ลั่นกองทัพทำถูกแล้ว/ชี้อะไรก็เกิดขึ้นได้
แม่ทัพ2ไม่ไว้ใจเขมร
สั่งเตรียมพร้อมไม่ประมาท
รุดบำรุงขวัญทหารแนวหน้า
ลงตัวถกGBCที่มาเลเซีย4ส.ค.
เปิดทางUNHCRดูเชลยศึก
“แม่ทัพภาคที่ 2”ลงพื้นที่ชายแดนเยี่ยมให้กำลังใจทหารแนวหน้า ชื่นชมความเข้มแข็ง ปกป้องอธิปไตย ลั่นเราทำถูกต้องแล้ว ย้ำผู้บังคับบัญชายืนเคียงข้าง ขออย่าประมาท อะไรเกิดได้ตลอดเวลา ด้านทัพฟ้าเตรียมบรรจุ AT-6 จำนวน 8 เครื่อง ใช้ภารกิจการโจมตีทางอากาศ ลาดตระเวนตรวจการณ์ในพื้นที่ชายแดน ขณะที่การประชุม GBC 4 สิงหาคม ลงเอยที่มาเลเซีย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ส.ค.68 ที่ผ่านมา พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) ได้ลงพื้นที่หน้าแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเพื่อให้กำลังใจกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำฐานปฏิบัติการต่างๆพร้อมมอบสิ่งของ ข้าวสาร อาหารแห้ง และให้โอวาทแก่กำลังพล โดยได้กล่าวขอบคุณ ในการปฏิบัติหน้าที่ ปกป้องอธิปไตย อย่างเข้มแข็งของทหารทุกนาย ยืนยันว่าพวกเราทำถูกต้องแล้ว พร้อมทั้งขอให้ทหารทุกนายตระหนักเสมอว่าระดับผู้บัญชาการทุกระดับ เคียงข้างอยู่เสมอ ขออย่าได้ประมาท พร้อมจะเกิดอะไรได้ทุกเวลา พร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมงและขอให้ติดตามข่าวสารด้วย ทั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 2 ได้พักค้างคืนอยู่กับทหารตามแนวชายแดน ตลอดทั้งคืน
ทบ.โต้ข้อกล่าวหาทำร้ายเชลยศึก
ขณะที่ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่ทหารไทยจับกุมและควบคุมตัวทหารกัมพูชา ภายหลังจากข้อตกลงหยุดยิง โดยกล่าวหาว่าไทยทำร้ายร่างกายอย่างไม่เป็นธรรม ก่อนส่งกลับ ว่า เป็นเพียงคำกล่าวหาบิดเบือนจากฝ่ายกัมพูชา และการหยุดยิงแบบฉับพลัน แต่สถานการณ์ความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธต่อกัน ยังไม่สิ้นสุดลงอย่างแท้จริง ตามกฎหมายสากล กระบวนการฝ่ายทหารในการควบคุมตัวไว้ก่อน จึงยังสามารถทำได้ ตามอนุสัญญาเจนีวา
พล.ต.วินธัย กล่าวต่อว่า ในส่วนของกองทัพบก มีแผนและพร้อมที่จะเชิญองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ICRC มาดูความเป็นอยู่ของเชลยศึกที่ถูกควบคุมตัว ซึ่งอยู่ในกรอบการดำเนินการตามขั้นตอนของอนุสัญญาเจนีวาอย่างสมบูรณ์และชัดเจน หากกังวลเรื่องความเป็นอยู่ เพราะรู้เท่าทันว่า ฝ่ายกัมพูชาจะนำเรื่องนี้ไปบิดเบือนทำลายความน่าเชื่อถือฝ่ายทหารไทย ทางผู้แทน ONHCR และ ICRC จึงสามารถขอเข้ามาดูได้ ตามช่องทางกระบวนการตามที่กฎหมายสากลระบุ ซึ่งฝ่ายไทยยืนยันดำเนินการทุกอย่างภายใต้กติกาสากล
“ช่องอานม้า”ไทยเข้าได้แล้ว
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีพื้นที่ช่องอานม้าด้วยว่า ก่อนเกิดเหตุการปะทะเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ที่ผ่านมา กำลังทหารฝ่ายไทยไม่เคยสามารถเข้าไปในพื้นที่บริเวณอนุสาวรีย์ตาอม ได้ เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาวางกำลังตรึงพื้นที่ไว้ฝ่ายเดียวมาตลอด ซึ่งผิดหลักธรรมชาติ แต่ปัจจุบันหลังปะทะและหยุดยิง ฝ่ายไทยสามารถเข้าพื้นที่ได้ ตามเงื่อนไขที่ทหารทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกัน โดยได้ตกลงแนวทางปฏิบัติร่วมกันไว้ ดังนี้ 1.จัดกำลังฝ่ายละ 5 นาย โดยแต่ละฝ่ายส่งเจ้าหน้าที่ 5 นาย เข้าไปในพื้นที่ร่วมและพื้นที่ที่ต่างฝ่ายได้อ้างสิทธิ 2.ไม่มีการพกพาอาวุธ เจ้าหน้าที่ทุกนายต้องงดเว้นการพกพาอาวุธในขณะปฏิบัติภารกิจ 3.มีการลาดตระเวนร่วมกันทั้งสองฝ่ายร่วมเดินลาดตระเวนบริเวณรอบ “ตาอม” (ฝั่งกัมพูชา) และพื้นที่ใกล้เคียง เป็นเวลา 15 นาทีต่อครั้ง และ 4.ไม่จำกัดช่วงเวลาในการเข้า-ออกพื้นที่ สามารถเข้าปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนได้ตลอดเวลา โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา
“ปัจจุบันกองทัพไทย สามารถควบคุมสถาปนาพื้นที่ได้เพิ่มขึ้น หลายพื้นที่สามารถผลักดันกำลังฝ่ายกัมพูชาออกจากพื้นที่ที่รุกล้ำอธิปไตยไทยได้สมบูรณ์ รวมถึงเข้ายึดพื้นที่ในแนวจุดยุทธศาสตร์ทางทหารที่สำคัญได้หลายจุด โดยเมื่อยึดพื้นที่ได้แล้ว ฝ่ายไทยได้จัดกำลังตรึงพื้นที่ เฉพาะในเขตที่มั่นใจว่าเป็นดินแดนของไทย และสามารถครอบครองได้โดยชอบธรรม เพื่อรักษาความได้เปรียบทางยุทธวิธี เพื่อได้เปรียบในการป้องกันการกระทบกระทั่งที่อาจเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต”โฆษกกองทัพบก กล่าวอีกว่า
ไว้อาลัยเหยื่อจรวดเขมรถล่มปตท.
ส่วนบรรยากาศที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ตั้งแต่เวลา 09.30 น. นางสาวภคนันท์ ศิลาอาสน์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายบริหาร ได้จัดกิจกรรมให้ร่วมวางดอกไม้แสดงความอาลัย และร่วมส่งดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิต โดยมีประชาชนชาวอำเภอกันทรลักษ์ สื่อมวลชนไทยและสื่อต่างประเทศ สื่อท้องถิ่น รวมทั้งประชาชนที่ทราบข่าว ได้เดินทางมาร่วมวางดอกไม้ แสดงความอาลัยเป็นจำนวนมาก และหลังจากที่มีการเผยแพร่ในโลกโซเชียล เรื่องวางดอกไม้ส่งดวงวิญญาณผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ถูกกัมพูชาถล่มร้านสะดวกซื้อได้มีประชาชนจำนวนมากหลั่งไหลมาวางดอกไม้เพื่อร่วมส่งดวงวิญญาณผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ทหารที่กัมพูชายิงจรวด BM-21 เข้าใส่ปั๊มน้ำมันและร้านสะดวกซื้อเมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 8 ราย และบาดเจ็บ 15 ราย โดยในจำนวนผู้เสียชีวิตมีแม่และลูกวัย 8 ขวบรวมอยู่ด้วย
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 1 ส.ค.68 ที่ผ่านมา รัฐบาลโดย ศบ.ทก. กระทรวงการต่างประเทศ กองทัพบกและกรมประชาสัมพันธ์ ได้นำคณเอกอัครราชทูต ทูตทหารจาก 23 ประเทศ พร้อมด้วยสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศ 150 คน กว่า 40 สำนักข่าวทั่วโลก ลงพื้นที่เพื่อได้รับกระทบจากสถานการณ์ และได้พูดคุยกับประชาชนในพื้นที่ทำให้ผู้แทนประเทศรับทราบข้อเท็จจริงและเห็นภาพความเสียหายและผลกระทบด้วยตัวเอง โดยผู้แทนหลายประเทศแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้น พร้อมสนับสนุนแนวทางของไทยในการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี
“ประเสริฐ”มอบเงินเยียวยา
วันเดียวกัน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดน โดยได้มอบเงินช่วยเหลือจากกองทุนสำนักนายกรัฐมนตรีให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ปะทะ 9 ราย นอกจากนี้ ยังได้เดินทางเยี่ยมและมอบสิ่งของบริจาคที่ศูนย์อพยพใน อ.กันทรลักษ์ พร้อมหารือแนวทางการดูแลเยียวยาผู้ประสบภัยอย่างเป็นระบบ รวมถึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลผู้ประสบภัยที่เหลืออยู่
จากนั้น นายประเสริฐได้เดินทางไปวางดอกไม้ไว้อาลัย ณ จุดเกิดเหตุความรุนแรงและตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ในอำเภอกันทรลักษ์ ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการสื่อสารและส่งมอบความช่วยเหลือในภาวะวิกฤต
“บิ๊กป้อม”เยี่ยมกำลังพลชายแดน
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการทหารบก ได้เดินทางไปเยี่ยมกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยตามแนวชายแดน เพื่อให้กำลังใจและรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตรได้มอบคำแนะนำแก่เจ้าหน้าที่ทหารรุ่นน้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการรับมือกับอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ที่ฝ่ายกัมพูชาอาจนำมาใช้ในการสอดแนมหรือโจมตี รวมถึงแนวทางการตอบโต้ด้วยระบบป้องกันโดรนที่มีประสิทธิภาพ โดยมอบหมายให้ พล.อ.สุชาติ ผ่องพุฒิ อดีตเจ้ากรมสื่อสารทหารบก ร่วมเสนอแนวทางและประสานงานกับ กสทช. เพื่อขอใช้ย่านความถี่ที่จำเป็นอย่างเร่งด่วน
นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร และคณะยังได้มอบสิ่งของอุปโภคบริโภคแก่กองกำลังสุรนารี และเดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจประชาชนในศูนย์อพยพ พร้อมกับกล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่าสถานการณ์จะคลี่คลายในอีกไม่กี่วัน และประชาชนจะได้กลับบ้านตามปกติ
เมื่อถูกถามถึงข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล พล.อ.ประวิตรตอบเพียงว่าในฐานะอดีตนายทหารคงไม่สามารถให้ความเห็นในเชิงนโยบายได้ เนื่องจากไม่ใช่หน้าที่ของตน พร้อมกับกล่าวทิ้งท้ายว่า “หากรัฐบาลเข้มแข็ง เรื่องทั้งหมดก็จะไม่เกิดขึ้น”
“บิ๊กเล็ก”รับข้อเสนอกัมพูชา
ด้าน พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยอมรับข้อเสนอของกัมพูชาที่ขอให้มีผู้สังเกตการณ์จากสหรัฐอเมริกาและจีนเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคม 2568 แม้ก่อนหน้านี้จะมีความเห็นว่าการเจรจาดังกล่าวเป็นเรื่องทวิภาคี แต่จากการหารือกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ข้อสรุปว่าหากประเทศไทยปฏิเสธข้อเสนอ อาจถูกมองว่ามีเจตนาแอบแฝง จึงตัดสินใจยอมรับเพื่อให้การเจรจาดำเนินไปอย่างโปร่งใส ทั้งนี้การประชุม GBC จะมีขึ้นช่วง 4-7 สิงหาคมนี้ โดยเขมรเป็นเจ้าภาพ
ฉะกัมพูชาไม่ใส่ใจศพทหาร
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงเวลาที่สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชายังคงตึงเครียด ประเทศไทยยังคงยึดมั่นในหลักแห่งความเป็นหนึ่งเดียวของชาติ ซึ่งสะท้อนผ่านพลังของประชาชนที่พร้อมยืนหยัดร่วมกัน สนับสนุน รัฐบาลโดยกองทัพไทย บุคลากรทุกหน่วย และให้เกียรติแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องแผ่นดินอย่างสูงสุดสมเกียรติ
“สิ่งที่ประเทศไทยมี และเป็นจุดแข็งที่ไม่มีใครพรากไปได้ คือความรักชาติของคนไทย ความสามัคคีของคนในชาติที่ไม่สั่นคลอน และความศรัทธาอย่างลึกซึ้งต่อทหารผู้เสียสละในแนวหน้า ซึ่งเป็นเกราะปกป้องประเทศในยามวิกฤต” รองโฆษกรัฐบาล กล่าว
ทั้งนี้ การที่กัมพูชาปฏิเสธว่าร่างทหารที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะตามแนวชายแดน “ไม่ใช่ทหารของตน” เป็นการลดทอนเกียรติภูมิของผู้เสียสละอย่างไร้ยางอาย ต่างจากประเทศไทยที่ยึดมั่นในคุณค่าของความเสียสละ และเชิดชูเกียรติทหารในฐานะผู้ปกป้องแผ่นดิน ผู้เป็นหลักชัยแห่งศักดิ์ศรีของชาติ
“รัฐบาลขอยืนยันว่า ทหารไทยทุกนาย และประชาชนผู้เสียสละ คือสัญลักษณ์ของเกียรติภูมิ ความมั่นคง และเอกราชของชาติ การยืนหยัดของพวกเขาคือพลังของประเทศ และจะได้รับการยกย่องด้วยเกียรติยศสูงสุดจากแผ่นดินไทยอย่างสมศักดิ์ศรี” นางสาวศศิกานต์ กล่าว
ด้าน นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชายังคงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีรายงานเหตุการณ์รุนแรงใด ๆ เกิดขึ้นตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในทุกพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังคงปฏิบัติหน้าที่เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันเหตุอย่างต่อเนื่อง
EODพบระเบิดBM-21ไม่ทำงาน
วันเดียวกันที่ จ.สุรินทร์ เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้และตรวจสอบวัตถุระเบิด (EOD) ตชด.21 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เข้าตรวจสอบพื้นที่อำเภอพนมดงรัก หลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบวัตถุต้องสงสัยคล้ายลูกจรวดตกในพื้นที่
จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบ จรวด BM-21 ที่ยังไม่ระเบิดจำนวน 2 ลูก ปักอยู่กลางทุ่งนาของชาวบ้าน ซึ่งจรวดดังกล่าวปักลึกถึง 5-6 เมตรเกินขีดความสามารถของอุปกรณ์ที่มีอยู่ เจ้าหน้าที่จึงได้กันพื้นที่และเฝ้าระวังไม่ให้ประชาชนเข้าใกล้เพื่อความปลอดภัย
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังสำรวจพื้นที่โดยรอบและพบจรวด BM-21 ที่ยังไม่ระเบิดอีกกว่า 15-20 ลูก กระจายอยู่ในพื้นที่ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเร่งประสานหน่วยทหารที่มีอุปกรณ์เฉพาะทางและประสิทธิภาพสูงกว่าเข้ามาดำเนินการเก็บกู้และทำลายต่อไป
เปิดทาง UNHCRดูเชลยศึก
พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่ทหารไทยจับกุมและควบคุมตัวทหารกัมพูชาภายหลังจากข้อตกลงหยุดยิง โดยกล่าวหาว่าไทยทำร้ายร่างกายอย่างไม่เป็นธรรมทำก่อนส่งกลับว่า เป็นเพียงคำกล่าวหา บิดเบือนจากฝ่ายกัมพูชา และการหยุดยิง แบบฉับพลัน แต่สถานการณ์ความขัดแย้ง ที่มีการใช้อาวุธต่อกัน ยังไม่สิ้นสุดลงอย่างแท้จริง ตามกฎหมายสากล กระบวนการฝ่ายทหารในการควบคุมตัวไว้ก่อน จึงยังสามารถทำได้ ตามอนุสัญญาเจนีวา
ในส่วนของกองทัพบก มีแผนและพร้อมที่จะเชิญองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ICRC มาดูความเป็นอยู่ของเชลยศึกที่ถูกควบคุมตัว ซึ่งอยู่ในกรอบการดำเนินการตามขั้นตอนของอนุสัญญาเจนีวาอย่างสมบูรณ์ และชัดเจน หากกังวลเรื่องความเป็นอยู่ เพราะรู้เท่าทัน ว่า ฝ่ายกัมพูชาจะนำเรื่องนี้ไปบิดเบือนทำลายความน่าเชื่อถือฝ่ายทหารไทย ทาง ผู้แทน UNHCR และ ICRC จึงสามารถขอเข้ามาดูได้ ตามช่องทางกระบวนการตามที่กฎหมายสากลระบุ ซึ่งฝ่ายไทยยืนยันดำเนินการทุกอย่างภายใต้กติกาสากล
ทอ.บรรจุAT-6เสริมเขี้ยวเล็บ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 7 ส.ค.68 กองทัพอากาศ ทำพิธีบรรจุประจำการเครื่องบินโจมตีเบา แบบ AT-6 เป็นเครื่องบินโจมตีแบบที่ 8 ของกองทัพอากาศ เข้าประจำการทั้งหมด 8 เครื่อง เพื่อใช้ในภารกิจการโจมตีทางอากาศ ตลอดจนการบินลาดตระเวนตรวจการในพื้นที่ชายแดน ปัจจุบันสนับสนุนภารกิจการบินลาดตระเวนสนับสนุนในพื้นที่ชายแดน ตามที่ได้รับการประสาน
กองทัพอากาศไทยได้รับมอบเครื่องบินสองเครื่องแรกเมื่อวันที่ 16 ก.ค.67 เข้าประจำการที่ฝูงบิน 411 กองบิน 41 (บน.41) จ.เชียงใหม่ โดยมีเครื่องบินหมายเลข “41101” และ “41102” จากนั้นก็ทยอยส่งมอบ จนครบทั้ง 8 ลำ โดยในวันที่ 7 ส.ค.68 ทางกองทัพอากาศ จะได้ทำพิธีบรรจุประจำการ เครื่องบิน บ.จ.8 (AT-6TH ) มี่กองบิน 41 จังหวีดเชียงใหม่
สำหรับเครื่องงบิน AT-6 TH จำนวน 8 ลำจากสหรัฐอเมริกา วงเงิน 4.6 พันล้านบาท จากบริษัท Textron Aviation Defense LLC สหรัฐอเมริกา เป็นโครงการผูกพันงบประมาณ 5 ปี ระหว่างปี 64-68 พร้อมอุปกรณ์อะไหล่ ระบบสนับสนุนการฝึกอบรม และอุปกรณ์อื่นๆ
AT-6 TH ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับภารกิจ ได้แก่ การบินสนับสนุนทางอากาศโดยใกล้ชิด (Close Air Support) ,ผู้ควบคุมอากาศยานหน้า (Forward Air Control-Airborne) ,การลาดตระเวนรบติดอาวุธ (Armed Reconnaissance) , การโจมตีทางอากาศ (Air Strike) , การเฝ้าระวัง การข่าวกรองและการลาดตระเวน (Surveillance and Reconnaissance : ISR) ,การบินค้นหาช่วยชีวิตในพื้นที่การรบ (Combat Search and Rescue) , การสนับสนุนการบรรเทาสาธารณภัย (Disaster Area Imagery) ,การถ่ายภาพภัยพิบัติ (Disaster Area Imagery) ,การสนับสนุนปฏิบัติการบินควบคุมไฟป่า และบูรณาการความร่วมมือในการสนับสนุนการป้องกันประเทศ และรักษาผลประโยชน์แห่งชาติกับหน่วยงานอื่นๆ
ยามมีภัยคนไทยไม่ทิ้งกัน
นายสุชัย พงษ์เพียรชอบ สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตคลองเตย (สก.ต่าย) ได้มอบหมาย ให้ทีมงานจิตอาสากระต่ายคลองเตย ร่วมกับ อปพร.เขตคลองเตย เป็นตัวแทนนำสิ่งของจำเป็นพร้อมอาหารปรุงสุก ไปมอบให้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่ิตำบลไพล อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์
“ ทางทีมงานจิตอาสากระต่ายคลองเตย และ อปพร. ภายใต้การสนับสนุนของท่าน สก.ต่าย ได้ร่วมกันตั้งโรงครัวชั่วคราว เพื่อปรุงอาหารสุกใหม่ตั้งแต่เช้า โดยได้รับการประสานจากผู้นำท้องถิ่น ทั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และ ชรบ.ในพื้นที่ เพื่อนำเข้าพื้นที่ และส่งมอบอาหารปรุงสุกพร้อมสิ่งของจำเป็น จนถึงบ้านเรือนของประชาชนเพื่อความปลอดภัย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจต่อประชาชน ยามมีภัย คนไทยไม่ทิ้งกัน ครับ “ ทีมงานจิตอาสากระต่ายคลองเตย กล่าว
ด้านตัวแทนประชาชน ในตำบลไพล กล่าวว่า ขอขอบคุณทาง สก.ต่าย และทีมอาสาฯ ทุกท่านที่นำอาหารและสิ่งของจำเป็นมามอบให้จนถึงบ้าน ซึ่งจากเดิมจะมีทางผู้ใหญ่บ้าน และ ชรบ.ไปรับอาหารจากศูนย์ช่วยเหลือต่างๆ ซึ่งไม่เพียงพอ การที่ทางทีมงาน สก.ต่าย นำอาหารมามอบให้ครั้งนี้จึงช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้านได้อย่างดียิ่งขึ้นอีกช่องทางหนึ่ง นอกเหนือจากการไปอาหารทึ่ศูนย์ช่วยเหลือต่างๆ ที่ห่างไกลออกไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี