาอย่างยิ่งในการวางรากฐานความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างไทยและจีนในปัจจุบัน
นายชิบ กล่าวด้วยว่า ความสัมพันธ์อันดีนี้ ไม่เพียงแต่เป็นรากฐานทางประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ความร่วมมือระหว่างไทยและจีนในปัจจุบันมีความมั่นคงและยั่งยืน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า และวัฒนธรรม สะท้อนถึงมิตรภาพที่ลึกซึ้งและยาวนานระหว่างสองประเทศ
/////
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี