‘รวมพลังแผ่นดิน’ยื่นปปช.
ไล่บีเอาผิดรัฐบาล
โยกงบฯแจกเงินหมื่นดิจิทัล
หนี้5แบงก์3.5หมื่นล้าน
ชี้ผิดรธน.มาตรา144
ชงศาลสั่ง309สส.-สว.
ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
แกนนำกลุ่มรวมพลังแผ่นดินฯ หอบหลักฐานเพิ่มเติม ส่ง ป.ป.ช.เอาผิดรัฐบาล โยกงบหนี้ 5 ธนาคาร 3.5 หมื่นล้านบาท ไปแจกเงินหมื่นโครงการดิจิทัล ยกกฤษฎีกา มัด เข้าข่ายผิดมาตรา 114 อ.เจษฎ์ ชี้หากศาลฎีกา สั่ง สส.และ สว.หยุดปฏิบัติหน้าที่ ไม่เกิดสุญญากาศ เสนอ ทุกคนลาออก เปิดทางเลือกตั้งใหม่
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ นายสมชาย แสวงการ อดีต สว. นายเจษฎ์ โทณะวณิก นักกฎหมาย และนายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา เข้ายื่นหลักฐาน และเอกสารเพิ่มเติม ในคำร้องที่ยื่นก่อนหน้านี้ โดยขอให้ ป.ป.ช.เอาผิดคณะรัฐมนตรีนายเศรษฐา ทวีสิน และคณะรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร คณะกรรมาธิการงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 รวมถึง สส.และ สว.ที่มีมติสั่งตัดงบประมาณ รวม 35,000 ล้านบาท เพื่อไปใช้ในโครงการแจกเงินหมื่นดิจิตอล ซึ่งเข้าข่ายกระทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144
นายชาญชัย กล่าวว่า เอกสารหลักฐานที่นำส่งเพิ่มเติมให้ ป.ป.ช.ครั้งนี้ มีทั้งสิ้น 11 รายการ รวมกว่า 1,000 หน้า เป็นเรื่องเกี่ยวกับเงินที่กู้มาจากไหน ปี พ.ศ.อะไร และนำไปใช้เรื่องอะไร ปี 2567 มีงบประมาณดังกล่าวหรือไม่ ที่สำคัญมีเอกสารสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความเห็นและแนวทางการเสนอ และการเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่ระบุว่า ในการดำเนินการดังกล่าว ต้องปฏิบัติตามมาตรา 144 วรรคหนึ่ง และวรรคสองของรัฐธรรมนูญ 2560 และ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง 2561 โดยเคร่งครัด ซึ่งก็จะทำให้ ป.ป.ช.ได้เห็นข้อเท็จจริง และทำงานได้เร็วขึ้น ก่อนที่จะมีมติและส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงรายละเอียดการถกเถียงถึงเรื่องความผิดตามมาตรา 144 ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งอยู่ในรายงานการประชุมของสภาด้วย
นายชาญชัย กล่าวอีกว่า ได้นำหลักฐานต่างๆ มายืนยันให้กับ ป.ป.ช.ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงการทำผิดตามรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่าเป็นเหตุให้ถูกถอดถอนได้
“เป็นเรื่องของนักการเมืองที่ไม่เคารพกฎหมาย และ ครม.ที่เห็นแต่ได้ จะเอาเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ที่ตั้งอยู่ในงบประมาณที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎร วาระหนึ่งไปแล้ว อย่างนี้เป็นเรื่องการกระทำความผิดที่เห็นชัดเจนถึงได้มีการแก้บทบัญญัตินี้ให้มีความละเอียดขึ้น แม้แต่ ครม.ไม่ทำ แต่หากรู้แล้วไม่ยับยั้ง ก็จะถือเป็นความผิด ถูกถอดถอนด้วย จนเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ที่มีหนังสือของกฤษฎีกา ครม.ถึงมีมติว่าถ้าจะแปรเปลี่ยนประมาณในปี 2569 ให้ทุกหน่วยงานระมัดระวังอย่าให้ทำผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144ซึ่งตรงนี้เป็นกฎเกณฑ์ที่ออกโดย ครม.ก็เป็นการยืนยันว่าสิ่งที่เราได้ยื่นทั้งหมดเป็นเรื่องข้อกฎหมาย และได้มีพฤติกรรมการกระทำผิดไปแล้ว” นายชาญชัย กล่าว
นายชาญชัย กล่าวต่อว่า ประชาชนอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมีความผิด เนื่องจากเงินของทั้ง 5 ธนาคาร เช่น ธกส.เป็นเงินที่รัฐบาล สั่งไปกู้เงินมาเพื่อจำนำข้าว แล้วเอามาแจกเงินดิจิตอล ทำให้ไม่ได้นำเงินไปจ่ายหนี้ให้ ธกส.แต่หรือในส่วน ธอส.ทำโครงการบ้านเอื้ออาทร ส่วนธนาคาร SME ก็ทำหน้าที่สนับสนุนการกู้ดอกเบี้ยต่ำ ธนาคารออมสิน ก็เช่นเดียวกัน ส่วนธนาคารส่งออกและนำเข้า สนับสนุนในส่วนของดอกเบี้ยปล่อยเงินกู้ให้กับเมียนมา ซึ่งเป็นหนี้ที่รัฐมีนโยบายให้ 5 ธนาคาร ไปกู้ ดังนั้นจึงต้องจ่ายเงินชดเชย แต่เมื่อถึงเวลากลับไม่เอาเงินไปใช้หนี้ แล้วไปทำผิดกฎหมายซ้ำ โดยเอาไปแจกเป็นเงินให้ประชาชนเพื่อผลประโยชน์ในการหาเสียง และเอาไปแจก สส.และ สว.ที่พ้นวาระแล้ว เข้าข่ายผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตนเป็นอดีต สว.ที่ได้รับผลประโยชน์ด้วย แต่เห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ทั้งนี้ เชื่อว่า ป.ป.ช.จะชี้มูลและส่งศาลโดยเร็ว ขณะนี้เป็นเวลา 60 วันแล้ว จึงมานำเอกสารมายื่นเพิ่มเติม เพื่อช่วย ป.ป.ช.รวมทั้งติดตามความคืบหน้าในเรื่องนี้
ด้านนายเจษฎ์ กล่าวว่ากรณีมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าหากศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง รับพิจารณาเรื่องดังกล่าวจาก ป.ป.ช.จะมีผลให้สมาชิกรัฐสภา 309 คน ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ จะทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง ว่ามั่นใจจะไม่เป็นสุญญากาศ โดยมี 2 ทางออก คือ 1.สมมุติว่าหากศาลพิจารณาแล้วมีความผิดตามมาตรา 144 สุดท้ายจะเหลือแต่พรรคประชาชน เพียงพรรคเดียว ครม.ที่ทำผิดมาตรา 144 ไม่สามารถอยู่รักษาการได้ ปลัดกระทรวงต่างๆ ก็ต้องมาหารือกัน แล้วเลือกปลัดคนหนึ่ง ขึ้นมาทำหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะสามารถทำหน้าที่ไปได้เรื่อยๆ จนกว่าสภาฯ จะหมดวาระ แล้วจึงมีการเลือกตั้งใหม่
2.พรรคประชาชน ลาออก ขอย้ำว่าไม่เคยถามหาความรับผิดชอบของพรรคประชาชน หรือพรรคใดก็ตาม เพราะเรารู้ว่าเขาไม่มีความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น แต่การเสนอให้พรรคประชาชน ลาออก ก็จะทำให้ไม่มีสมาชิกสภาฯ เหลืออยู่ หรือถ้ามีใครบางคนเหลืออยู่ ก็ลาออก ซึ่งจะทำให้มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนผ่าน ไม่ใช่การปฏิวัติรัฐประหารเด็ดขาด แล้วก็ไม่ใช่ขอนายกฯ พระราชทานด้วย แต่จะต้องเปลี่ยนผ่านโดยมีการเลือกตั้ง ซึ่ง กกต.ก็อาจต้องถามไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ว่าแบบนี้จะใช้อำนาจทำหน้าที่ได้หรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็จะตอบมาว่าทำได้ แต่เมื่อไม่มีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญบังคับ ก็ต้องใช้ประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งเปลี่ยนผ่านด้วยการเลือกตั้งก็ให้ กกต.จัดการเลือกตั้ง โดยเมื่อครบวาระให้จัดการเลือกตั้งภายใน 45 วัน แต่กรณีนี้เทียบเคียงได้กับยุบสภาให้จัดการเลือกตั้งภายใน 45 วัน และไม่เกิน 60 วัน ก็จะไม่มีสุญญากาศ
“พวกคนที่บอกว่าที่ทำทั้งหมดนี้เพื่อจะทำให้เกิดสุญญากาศ เพื่อจะเปิดทางให้มีการรัฐประหาร คนพวกนั้นแหละต้องการที่จะให้เกิด เพราะจะได้ประโยชน์จากสิ่งที่พวกคุณพูด” นายเจษฎ์ กล่าวและว่า กรณีนี้สส.และ สว.ควรต้องเป็นผู้รักษาเงินแผ่นดิน แต่กลับไม่ทำหน้าที่ ประชาชนจึงต้องมารักษาเงินแผ่นดินกันเอง แล้วถ้าพวกคุณจะดื้อดึง ถูลู่ถูกัง อยู่กันต่อไป ถึงวันนั้นประชาชนก็จะเห็นว่าเศรษฐกิจสังคมเป็นอย่างไร แล้ววันหนึ่งคนก็จะกลับมาถามว่า นี่หรือคนที่อาสาเข้ามาเป็นตัวแทน ทำไมไม่ทำหน้าที่ ในขณะที่ประชาชนทั้งหลายทำหน้าที่ ดังนั้นการจะมาอ้างว่าเกิดสุญญากาศ จึงไม่เป็นความจริง ยืนยันว่าการเมืองยังคงดำเนินต่อไป มีทางออกให้ดำเนินการต่อไปได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี