‘พรรคปวงชนไทย’ คุย ‘ภาคีภาคท่องเที่ยว’ ผนึกจับมือเอกชน-จังหวัด ลงพื้นที่เร่งเครื่องโปรโมทท่องเที่ยวไทย แนะรีเซ็ทคุณภาพปลอดภัย สร้างมาตรฐานใหม่ทั้งระบบ มั่นใจเติบโตแข็งแกร่ง สร้างงาน-รายได้ ดึงเม็ดเงินเข้าประเทศ
เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2568 นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล ประธานสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทยในฐานะหัวหน้าพรรคปวงชนไทย นำทีมผู้บริหารพรรค พบหารือร่วมกับภาคีเครือข่ายภาคการท่องเที่ยวในหลายองค์กร ได้รับฟังปัญหาจากภาคอุตสาหกรรมธุรกิจการท่องเที่ยว พร้อมทั้งหาแนวทางแก้ปัญหาให้ตรงจุดและส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน เพื่อนำไปสู่การกำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของพรรคที่ให้ความสำคัญด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การสร้างงานสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชน
หัวหน้าพรรคปวงชนไทย เปิดเผยว่า มีโอกาสได้หารือและรับฟังข้อมูลจากกลุ่มภาคีเครือข่ายภาคธุรกิจการท่องเที่ยวโดยตรง ซึ่งได้รับข้อมูลเชิงลึกและร่วมหาแนวทางแก้ปัญหาด้านการท่องเที่ยว ซึ่งโจทย์ใหญ่ในวันนี้คือจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงไปจากเดิม จะต้องเร่งแก้ปัญหาดึงนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพกลับมาโดยเร็ว เพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างมาก ถือเป็นรายได้หลักที่สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศได้เร็ว ปัจจุบันนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทยมีการเปลี่ยนรูปแบบเป็นการเดินทางแบบกลุ่มเล็กมากขึ้นและไม่ค่อยใช้บริการบริษัทนำเที่ยวแล้ว ซึ่งพบว่านักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ
นายเอกสิทธิ์ กล่าวต่อว่า การจะฟื้นภาคท่องเที่ยวให้กลับมาเติบโตอย่างรวดเร็วได้นั้น ควรมีการงดเว้นภาษีให้กับธุรกิจการท่องเที่ยว พร้อมกับการส่งเสริมการลงทุนให้นักธุรกิจเข้ามาลงทุนสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ (Man-made Destination) เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้มีมากขึ้น เพิ่มช่องทางสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวใหม่ แบบ Man-made จะเป็นการเพิ่มศักยภาพความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามได้ สิ่งที่สำคัญจะต้องมีแพลตฟอร์มของคนไทยในการใช้แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว รับจองที่พัก ตั๋วเครื่องบิน การให้บริการรถเช่า ร้านอาหาร แหล่งช้อปปิ้งของคนไทย ผ่านแพลตฟอร์มคนไทย ให้บริการด้านการท่องเที่ยวแบบครบวงจรทั้งระบบ เพื่อควบคุมให้เม็ดเงินอยู่ในประเทศทั้งหมด โดยต้องทำควบคู่กับการพัฒนาบุคลากรภาคการท่องเที่ยว มัคคุเทศก์หรือไกด์นำเที่ยวคนไทยเข้ามารองรับ หากรีเซ็ททำให้การท่องเที่ยวทั้งระบบได้มาตรฐาน มีคุณภาพจะเกิดความปลอดภัย เชื่อมั่นว่า การท่องเที่ยวของไทยจะกลับมามีพลังที่แข็งแกร่งและสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงได้แน่นอน
“พรรคปวงชนไทย ให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องการสร้างงานสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นนโยบายหลักของพรรค เราพร้อมจับมือร่วมกับภาคีเครือข่ายการท่องเที่ยวทั้งระบบ สนับสนุนและผลักดันร่วมกับหน่วยงานท่องเที่ยวจังหวัดและส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยจะลงพื้นที่ไปดูปัญหาและหาแนวทางแก้ไขในลำดับต่อไป เพราะมองว่าการท่องเที่ยวเป็นตัวสร้างรายได้ให้ประเทศที่เร็วที่สุด แม้วันนี้ไม่ได้เป็นรัฐบาลแต่ในฐานะภาคเอกชน เราพร้อมใช้ศักยภาพและเครือข่ายทั้งหมดที่มี ร่วมผลักดันให้การท่องเที่ยวของไทยเติบโตอย่างแข็งแรง มีคุณภาพ มีความปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวและนักลงทุนกลับมา” นายเอกสิทธิ์ กล่าว
ด้านนายคมสรรค์ วิจิตรวิกรม อดีตโฆษกสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย แม้เป็นช่วงตกต่ำ แต่ก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียว หลายคนพูดว่าตลาดจีนไม่มาแล้ว ซึ่งไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงยังมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยต่อเนื่อง แต่มีการปรับเปลี่ยนแนวทางใหม่ ไม่ได้มาเป็นกลุ่มใหญ่แต่เลือกที่จะเดินทางมาเอง แบบไม่พึ่งพาบริษัททัวร์ ที่เรียกว่า F.I.T ท่องเที่ยวแบบอิสระ (Foreign Individual Tourism) ซึ่งโจทย์สำคัญคือเมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามาต้องเกิดความปลอดภัย เกิดความมั่นใจ และเม็ดเงิน จากธุรกิจการท่องเที่ยวต้องอยู่ในประเทศ ส่วนตัวมองว่า การที่กรุ๊ปทัวร์ขนาดใหญ่ลดลงเพราะภาครัฐลงมาตรวจสอบธุรกิจท่องเที่ยวให้ถูกต้องตามกฎหมายอย่างจริงจัง ทั้งโรงแรมที่พัก บริษัททัวร์ ร้านอาหาร ร้านขายของฝากต่างๆ ที่ไม่ใช่ของบริษัทคนไทย หรือ นอมินีนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะเป็นโอกาสในการรีเซ็ทการท่องเที่ยวของประเทศไทยใหม่ให้มีทั้งคุณภาพและความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
นายคมสรรค์ กล่าวด้วยว่า ตนขอเสนอให้ควรวางระบบการท่องเที่ยวให้ครบวงจรและเป็นของคนไทยตั้งแต่ขั้นตอนแรก คือการจองที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆต้องใช้แพลตฟอร์มของไทย เพื่อป้องกันเงินไหลออกต่างประเทศเพราะส่วนใหญ่การจองที่พักล้วนเป็นแพลตฟอร์มจากต่างประเทศทั้งสิ้น มากกว่านั้น “มัคคุเทศก์ หรือไกด์” ก็ต้องเป็นคนไทย ไม่ใช่ไกด์เถื่อนจากต่างประเทศ และโรงแรมที่พักต้องเป็นบริษัทคนไทยจริงๆ เพื่อให้การท่องเที่ยวมีคุณภาพ ผลประโยชน์ตกอยู่กับประเทศไทยมากที่สุดและจะสร้างความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวได้เพราะทุกอย่างตรวจสอบได้ทั้งหมด
“ท่องเที่ยวของไทยเรามีอัตลักษณ์ เอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร แม้จะค่อยๆโต แต่จะโตอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพ ส่วนตัวรู้สึกดีใจที่คุณเอกสิทธิ์ เข้าใจและให้ความสำคัญกับธุรกิจท่องเที่ยว วันนี้ภาคเอกชนธุรกิจท่องเที่ยว เราพร้อมที่จะร่วมลงพื้นที่ผลักดันให้เกิดขึ้นจริง วันนี้ภาคท่องเที่ยวจำเป็นต้องมีการปฏิวัติระบบใหม่ทั้งหมด หากควบคุมมาตรฐานได้จะเกิดการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ” นายคมสรรค์ กล่าว
ขณะที่นายสุรวัช อัครวรมาศ อดีตรองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(สทท.) และกรรมาธิการ(กมธ.)การท่องเที่ยว สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า เศรษฐกิจการท่องเที่ยวนำเงินเข้ามาในประเทศเหมือนกับการส่งออกที่สร้างรายได้เข้าประเทศ ควรจะมีการคืนภาษีให้กับบริษัทนำเที่ยวที่ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา ที่เรียกว่า “ภาษีส่งออกบริการ” และควรมีธนาคารหรือกองทุนเพื่อการท่องเที่ยวโดยตรง เข้ามาสนับสนุนทุนให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยว นอกจากนั้น ควรมีพิมพ์เขียวพัฒนาการท่องเที่ยว มีการดูแลรองรับทุกด้านของภาคการท่องเที่ยวทั้งระบบ สร้างมาตรฐานการท่องเที่ยวใหม่ ควรมี พ.ร.บ.มาตรฐานและความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ต้องมีมาตรฐานทั้งโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร สนามบินท่าเรือ โดยเสนอให้ไทยสร้างท่าเรือเริ่มต้น เป็นท่าเรือจุดเช็คอินเพื่อเดินทางด้วยเรือครุยส์ เรือสำราญเพื่อการท่องเที่ยว และสิ่งที่จำเป็นคือต้องพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยวรองรับการบริการให้มีคุณภาพด้วย ซึ่งในหลายเรื่องที่กล่าวมานั้น จำเป็นจะต้องมีการผลักดันออกกฎหมายผ่านสภาผู้แทนราษฎร ตนเชื่อว่านายเอกสิทธิ์ มีความตั้งใจมุ่งมั่นในเรื่องนี้ จะสามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี