นายกฯกำชับเข้ม
ใช้งบ1.57แสนล้านกระตุ้นศก.
ต้องไร้ทุจริต/รอบคอบ/คุ้มค่า
“นายกฯอิ๊งค์” นั่งหัวโต๊ะ ประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจงบ 1.57 แสนล้าน ย้ำต้องรอบคอบ ตรวจสอบได้ ต้องไม่เกิดทุจริต กระจายเม็ดเงินลงสู่ปชช. ชี้ต้องประหยัด คุ้มค่า เกิดผลสำเร็จ “อนุทิน”ไร้กังวลหลังจ่อนั่ง“ฝ่ายค้าน”ชี้สตง.เตือน สถ.ใช้งบกระตุ้นศก. 1.57 แสนล้าน เชื่อเป็นสิ่งดี จะได้ระวัง ชี้“มท.1 คนใหม่” มา คงสั่งการให้ดี ไม่ซ้ำรอยในอดีต‘สุริยะ’เชื่อ ก.คลัง มฝ่ายก.ม.กลั่นกรองโครงการ ‘จุลพันธุ์’เผย สตง.เตือน สถ.ห่วงสุ่มเสี่ยงทุจริตคอร์รัปชั่น-ล็อคสเปค ยังมีอีกหลายด่าน
เมื่อเวลา 14.20 น.วันที่ 18 มิถุนายน 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 3/2568 โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรมว.คมนาคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
ทั้งนี้นายกฯกล่าวเปิดการประชุมว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยมีปัญหาเรื่องของอัตราการขยายตัวที่ต่ำกว่าคุณภาพ สัดส่วนการลงทุนของภาครัฐภาคเอกชนเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ก็อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ประเทศต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่สะสมมานาน เราจึงจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างโดยรวม เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้งหนึ่ง เครื่องมือที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว คือ เงินงบประมาณ โดยเฉพาะงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งมีอยู่จำนวน 157,000 ล้านบาท
“กระทรวงการคลังจึงได้เสนอแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.)ไปเมื่อวันที่ 20 พ.ค.2568 ซึ่งครม.ได้เห็นชอบเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นหน่วยงานต่างๆก็ได้เสนอโครงการเข้ามา เพื่อขอรับงบประมาณ และทางกระทรวงการคลัง โดยมีคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีรมว.คลัง เป็นประธาน ทำหน้าที่กลั่นกรองโครงการต่างๆ ตามหลักเกณฑ์ ตามที่ครม.เห็นชอบไปแล้ว และนำมาเสนอในคณะกรรมการชุดนี้ ให้ร่วมพิจารณาด้วยกัน”นายกฯ ย้ำ
“วันนี้จึงขอทุกท่านช่วยกันพิจารณาข้อเสนอโครงการตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างรอบคอบและปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะระเบียบกำกับ ตามพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง และพ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ ให้รอบคอบ ตรวจสอบได้และไม่เกิดการทุจริต เพื่อให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจเกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ต่อระบบเศรษฐกิจและพี่น้องประชาชน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อไป โดยคำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่าและผลสำเร็จ” นายกฯ กล่าวทิ้งท้าย
ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีหลังสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น(สถ.)ถึงการใช้งบ 1.57แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจว่าเป็นการดำเนินการที่เร่งด่วนสุ่มเสี่ยงที่จะเปิดช่องให้เกิดการเรียกรับผลประโยชน์ว่าตนไม่ต้องกังวลอะไรเรื่องนี้แล้ว และเพิ่งได้รับรายงานมาเมื่อเช้า คิดว่าหาก รมว.มหาดไทยท่านใหม่ เข้ามา ก็คงดูและสั่งการให้ดี เพราะจะไปซ้ำรอยที่เคยมีหนังสือเตือนโครงการเมื่อหลาย 10 ปีที่แล้ว
เมื่อถามว่า ใช่โครงการรับจำนำข้าวหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า มีหนังสือเตือนเรื่องนี้อยู่ พอมีปัญหาขึ้นมา หนังสือเตือนก็จะเป็นตัวชี้ว่าได้มีการเตือนแล้ว และเป็นตัวชี้ความผิดขึ้นมา ส่วนตัวคิดว่าดีที่ได้รับการเตือนมาก่อน เพื่อที่ใครเป็นผู้รับผิดชอบจะได้ระมัดระวัง ซึ่งครั้งที่แล้วอาจจะไม่ได้ระวัง ครั้งนี้จะต้องระวังให้มาก
เมื่อถามว่า เดิมส่วนตัวกังวลเรื่องนี้ใช่หรือไม่ แต่พอมีข่าวว่าจะปรับไปเป็นฝ่ายค้านจึงไม่กังวล นายอนุทินกล่าวว่า เราไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแล เชื่อว่ายุคนี้สมัยนี้ คงไม่เหมือนกัน สมัยนี้คนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงบประมาณ ก็ถอนเรื่องที่ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ได้รับอนุมัติงบประมาณวงเงิน5.1หมื่นล้านบาท จากงบกลางปี2568เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง และฝนทิ้งช่วง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดี ต้องขอบคุณหน่วยงาน ที่มีหน้าที่เตือนเพราะแม้เราจะมีเจตนาที่ดี แต่บางครั้งอาจจะทำไม่ละเอียด อาจเป็นปัญหาภายหลังได้
เมื่อถามว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ก็รับเรื่องการใช้งบประมาณปี 2568 ส่อขัดรัฐธรรมนูญมาตรา144ที่แปลงยอดชำระเงินกู้มาเป็นงบกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการเงินหมื่นแต่ต่อมาเปลี่ยนเป็นงบจัดสรรให้โครงการต่างๆของอปท.ทั่วประเทศฉะนั้นในส่วนของงบกระตุ้นเศรษฐกิจ1.57แสนล้านบาทจะต้องกังวลด้วยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า คิดว่าอย่าไปใช้คำว่า กังวล ต้องระมัดระวัง ทำทุกอย่างด้วยความโปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมายก็จะไม่มีอะไร เพราะหน่วยงานต่างๆ เพียงแค่เตือนมาให้ดูแลให้ดีไม่ได้บอกว่าโครงการที่ทำโกงแล้ว ซึ่งที่ผ่านมา ตนยังไม่ได้อ่านรายละเอียดคำเตือน ดูแค่ใบประหน้า
ขณะที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคมกล่าวถึงกรณีที่สตง.เตือนการใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ที่มีความเร่งรีบและอาจจะเสี่ยงเปิดช่องให้มีการเรียกรับผลประโยชน์ว่า เรื่องงบกระตุ้นเศรษฐกิจ ทางกระทรวงการคลังมีฝ่ายกฎหมายอยู่แล้วว่าเป็นโครงการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ในส่วนที่ สตง.เตือนมา เราก็จะคอยนำมาพิจารณาเป็นองค์ประกอบ ทั้งนี้ นายสุริยะไม่ตอบคำถามสื่อว่ากลัวซ้ำรอยโครงการเดิมๆ ที่สตง.เคยเตือนแล้วไม่ทำตามหรือไม่
ช่วงเช้า ที่รัฐสภา นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการสำนักตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ส่งหนังสือถึงอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น(สถ.)เกี่ยวกับการเสนอโครงการและคำของบประมาณเพื่อดำเนินการตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ว่า เป็นการเตือน สถ. ว่ากระบวนการที่ทำ เปิดให้มีการยื่นคำขอเพียงแค่สามวัน มันอาจจะสุ่มเสี่ยงการทุจริตคอรัปชั่น หรือล็อกสเปกได้ จึงแสดงความเป็นห่วง ก็ให้ไปดูรายละเอียดในตัวเงินว่างบประมาณที่ขอมามีความโปร่งใสหรือไม่อย่างไร
นายจุลพันธ์กล่าวต่อว่า ยังมีด่านของคณะอนุกรรมมาธิการการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เป็นประธาน ที่จะพิจารณาอย่างถี่ถ้วน และยังมีคณะที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานอีกชั้นหนึ่งและจึงเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี ยังถือว่ามีอีกหลายด้าน ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงบ่ายวันนี้ที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานไม่มีงบประมาณในส่วนของท้องถิ่นเข้าสู่ที่ประชุม ซึ่งคณะอนุ ได้ดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว คิดว่า ยังไม่พร้อม เพราะยังมีเรื่องของตัวเลขที่ไม่ตรงกันซึ่งการประชุมในวันนี้ไม่มีสะดุด เพราะที่ สตง.ได้เตือนมา ไม่ได้อยู่ในในเซตที่ได้ส่งเข้าไปในการประชุมบ่ายวันนี้
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 กล่าวถึงกรณีที่น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน(ปชน.) เสนอนับองค์ประชุมเมื่อคืนวันที่ 17 มิถุนายนจนทำให้องค์ประชุมล่มว่า การนับองค์ประชุม เป็นสิทธิของกมธ.ซึ่งได้ล้อเอาข้อบังคับการประชุมของสภามา แต่ต้องยอมรับความจริง เพราะเป็นเวลา 20.00 น.เศษแล้ว เราประชุมกันมาตั้งแต่ช่วงเช้า โดยไม่ได้หยุด บางท่านอาจจะติดภารกิจ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ในฐานะฝ่ายรัฐบาลมีหน้าที่การควบคุมซึ่งต้องเน้นย้ำความสำคัญของการประชุมงบประมาณ เพื่อให้ทุกคนอยู่ตลอดเวลา เพราะเราเห็นแล้วว่าเขาใช้เกมการเมืองนำหน้าเรื่องของประโยชน์การพิจารณางบประมาณ เมื่อนับองค์ประชุมแล้วองค์ประชุมไม่ครบ ก็ต้องปิดการประชุมทำให้ข้าราชการบางส่วนต้องเดินทางกลับ ซึ่งจริงๆ แล้วเมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมานั้น เราตั้งใจจะประชุมต่อให้จนถึง 22.00น.เป็นที่น่าเสียดาย
ขอฝากไปยังพรรคปชน.ว่าเวทีเรื่องของงบประมาณ เป็นเวทีที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายค้าน เป็นเรื่องการตรวจสอบการทำงาน ตรวจสอบงบประมาณที่ฝ่ายบริหารเสนอเข้ามา แน่นอนกมธ.ทุกคนมีหน้าที่ติดตามตรวจสอบงบประมาณให้รอบคอบ รัดกุมและเป็นประโยชน์ที่สุด เมื่อมีการนับองค์ประชุมทำให้เราสูญเสียเวลาไป สุดท้าย การพิจารณางบประมาณ มีกรอบเวลาที่ชัดเจนตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ที่ 105 วัน ซึ่งต้องเสร็จในกรอบนี้ ทำให้การที่เราจะพิจารณาลงรายละเอียดก็เสียเวลาไปก็เป็นที่น่าเสียดาย
”เพียงแต่ อย่าโยนความผิดทั้งหมดมาฝั่งเดียว หน้าที่การประชุมทุกฝ่ายต้องร่วมกันทำอยู่แล้ว เมื่อจะเดินเกมในเรื่องการนับองค์ประชุม ฝ่ายรัฐบาลเราพร้อม เพราะเราต้องขับเคลื่อนประเทศและเราเห็นประโยชน์ของงบประมาณที่จะลงไปสู่ประชาชน ต้องขับเคลื่อนให้ได้และอย่างไรต้องทำให้เสร็จตามเวลา“ นายจุลพันธ์ กล่าว
พร้อมยืนยันว่าจากนี้ไม่กังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ถือเป็นสิทธิ ถ้าเขาจะทำก็ต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องของคนให้ครบถ้วน หากเดินหน้าไม่ได้ ก็พักการประชุมและตัดเวลาในการพิจารณาออกไปในช่วงท้าย ก็ทำให้เสียเวลาในการตรวจสอบได้อีก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี