วันที่ 5 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
พ.ศ. .…
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วและให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .… ที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ มีสาระสำคัญ เป็นการควบคุมผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เลขที่ มอก. 2948-2562 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5417 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระดาษสัมผัสอาหาร ลงวันที่ 16 กันยายน 2562 (มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมใหม่) เนื่องจากในปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารอย่างแพร่หลาย โดยนำไปเป็นบรรจุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ เช่น กล่องกระดาษบรรจุอาหาร ถุงกระดาษบรรจุอาหาร ถุงกระดาษห่ออาหาร ซึ่งหากผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารมีสารเคมีที่เป็นอันตราย ต่อร่างกายเจือปนอยู่จะทำให้สารเคมีดังกล่าวปนเปื้อนกับอาหารและเข้าสู่ร่างกายของผู้บริโภค อาจก่อให้เกิดอันตรายต่ออนามัยของผู้บริโภคได้ จึงเห็นควรให้มีการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารเพื่อความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ลดความเสี่ยงที่ผู้บริโภคอาจได้รับจากสารเคมี ที่เป็นอันตรายและสารก่อมะเร็งที่อยู่ในกระดาษสัมผัสอาหาร ทั้งนี้ ผู้ทำหรือผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหาร จะต้องขอรับใบอนุญาตทำหรือนำเข้า ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว และผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหาร จะต้องจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวที่ได้รับใบอนุญาตและเป็นไปตามมาตรฐาน โดยร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อนต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อนต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ มีสาระสำคัญเป็นการควบคุมผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อน ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 3438-2565 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 6784 (พ.ศ. 2565) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อนลงวันที่ 9 กันยายน 2565 (มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมใหม่) เนื่องจากในปัจจุบันประเทศไทย มีการใช้กระดาษในการกรองของเหลวร้อน เช่น กระดาษกรองชาหรือกาแฟ รวมถึงการใช้กระดาษวางเป็นฐานรองหม้อทอดไร้น้ำมันหรือวางบนเตาไฟฟ้า เพื่ออุ่นอาหารหรือปรุงสุกอาหารด้วยหากผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวมีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกายเจือปนอยู่จะทำให้สารเคมีกล่าวปนเปื้อนกับอาหารและเข้าสู่ร่างกายของผู้บริโภคและอาจก่อให้เกิดอันตรายต่ออนามัยของผู้บริโภคได้ จึงเห็นควรให้มีการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อนเพื่อความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ลดความเสี่ยงที่ผู้บริโภคอาจได้รับจากสารเคมีที่เป็นอันตรายและสารก่อมะเร็งที่อยู่ในกระดาษสัมผัสอาหาร ทั้งนี้ ผู้ทำหรือผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อน จะต้องขอรับใบอนุญาตทำหรือนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว และผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษ สัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อนจะต้องจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว ที่ได้รับใบอนุญาตและเป็นไปตามมาตรฐาน โดยร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีผลใช้บังคับ เมื่อพ้นกำหนด 180 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
3. ร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 7
แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติควรอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 7 แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... ตามที่สำนักคณะกรรมการเลือกตั้ง (สำนักงาน กกต.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วให้ดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงรายของ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 144 วรรคสาม ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 7 ว่างลง จึงต้องดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งขึ้นแทนตำแหน่งว่างภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลง
ในการนี้ เพื่อให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 7 แทนตำแหน่งที่ว่าง เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 จึงได้จัดทำร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 7 แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... ขึ้น เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่างภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลง (ภายในวันที่ 14 กันยายน 2568) และจัดทำร่างแผนการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 7 แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยจะประกาศกำหนดหน่วยเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 25 วัน ก่อนวันเลือกตั้ง (ภายในวันที่ 19 สิงหาคม 2568) ซึ่ง กกต. คาดว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 กันยายน 2568
4. เรื่อง ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชนในท้องที่แขวงตลิ่งชัน แขวงฉิมพลี แขวงคลองชักพระ เขตตลิ่งชัน แขวงบางขุนนนท์แขวงบางขุนศรี แขวงศิริราช แขวงบ้านช่างหล่อ แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด แขวงชนะสงคราม แขวงพระบรมมหาราชวัง แขวงตลาดยอด แขวงบวรนิเวศ แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร แขวงคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงสี่แยกมหานาค
แขวงสวนจิตรลดา เขตดุสิต แขวงทุ่งพญาไท แขวงถนนเพชรบุรี แขวงถนนพญาไท แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี แขวงปทุมวัน แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท แขวงดินแดง แขวงรัชดาภิเษก เขตดินแดง และแขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นและเร่งด่วน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชนในท้องที่แขวงตลิ่งชัน แขวงฉิมพลี แขวงคลองชักพระ เขตตลิ่งชัน แขวงบางขุนนนท์ แขวงบางขุนศรี แขวงศิริราช แขวงบ้านช่างหล่อ แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด แขวงชนะสงคราม แขวงพระบรมมหาราชวัง แขวงตลาดยอด แขวงบวรนิเวศ แขวงบ้านพานถม เขตพระนครแขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร แขวงคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงสี่แยกมหานาค แขวงสวนจิตรลดา เขตดุสิต แขวงทุ่งพญาไท แขวงถนนเพชรบุรี แขวงถนนพญาไท แขวงมักกะสันเขตราชเทวี แขวงปทุมวัน แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท แขวงดินแดง แขวงรัชดาภิเษก เขตดินแดง และแขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นและเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์นั้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน พ.ศ. 2540 ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินกิจการขนส่งมวลชนตามโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยเป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดไว้ ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของเรื่อง
1. สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563 อนุมัติการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยโครงการรถไฟฟ้าสายดังกล่าว เป็นโครงการจำเป็นเร่งด่วนของรัฐบาลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคมนาคม ลดความสูญเสียพลังงานน้ำมันและผลกระทบสิ่งแวดล้อม พัฒนาและยกระดับ คุณภาพชีวิตของประชาชน โดยได้รับการจัดสรรงบประมาณค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์สำหรับโครงการนี้ในกรอบวงเงิน จำนวน 14,661 ล้านบาท มีระยะทางประมาณ 13.4 กิโลเมตร จำนวน 11 สถานี เป็นโครงสร้างใต้ดินตลอดสาย ในแนวเขตทางประกอบด้วยที่ดินประมาณ 458 แปลง และสิ่งปลูกสร้างประมาณ 389 หลัง/รายการ โดย รฟม. ได้ดำเนินการสำรวจอสังหาริมทรัพย์ตามแนวเขตทางแล้ว มือสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องกำหนด ลักษณะภาระในอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 88 แปลง ทั้งนี้ สำหรับพื้นที่ที่ต้องเวนคืนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 รฟม. ได้ออกประกาศการเข้าครอบครองและใช้อสังหาริมทรัพย์ก่อนการเวนคืน ในกรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนแล้ว เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568
2. ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน พ.ศ. 2540 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติให้หากได้มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินเพื่อกิจการขนส่งมวลชนแล้ว หากเห็นว่าเป็นกรณีที่มีความจำเป็นและเร่งด่วนสามารถออกประกาศกำหนดให้เข้าใช้อสังหาริมทรัพย์นั้นได้ ซึ่งร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์ ฯ ที่กระทรวงคมนาคม เสนอ เป็นการกำหนดให้การเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน (โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย) ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่แขวงตลิ่งชัน แขวงฉิมพลี แขวงคลองชักพระ เขตตลิ่งชัน แขวงบางขุนนนท์ แขวงบางขุนศรี แขวงศิริราช แขวงบ้านช่างหล่อ แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด แขวงชนะสงคราม แขวงพระบรมมหาราชวัง แขวงตลาดยอด แขวงบวรนิเวศ แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร แขวงคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงสี่แยกมหานาค แขวงสวนจิตรลดา เขตดุสิต แขวงทุ่งพญาไท แขวงถนนเพชรบุรี แขวงถนนพญาไท แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี แขวงปทุมวัน แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท แขวงดินแดง แขวงรัชดาภิเษก เขตดินแดง และแขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2567 เป็นกรณีที่มีความจำเป็นและเร่งด่วน เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์นั้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน พ.ศ. 2540 ได้ ซึ่งตามแผนดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยจะต้องเร่งส่งมอบพื้นที่เพื่อก่อสร้างโครงการฯ ตามระยะเวลาที่กำหนด โดยมีกำหนดการส่งมอบพื้นที่เอกชนแรกในเดือนธันวาคม 2568 หากการส่งมอบพื้นที่มีความล่าช้าออกไปจะเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลประกอบกับเมื่อได้มีประกาศแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่จะมีอำนาจเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์ได้แต่ต้องมีหนังสือแจ้งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 60 วัน และพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องจัดให้มีการจ่ายหรือวางเงิน ค่าทดแทนก่อน จึงเห็นควรต้องมีการประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวภายในเดือนกันยายน 2568 เพื่อให้ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยให้เป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า คณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวได้
2. โดยเรื่องนี้เป็นการดำเนินการตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน พ.ศ. 2540 ซึ่งบัญญัติให้ในกรณีที่หน่วยงานที่ดำเนินการเห็นว่าในการดำเนินกิจการขนส่งมวลชนที่ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชนแล้ว หากเนิ่นช้าไปจะเป็นอุปสรรคอย่างมาก ต่อการดำเนินกิจการดังกล่าว ให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดให้การเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นกรณีที่มีความจำเป็นและเร่งด่วนได้ จึงเข้าข่ายเป็นเรื่องที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 4 (1) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
เศรษฐกิจ-สังคม
5. เรื่อง (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรมของประเทศไทยสู่ระดับสากล
(พ.ศ. 2567 - 2570)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรมของประเทศไทยสู่ระดับสากล (พ.ศ. 2567 - 2570) (แผนปฏิบัติการฯ) และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนปฏิบัติการฯ ไปดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (คณะกรรมการฯ) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
คณะกรรมการฯ รายงานว่า
1. คณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2567 ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมทำหน้าที่เป็นประธาน มีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ เพื่อเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรมของไทย โดยมีแผนแม่บทวัฒนธรรมแห่งชาติ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 - 2570) เป็นแผนการดำเนินงานในภาพรวมของประเทศ ซึ่งแผนที่เสนอในครั้งนี้จะมุ่งเน้นการส่งเสริมศักยภาพของอุตสาหกรรมวัฒนธรรมไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ “แบรนด์ประเทศไทย เป็นที่ชื่นชอบ ชื่นชม และเชื่อถือทั่วทุกมุมโลก” โดยใช้แนวคิด “Thailand in Full Spectrum” เพื่อสะท้อนความหลากหลายของ Soft Power ไทย และเสริมสร้าง “Brand Thailand” ภายใต้แนวคิด “Inspirations Untied” ที่เน้นการสร้างแรงบันดาลใจในระดับโลก โดยกำหนดให้
(1) ภาพยนตร์ ซีรีส์ ดนตรี และกีฬา (มวยไทย) เป็นอุตสาหกรรม วัฒนธรรมเรือธง (2) การท่องเที่ยว เฟสติวัล อาหาร แฟชั่น และออกแบบ เป็นอุตสาหกรรมวัฒนธรรมพื้นฐาน และ (3) เกม หนังสือ และศิลปะ เป็นอุตสาหกรรมวัฒนธรรมศักยภาพ นอกจากนี้ ยังได้กำหนดกลยุทธ์เพื่อเชื่อมโยงอุตสาหกรรมวัฒนธรรมไทยกับตลาดโลก โดยกำหนดให้ยุโรป อเมริกาเหนือ เอเชียตะวันออกและอาเซียน เป็นกลุ่มลูกค้าปัจจุบันและขยายโอกาสสู่กลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ รัสเซีย อเมริกาใต้และแอฟริกา
2. สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒนาการฯ) ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 มีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ โดยมีข้อเสนอแนะให้กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ดำเนินการเพิ่มเติมในรายละเอียดก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ทั้งนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ ได้ดำเนินการปรับปรุง (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ ตามข้อเสนอแนะของสภาพัฒนาการฯ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
หัวข้อ |
สาระสำคัญ |
วัตถุประสงค์ |
1. ระบบนิเวศบนฐานการประสานพลัง ที่รองรับการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติในอนาคต (Synergetic Ecosystem) 2. สังคมยั่งยืน มั่นคง และเอื้อต่อศักยภาพอันหลากหลายของผู้คน (Sustainable and Inclusive Society) 3. เศรษฐกิจเติบโตด้วยมูลค่าเพิ่มจากฐานภูมิปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ (Scaling Up the Economy) 4. ประเทศไทยมีบทบาท สถานะ และจุดยืนที่เข้มแข็งและโดดเด่นบนเวทีโลก(Strengthening Thailand's Global Position) |
เป้าหมาย
|
1. ทุนทางวัฒนธรรมของประเทศไทยได้รับการรักษา พัฒนา และต่อยอดอย่างยั่งยืน 2. เศรษฐกิจวัฒนธรรมของไทยเติบโตเพิ่มขึ้น 3. บทบาทและภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลกได้รับการยกระดับด้วยเศรษฐกิจวัฒนธรรม |
ยุทธศาสตร์/ แนวทางการพัฒนา/ โครงการ/ตัวชี้วัด |
ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 เสริมสร้างระบบนิเวศเศรษฐกิจวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งของแบรนด์ประเทศไทย · แนวทางการพัฒนา เช่น 1) ส่งเสริม สนับสนุนการศึกษาวิจัยด้านวัฒนธรรมและมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นผ่านสถาบันการศึกษาในท้องถิ่นทุกระดับ 2) พัฒนาพื้นที่ทางศิลปวัฒนธรรมและพื้นที่ในการสร้างสรรค์งานร่วมกัน (Co-creation Space) ในระดับท้องถิ่นและระดับจังหวัด 3) ขยายปริมาณและมูลค่าของสินค้าและบริการทางวัฒนธรรมของประเทศไทยในตลาดโลก · โครงการ เช่น 1) โครงการสนับสนุนส่งเสริมการฟื้นฟูงานศิลปกรรม/ภูมิปัญญาที่ขาดหาย/ใกล้สูญหาย และรื้อฟื้นในกรณีที่ไม่มีการสืบทอดให้คงอยู่ 2) โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านศิลปวัฒนธรรมในเชิงพาณิชย์ 3) โครงการจัดตั้งศูนย์/สำนักงาน “สถาบันภูมิภาษาและปัญญาแผ่นดิน” (เชื่อมโยงกับสถานทูต และพันธมิตรสถาบันภาษาวัฒนธรรมในประเทศต่าง ๆ) · หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง: กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) · ตัวชี้วัด เช่น 1) ประเทศไทยมีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมระดับโลก (มรดกภูมิปัญญาที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ) ไม่น้อยกว่า 7 รายการ ภายในปี 2570 โดยในปี 2568 ไม่น้อยกว่า 6 รายการ (ปัจจุบันมีจำนวน 6 รายการ) 2) ประเทศไทยมีเมืองสร้างสรรค์ที่ได้รับการประกาศรับรองโดยองค์การยูเนสโก ไม่น้อยกว่า 11 เมือง/จังหวัด ภายในปี 2570 (ปัจจุบันมีจำนวน 7 เมือง/จังหวัด) โดยในปี 2568 ไม่น้อยกว่า 9 เมือง/จังหวัด 3) ประเทศไทยมีงบประมาณรายจ่ายสำหรับการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ยุทธศาสตร์ที่ 2 เตรียมความพร้อมให้ “คน” มีบทบาทหลักในการพลิกโฉมเศรษฐกิจวัฒนธรรม · แนวทางการพัฒนา เช่น 1) ส่งเสริมศักยภาพในการบริโภคสินค้าและบริการทางวัฒนธรรมในฐานะ ทุนทางปัญญา 2) กำหนดให้ศิลปินเป็นอาชีพที่ได้รับการคุ้มครองและส่งเสริมตามกฎหมายอย่างครอบคลุมและตอบโจทย์ความจำเป็นทางอาชีพ 3) ส่งเสริมผู้ประกอบการเศรษฐกิจวัฒนธรรมที่มีศักยภาพให้ขับเคลื่อน · โครงการ เช่น 1) โครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงของแต่ละสายอาชีพสำหรับเยาวชน เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนได้เรียนรู้และเกิดแรงบันดาลใจในการเลือก 2) โครงการส่งเสริมผู้ประกอบอาชีพด้านวัฒนธรรมเพื่อนำเสนอรูปแบบของธุรกิจในเวทีระดับสากล 3) โครงการพัฒนาแพลตฟอร์มซอฟต์พาวเวอร์อัจฉริยะเพื่อการเจาะลึกกระแสโลกและตอบสนองเชิงนโยบายและมาตรการส่งเสริมคุณค่าวัฒนธรรมไทยให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย · หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง: อว. พณ. มท. รง. วธ. ศธ. · ตัวชี้วัด เช่น 1) ประเทศไทยมีจำนวนนักเรียน นักศึกษา ที่สำเร็จการศึกษาในสาขาที่เกี่ยวข้องกับศิลปวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ต่อปี จำนวนไม่น้อยกว่า 38,970 คน ในปี 2570 หรือร้อยละ 81 ของจำนวนนักเรียน นักศึกษาที่กำลังศึกษาในสาขา 2) ประเทศไทยมีสัดส่วนคะแนนในมิติการส่งเสริมจิตสำนึกและค่านิยม 3) ร้อยละความเชื่อมั่นของกลุ่มเป้าหมายจากภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาคประชาสังคม ต่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม ยุทธศาสตร์ที่ 3 ยกระดับความเชื่อมั่นของตลาดโลกต่อคุณภาพและคุณค่าของสินค้าและบริการทางวัฒนธรรมของประเทศไทย · แนวทางการพัฒนา เช่น 1) ส่งเสริมให้นวัตกรรมทางวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์มีบทบาท 2) ผลักดันให้ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศลงทุนในอุตสาหกรรมวัฒนธรรมของประเทศไทยมากขึ้น 3) กำหนดกลุ่มอุตสาหกรรมและกลยุทธ์ส่งเสริมแต่ละอุตสาหกรรม แบ่งเป็น (1) อุตสาหกรรมวัฒนธรรมเรือธง เช่น อุตสาหกรรมภาพยนตร์ และซีรีส์ อุตสาหกรรมดนตรี (2) อุตสาหกรรมวัฒนธรรมพื้นฐาน เช่น อุตสาหกรรมเฟสติวัล อุตสาหกรรมอาหาร (3) อุตสาหกรรมวัฒนธรรมศักยภาพ เช่น อุตสาหกรรมเกม อุตสาหกรรมหนังสือ · โครงการ เช่น 1) โครงการส่งเสริมอำนวยความสะดวกการจับคู่ (Matching) ผลงานและศิลปินไทย และนักสะสมชาวไทยและชาวต่างชาติ 2) โครงการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ “Culture guide for SME” ยกระดับสินค้าและบริการทางวัฒนธรรมสู่ตลาดโลก 3) โครงการส่งเสริมการผลิตเนื้อหาสื่อบันเทิงสร้างสรรค์ที่สะท้อนคุณค่าความเป็นไทย · หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง: กต. อว. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) พณ. วธ. กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) · ตัวชี้วัด 1) อันดับสมรรถภาพเชิงสร้างสรรค์ (Creative Output) ของประเทศไทย โดย WPO ไม่ต่ำกว่าอันดับที่ 40 ของโลก ภายในปี 2570 (ปี 2566 อันดับที่ 44 ของโลก มีคะแนน 33.1 คะแนน) โดยในปี 2568 ไม่ต่ำกว่าอันดับที่ 42 ของโลก 2) มูลค่าอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศไทยต่อจีดีพี ไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ภายในปี 2570 มูลค่าเฉลี่ยระหว่างปี 2557 - 2564 ร้อยละ 8.5 ของจีดีพี หรือประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท) โดยในปี 2568 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 12 3) มูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศไทย ไม่น้อยกว่า 60,000 ล้านบาท ภายในปี 2570 (ปี 2566 จำนวน 218 โครงการ มูลค่า 53,104 ล้านบาท) โดยในปี 2568 ไม่น้อยกว่า 58,000 ล้านบาท ยุทธศาสตร์ที่ 4 ยกระดับแบรนด์ประเทศไทยให้โดดเด่นเป็นที่ยอมรับอย่างยั่งยืน · แนวทางการพัฒนา เช่น 1) เผยแพร่ภาษาและวัฒนธรรมไทยในทุกช่องทาง และขยายพื้นที่ (Representation) ของภาษาและวัฒนธรรมไทยบนอินเทอร์เน็ต 2) สนับสนุนให้ชาวต่างชาติที่พำนักในประเทศไทย ในการศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและสังคมไทยในเชิงลึก 3) ยกระดับคุณภาพของสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้เชิงวัฒนธรรม · โครงการ เช่น 1) โครงการส่งเสริมคนไทยพลัดถิ่นและนักศึกษาที่ศึกษาในต่างประเทศเป็นทูตวัฒนธรรม เผยแพร่ภาษา และวัฒนธรรมในต่างประเทศ 2) โครงการสนับสนุนการส่งประกวดสื่อโฆษณาและภาพยนตร์ไทยสู่เวทีระดับสากล 3) โครงการยกระดับการข่าวและการประชาสัมพันธ์ของประเทศเชิงรุกเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศ · หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง: กระทรวงการคลัง กต. กก. พณ. วธ. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ · ตัวชี้วัด 1) อันดับความปลอดภัยของเมืองยอดนิยมของประเทศไทยสำหรับการพำนักของชาวต่างชาติ (Global Residence Index - Safety Index) กรุงเทพฯ อันดับไม่ต่ำกว่า 98 และภูเก็ต อันดับไม่ต่ำกว่า 120 ภายในปี 2570 (ปี 2566 กทม. อันดับ 110 มีคะแนน 0.65 คะแนน และภูเก็ต อันดับ 128 มีคะแนน 0.57 คะแนน) โดยในปี 2568 กรุงเทพมหานคร ไม่ต่ำกว่าอันดับที่ 104 ภูเก็ต ไม่ต่ำกว่าอันดับที่ 124 2) ประเทศไทยติดอันดับประเทศจุดหมายปลายทางที่ถูกค้นหามากที่สุด 3) อันดับของประเทศไทยในการให้การยอมรับทางสังคมต่อกลุ่ม |
ข้อเสนอแนะการส่งเสริมปัจจัยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรมสู่ระดับสากล ในระยะ 5 ปีถัดไป (พ.ศ. 2571 - 2575) เช่น |
|
ประเด็น/สถานการณ์ และแนวโน้มในระยะ |
· พื้นที่ เช่น 1) ศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจวัฒนธรรมในระดับภูมิภาค (Regional Hub) 2) รื้อสร้างและพัฒนารูปแบบและจิตวิญญาณของพื้นที่ ค้นหาความหมายใหม่ของพื้นที่ด้วยมุมมองใหม่ โดยผู้ประกอบการรุ่นใหม่มีบทบาทนำในการปรับและพัฒนาพื้นที่ · คน เช่น 1) พัฒนาศิลปินและผู้ประกอบการ สู่การเป็นมืออาชีพระดับสากล และ 2) พัฒนาทักษะเฉพาะด้านการสร้างแบรนด์ให้แก่ผู้ประกอบการ ศิลปิน · กลไก เช่น 1) ส่งเสริมองค์ความรู้ด้านนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และพัฒนาให้เกิดสถาบันเชิงนโยบายโดยเฉพาะ เพื่อทบทวนนโยบายที่มีอยู่เดิมและออกแบบนโยบายใหม่เพื่อรองรับพลวัตของเศรษฐกิจวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว 2) เพิ่มบทบาทของไทยในเวทีโลกและการสร้างเครือข่ายพันธมิตรระหว่างประเทศในทุกระดับ |
3. ประโยชน์
(1) มิติทางเศรษฐกิจ
กระตุ้นการค้าและการลงทุน โดยเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม ทำให้ SMEs เติบโตและสร้างรายได้ให้กับประเทศ และช่วยเพิ่มอัตราการจ้างงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น ดนตรี ภาพยนตร์ อาหาร และแฟชั่น ส่งเสริมอุตสาหกรรมสนับสนุน เช่น การท่องเที่ยว ที่พัก และการเดินทาง รวมถึงกระจายรายได้สู่ชุมชนทำให้เศรษฐกิจฐานราก มีความเข้มแข็งมากขึ้น
(2) มิติทางสังคม
สนับสนุนความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันในสังคม โดยส่งเสริมค่านิยมและวัฒนธรรมที่ดี ทำให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเกิดความสามัคคี เสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติผ่านจารีตประเพณีและกิจกรรมทางวัฒนธรรม ประชาชนเกิดความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของตนเอง อีกทั้งเป็นเครื่องมือสำคัญในการอนุรักษ์และถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น รวมถึงส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีผ่านการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับนานาชาติ
(3) มิติทางภาพลักษณ์ของประเทศ
สร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในระดับสากล โดยสะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นไทยผ่านศิลปะ วัฒนธรรม ค่านิยม และประเพณี ส่งผลให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับในเวทีโลกมากขึ้น รวมถึงเสริมสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าและบริการทางวัฒนธรรมไทย ดึงดูดนักท่องเที่ยว นักลงทุน และผู้บริโภควัฒนธรรมจากต่างประเทศทำให้ประเทศไทยมีอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งขึ้น สามารถใช้เป็นเครื่องมือสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ในประเด็นเรื่องการปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 87) เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2544 ในประเด็นเรื่องการปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ โดยให้ถือปฏิบัติตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 เป็นต้นไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เรื่องนี้เป็นการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 18 ธันวาคม 2544 เพื่อปรับเปลี่ยนหน่วยงานที่จัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม จาก “กระทรวงการคลัง” เป็น “หน่วยงานที่มีความประสงค์ขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม” ได้แก่ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) และกองทัพเรือ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เป็นต้นไป เพื่อให้สะท้อนถึงการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณที่เกิดขึ้นจริงของแต่ละหน่วยงานอันจะส่งผลให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และหน่วยงานสามารถติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายให้สอดคล้องและเป็นไปตามแผนงานที่กำหนด ซึ่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 ได้มีมติเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวด้วยแล้ว
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง (กค.) และสำนักงบประมาณ (สงป.) พิจารณาแล้วเห็นควรให้ความเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ
7. เรื่อง ขออนุมัติจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต.) โดยกำหนดให้นำชิ้นส่วนภายในประเทศและต่างประเทศมาประกอบภายในประเทศ จำนวน 946 คัน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงคมนาคม (คค.) โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้ยืมเงินสำหรับจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต.) จำนวน 946 คัน ภายใต้กรอบวงเงิน 2,459.98 ล้านบาท สำหรับแหล่งเงินลงทุนและการค้ำประกันให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง (กค.) และให้ คค. และ รฟท. รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ปัจจุบันการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีรถสินค้าประเภท รถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าเพื่อใช้ในการขนส่งสินค้า โดยมีรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้ารวมทั้งสิ้น 1,308 คัน แต่สามารถใช้งานได้จริงเพียงแค่ 1,031 คัน เนื่องจากมีอายุการใช้งานนาน ต้องซ่อมบำรุงบ่อยครั้งทำให้ไม่เพียงพอตามแผนการใช้งาน โดย รฟท. มีรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าพิกัดบรรทุก 39 ตันมากที่สุดแต่ไม่เป็นที่สนใจจากลูกค้าในปัจจุบันที่ต้องการขนส่งสินค้าคราวละมาก ๆ ส่วนรถโบกี้ บรรทุกตู้สินค้าพิกัดบรรทุก 45 - 50 ตัน และพิกัดบรรทุก 62 ตัน มีจำนวนคงเหลือไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากทางถนนมาสู่ทางรางมากขึ้น ประกอบกับแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย พ.ศ. 2566 2570 มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางจากร้อยละ 2 เป็นร้อยละ 7 ภายในปี 2570 และเพิ่มเป็นร้อยละ 10 ภายในปี 2575 รฟท. จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางราง โดยมีแผนงานในการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าเพิ่มจำนวน 946 คัน ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 - 2570 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อปรับปรุงคุณภาพและเพิ่มบทบาทการให้บริการขนส่งสินค้าทางราง เพิ่มจำนวนรถขนส่งสินค้าทางรางให้เพียงพอกับความต้องการและครอบคลุมทั่วประเทศ และเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด ตลอดจนเพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศ
2. การจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า จำนวน 946 คันดังกล่าว มีรายละเอียด เช่น
2.1 ลักษณะทั่วไป: น้ำหนักตัวรถ 18 ตัน พิกัดบรรทุก 62 ตัน รองรับความเร็วสูงที่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถขนส่งได้ทั้งตู้คอนเทนเนอร์ทั่วไป ตู้คอนเทนเนอร์ที่ใช้สำหรับขนส่งก๊าซและสารเคมี และตู้คอนเทนเนอร์แบบเย็นที่ใช้สำหรับขนส่งสินค้าแช่เย็นหรือแช่แข็ง
2.2 งบประมาณ/แหล่งเงิน: รวมทั้งสิ้น 2,459.98 ล้านบาท (คันละ 2.6 ล้านบาท) โดย รฟท. เป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่าย โดยใช้เงินกู้ และกระทรวงการคลัง (กค.) เป็นผู้ค้ำประกัน
2.3 ผลตอบแทนการลงทุน: มีความคุ้มค่าทางการเงิน โดยมี อัตราผลตอบแทนด้านการเงิน (Financial Internal Rate of Return : FIRR) ร้อยละ18.84
3. รฟท. จะจัดสรรรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าไปใช้สำหรับเดินรถในเส้นทางต่าง ๆ ของ รฟท. และหน่วยงานอื่น ดังนี้
เส้นทาง |
จำนวนรถโบกี้บรรทุก ตู้สินค้าที่ได้รับการจัดสรร (ค้น) |
(1) เส้นทางระหว่างไอซีดี ลาดกระบัง กับท่าเรือแหลมฉบัง |
154 |
(2) เส้นทางระหว่างจังหวัดหนองคายกับท่าเรือแหลมฉบัง |
396 |
(3) เส้นทางระหว่างอรัญประเทศกับท่าเรือแหลมฉบัง |
33 |
(4) เส้นทางระหว่างเชียงของกับท่าเรือแหลมฉบัง และเส้นทางระหว่าง จังหวัดนครพนมกับท่าเรือแหลมฉบัง |
198 (เส้นทางละ 99) |
(5) เส้นทางระหว่างชุมทางหาดใหญ่กับท่าเรือแหลมฉบัง |
99 |
(6) เส้นทางระหว่างจังหวัดอุบลราชธานีกับท่าเรือแหลมฉบัง |
66 |
รวมทั้งสิ้น |
946 |
ทั้งนี้ กค. [สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.)] กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) สำนักงบประมาณ (สงป.) และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒนาการฯ) พิจารณาแล้วไม่ขัดข้อง โดยมีความเห็นและข้อสังเกตเพิ่มเติม เช่น กค. (สคร.) เห็นว่า สำหรับแหล่งเงินลงทุนของการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า ให้ รฟท. กู้เงินในประเทศเพื่อดำเนินการจัดหารถดังกล่าว วงเงิน 2,459.98 ล้านบาท โดยให้ รฟท. รับภาระเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน และ กค. เป็นผู้ค้ำประกัน กษ. ขอให้คำนึงถึงประโยชน์และความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ในการลงทุนโครงการดังกล่าวด้วยและ สงป. เห็นว่า รฟท. ต้องกำกับ เร่งรัด และติดตามการดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟ ที่อยู่ในเส้นทางเดินรถขนส่งสินค้าต่าง ๆ ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ เพื่อเพิ่มรายได้และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการขนส่งทางรางเพิ่มมากขึ้น
8. เรื่อง ขออนุมัติหลักการและวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเกี่ยวกับที่ดินให้แก่ราษฎรผู้ถือครองและทำประโยชน์ในที่ดินที่หน่วยราชการดูแล เนื่องในการก่อสร้างหรือพัฒนาท่าอากาศยาน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2
(ด้านการต่างประเทศ การคมนาคม การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม) ดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ให้กรมท่าอากาศยานนำมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 เรื่อง อนุมัติหลักการและวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเกี่ยวกับที่ดินให้แก่ราษฎรผู้ถือครองและทำประโยชน์ในที่ดินที่หน่วยราชการดูแล เนื่องในการสร้างทางหลวง มาปรับใช้ในการพิจารณาการจ่ายเงินค่าขนย้าย ค่ารื้อย้ายอาคาร บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ยืนต้น พืชล้มลุก ให้แก่ราษฎรผู้ถือครองที่ดินโดยไม่มีเอกสารสิทธิ ซึ่งได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างหรือพัฒนาท่าอากาศยาน ทั้งนี้ ให้นำหลักเกณฑ์ที่ได้รับอนุมัติ มาใช้กับการจัดหาที่ดิน ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม รวมเนื้อที่ประมาณ 175 ไร่ 2 งาน 06 ตารางวา สำหรับก่อสร้างต่อเติมความยาวทางวิ่ง ขยายทางขับและลานจอดเครื่องบิน ขนส่งสินค้าและอาคารคลังสินค้า พร้อมระบบไฟฟ้าสนามบิน ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ตำบลร่อนทอง อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ และโครงการก่อสร้างหรือพัฒนาท่าอากาศยานอื่น ๆ ของกรมท่าอากาศยาน ที่มีการดำเนินงานในลักษณะเดียวกัน โดยมีหลักเกณฑ์ของกรมท่าอากาศยาน ดังนี้
1.1 อาคาร บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง และต้นไม้ยืนต้น ซึ่งปลูกสร้าง ในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ ที่ดินอุทยานแห่งชาติ ที่ดินสาธารณประโยชน์ และ/หรือที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิอื่น ๆ ซึ่งราษฎรได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ก่อนที่กรมท่าอากาศยานจะเข้าดำเนินการสำรวจก่อนมีการก่อสร้าง
1.2 พืชล้มลุกที่ยังไม่เก็บเกี่ยวผลซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่มีหรือไม่มีเอกสารสิทธิเช่นเดียวกับข้อ 1.1 จะจ่ายเงินค่าทดแทนให้เฉพาะที่เสียหาย เนื่องจากการดำเนินการตามโครงการก่อสร้างหรือพัฒนาท่าอากาศยานของกรมท่าอากาศยาน โดยไม่สามารถจะเก็บเกี่ยวผลได้ทัน
1.3 ที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิทั้งอยู่ในเขตหรือนอกเขตสงวนหวงห้ามของทางราชการ แต่อยู่ในเขตโครงการก่อสร้างหรือพัฒนาท่าอากาศยานของกรมท่าอากาศยานโดยได้ครอบครองและทำประโยชน์มาก่อนที่กรมท่าอากาศยานจะเข้าดำเนินการสำรวจ ก่อนมีการก่อสร้าง
ทั้งนี้ ในส่วนของการแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดราคาค่าขนย้าย ค่ารื้อย้ายอาคาร บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ยืนต้น พืชล้มลุก ให้ คค. (กรมท่าอากาศยาน) พิจารณาปรับปรุงโครงสร้างคณะกรรมการดังกล่าว โดยเฉพาะในส่วนของผู้แทนกรมท่าอากาศยานเพื่อให้องค์ประกอบของคณะกรรมการมีความสมดุล ตามความเห็นของ สศช. ต่อไป
2. ให้ คค. (กรมท่าอากาศยาน) รับความเห็นของ สงป. สคก. และ สศช. ข้อสังเกตของ ทส. และข้อเสนอแนะของ กษ. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
นายกรัฐมนตรีอนุมัติให้ส่งเรื่องนี้ให้คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี
คณะที่ 2 (ด้านการต่างประเทศ การคมนาคม การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี
(นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) เป็นประธานกรรมการ เพื่อพิจารณาในประเด็นขององค์ประกอบคณะกรรมการกำหนดราคาค่าขนย้าย ค่ารื้อย้ายอาคาร บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ยืนต้น พืชล้มลุก ตามที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
ผลการพิจารณา
คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 (ด้านการต่างประเทศ
การคมนาคม การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) เป็นประธานกรรมการ พิจารณาเรื่องดังกล่าวในคราวประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 มีประเด็นอภิปรายและมีมติ ดังนี้
ประเด็นอภิปราย
1) ความสอดคล้องของหลักเกณฑ์การพิจารณาการจ่ายเงินของกรมท่าอากาศยานกับ
กรมทางหลวง
กรมท่าอากาศยานมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ที่ดินเพิ่มเติม เพื่อขยายทางวิ่งและพื้นที่เขตปลอดภัยปลายทางวิ่ง ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยจะต้องมีการเยียวยาหรือชดเชยประชาชนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างถูกต้อง แต่โดยที่ในปัจจุบันกรมท่าอากาศยานยังไม่มีหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือในกรณีดังกล่าว จึงมีความจำเป็นที่จะต้องจัดทำหลักเกณฑ์ใหม่ขึ้นมาโดยอ้างอิงจากหลักการและวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเกี่ยวกับที่ดินให้แก่ราษฎรผู้ถือครองและทำประโยชน์ในที่ดิน ที่หน่วยราชการดูแล เนื่องในการสร้างทางหลวง ของกรมทางหลวง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 (เรื่อง ขออนุมัติหลักการและวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเกี่ยวกับที่ดินให้แก่ราษฎรผู้ถือครองและทำประโยชน์ในที่ดินที่หน่วยราชการดูแล เนื่องในการสร้างทางหลวง) ซึ่งผู้แทนกรมท่าอากาศยืนยันว่า หลักเกณฑ์ของกรมท่าอากาศยานที่เสนอคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้มีสาระสำคัญเช่นเดียวกับหลักการและวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือฯ ของกรมทางหลวงดังกล่าว
2) ความคืบหน้าเกี่ยวกับการให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบดูแลและบริหารจัดการทำอากาศยานบุรีรัมย์แทนกรมท่าอากาศยานตามความเห็นของ สงป.
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2565 [เรื่อง แนวทางการให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบในการดูแลและบริหารจัดการ ท่าอากาศยานอุดรธานี ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ และท่าอากาศยานกระบี่ แทนกรมท่าอากาศยาน] เห็นชอบในหลักการแนวทางการให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบ ดูแลและบริหารจัดการท่าอากาศยานอุดรธานี ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ และท่าอากาศยานกระบี่ แทนกรมท่าอากาศยาน ตามที่ คค. เสนอ และให้ คค. กรมท่าอากาศยาน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของ กค. ไปพิจารณาดำเนินการจัดทำข้อมูล ที่สำคัญเพิ่มเติมให้ชัดเจน [เช่น ข้อมูลผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการสำหรับท่าอากาศยาน ทั้ง 3 แห่ง ที่มีการเปรียบเทียบกรณีที่กรมท่าอากาศยานดำเนินการและกรณีที่บริษัท ท่าอากาศยานไทยจำกัด (มหาชน) ดูแลและบริหารจัดการ] แล้วให้ คค. นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบผลการดำเนินการ อีกครั้งหนึ่ง ก่อนดำเนินการต่อไป ซึ่งผู้แทนกรมท่าอากาศยานรายงานว่า ขณะนี้ คค. อยู่ระหว่าง ศึกษาข้อมูลตามนัยมติคณะรัฐมนตรีข้างต้น และมีแนวโน้มว่าจะให้ชะลอการเปลี่ยนแปลงหน่วยงานผู้รับผิดชอบท่าอากาศยานดังกล่าวออกไปก่อน โดยจะรายงานผลการดำเนินการ ต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของท่าอากาศยานบุรีรัมย์นั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างเพื่อขยายทางวิ่ง (Runway) ซึ่งจำเป็นต้องเร่งจัดหาพื้นที่เพิ่มเติมเพื่อก่อสร้างเขตปลอดภัยปลายทางวิ่งเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย แต่โดยที่พื้นที่บริเวณดังกล่าวตั้งอยู่ใน พื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเสนอหลักเกณฑ์ในเรื่องนี้เพื่อให้กรมท่าอากาศยานสามารถดำเนินการจัดหาที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้
3) การแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดราคาค่าขนย้าย ค่ารื้อย้าย อาคาร บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ยืนต้น พืชล้มลุก
โดยที่ สคก. มีความเห็นว่า คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2564 (เรื่อง แนวทางการใช้ระบบคณะกรรมการเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดิน มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล) เห็นชอบให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติตามแนวทางการใช้ระบบคณะกรรมการเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยไม่ควรกำหนดให้คณะกรรมการที่จัดตั้งตามคำสั่งของฝ่ายบริหารนั้นทำงานปกติประจำ ส่วน สศช. มีความเห็นว่า เห็นควรให้กรมท่าอากาศยานพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างคณะกรรมการกำหนด ค่าทดแทนที่ดินและทรัพย์สิน โดยเฉพาะในส่วนของผู้แทนกรมท่าอากาศยาน เพื่อให้องค์ประกอบของคณะกรรมการมีความสมดุล ซึ่งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 เห็นว่า โดยที่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบการใช้ประโยชน์ที่ดินของประชาชนซึ่งควรจะต้อง มีเจ้าหน้าที่ในระดับท้องถิ่นมาตรวจสอบร่วมด้วยเพื่อความถูกต้อง ประกอบกับในกรณีของกรมทางหลวงก็มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการในลักษณะเดียวกัน ดังนั้น จึงเห็นควรให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดราคาค่าขนย้าย ค่ารื้อย้ายอาคาร บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ยืนต้น พืชล้มลุก โดยให้ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการดังกล่าวให้มีความสมดุล ตามความเห็นของ สศช.
9. เรื่อง (ร่าง) มาตรการของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เรื่อง การพิสูจน์สิทธิการครอบครอง ที่ดินของวัดในเขตที่ดินของรัฐ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบ (ร่าง) มาตรการของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เรื่อง การพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของวัดในเขตที่ดินของรัฐ (ร่างมาตรการฯ) ตามที่ สคทช. เสนอ
2. มอบหมาย สคทช. ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กรมที่ดินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำคู่มือสำหรับปฏิบัติงาน และแบบฟอร์มที่เกี่ยวข้องตามมาตรการของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) เรื่อง การพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของวัดในเขตที่ดินของรัฐ ให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน
3. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (คพร. จังหวัด) ใช้มาตรการนี้เป็นแนวทางในการพิจารณาพิสูจน์สิทธิ์ให้กับวัดในพื้นที่ทันที
4. ให้ทุกหน่วยงานของรัฐที่ดูแลรักษาที่ดินของรัฐ อำนวยความสะดวกในการตรวจสอบและรับรองข้อมูลตามอำนาจหน้าที่ เพื่อสนับสนุนการออกเอกสารสิทธิ์ให้วัดที่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรการนี้
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ภายหลังการประกาศเขตที่ดินของรัฐ เช่น ป่าสงวนแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติ เขตป่าอนุรักษ์ เป็นต้น วัดหลายแห่งทั่วประเทศที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมาก่อน ไม่สามารถดำเนินการออกเอกสารสิทธิตามขั้นตอนปกติได้ เนื่องจากวัดส่วนใหญ่ไม่มีเอกสารสิทธิในที่ดิน ซึ่งที่ผ่านมาการพิสูจน์สิทธิจะใช้มาตรการการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐโดยใช้วิธีการตรวจสอบร่องรอยการทำประโยชน์ในภาพถ่ายทางอากาศ แต่เนื่องจากพระสงฆ์ธรรมยุติกนิกายเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติธรรมอยู่ตามป่าเขา จึงไม่ปรากฏร่องรอยการทำประโยชน์หรือสิ่งก่อสร้างในแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศแต่อย่างใด สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) จึงได้จัดทำ (ร่าง) มาตรการของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เรื่อง การพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของวัดในเขตที่ดินของรัฐ (ร่างมาตรการฯ) เพื่อแก้ไขปัญหาวัดที่ครอบครองและทำประโยชน์มาก่อนการประกาศให้พื้นที่นั้นเป็นที่ดินของรัฐ ให้สามารถพิสูจน์สิทธิได้อย่างเป็นธรรมลดข้อขัดแย้งกับหน่วยงานของรัฐ และเป็นไปตามการปฏิบัติธรรมของสงฆ์ด้วย ซึ่งจะสามารถ
นำไปสู่การออกเอกสารสิทธิประเภทโฉนดที่ดินเพื่อธรณีสงฆ์ โดยไม่กระทบต่อการควบคุมดูแล ที่ดินของรัฐในภาพรวม ซึ่งร่างมาตรการฯ มีสาระสำคัญสรุป ดังนี้
1) การพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของวัดในเขตที่ดินของรัฐ จะใช้การพิสูจน์จาก (1) เอกสารหลักฐานทางราชการที่มีวันที่ประกาศและระบุเขตวัด เช่น ประกาศราชกิจจานุเบกษาพื้นที่ของวัด พระราชทานวิสุงคามสีมา เป็นต้น (2) เอกสารหลักฐานที่แสดงการเป็นวัดที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย เช่น ประกาศตั้งวัดของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 เป็นต้น ส่วนวัดที่ตั้งขึ้นก่อนมีกฎหมายใช้บังคับ รวมทั้งวัดที่ตั้งตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่มีหลักฐานให้ตรวจสอบ ให้ใช้หนังสือรับรองสภาพวัด ทะเบียนวัดหรือประวัติวัดที่จัดทำโดย ศธ. หรือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือรายงานการสำรวจโบราณสถานของกรมศิลปากรในพื้นที่ของวัด (3) พยานหลักฐานอื่น เช่น แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) รายงานผลการตรวจสอบหลักฐานที่กรมศิลปากรจัดทำขึ้น เป็นต้น
2) คณะอนุกรรมการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (คพร.จังหวัด) พิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินตามหลักฐานและมีมติว่าวัดครอบครองทำประโยชน์มาก่อนหรือภายหลังการเป็นที่ดินของรัฐแล้ว ให้ฝ่ายเลขานุการ คพร. จังหวัด แจ้งผลการพิสูจน์สิทธิดังกล่าวให้วัดและหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจดูแลรักษาที่ดินของรัฐดังกล่าวทราบ กรณีพื้นที่วัดได้ทำประโยชน์มาก่อนที่ดินเป็นของรัฐ ให้หน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ในที่ดินของรัฐแต่ละประเภทดำเนินการเพิกถอนสถานะการเป็นที่ดินของรัฐ และให้กรมที่ดินดำเนินการออกหนังสือแสดงสิทธิ์ให้ต่อไป โดยหากหน่วยงานมีข้อโต้แย้งให้โต้แย้งไปยัง คพร. จังหวัด ภายใน 30 วัน ส่วนกรณีพื้นที่วัดได้ทำประโยชน์ภายหลังที่ดินเป็นของรัฐ วัดจะต้องดำเนินการขอใช้พื้นที่ต่อหน่วยงานรัฐ ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในพื้นที่ดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ในคราวประชุม ครั้งที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 มีมติเห็นชอบร่างมาตรการดังกล่าวด้วยแล้ว
2. กระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่ขัดข้องโดยมีความเห็นเพิ่มเติมบางประการ เช่น (1) ควรใช้ร่างมาตรการฯ เฉพาะวัดที่ตั้งขึ้นถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น (2) ควรตรวจสอบการใช้ประโยชน์ที่ดินของวัดให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ (3) ควรมีการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ความเข้าใจในการดำเนินการให้หน่วยงานอื่น ๆ ได้รับทราบ เป็นต้น
10. เรื่อง ข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน
157,000 ล้านบาท ระยะที่ 2
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (คณะกรรมการฯ) เสนอ ดังนี้
1. รับทราบมติคณะกรรมการฯ ในคราวการประชุมครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ดังนี้
1.1 รายงานความคืบหน้าการขอรับจัดสรรและผลการอนุมัติจัดสรรงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน
157,000 ล้านบาท (โครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 (ตามข้อ 2) และการมอบหมายคณะอนุกรรมการกำกับและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจของโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ระยะที่ 2
1.2 หลักการและแนวทางการทบทวนการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวน 42,000 ล้านบาท ให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน กับเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบ 3 ด้าน ได้แก่
(1) การรับมือกับผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจเติบโตในอัตราต่ำ (2) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้ผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประเทศสหรัฐอเมริกา (3) การพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อให้ได้ผล ทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปพร้อม ๆ กัน
1.3 มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ ศึกษาแนวทางการทบทวนการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการ ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ด้านการช่วยเหลือ ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เช่น ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย เป็นต้น
2. เห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ระยะที่ 2 [กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (กองทุนเพิ่มขีดความสามารถฯ) และกองทุนเงินให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา (กยศ.)] วงเงินไม่เกิน 18,488.3679 ล้านบาท โดยอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) และ กยศ. นำโครงการที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ตามข้อ 6 ของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการ ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ พ.ศ. 2567
สาระสำคัญ
1. เดิมคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (20 พฤษภาคม 2568) เห็นชอบแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท (แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฯ) และมอบหมายหน่วยงานรับงบประมาณจัดทำโครงการและคำของบประมาณเพื่อดำเนินการตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดังกล่าวตามมติคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 โดยแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฯ มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ |
รายละเอียด |
วัตถุประสงค์ |
1) เพื่อดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว ภายใต้สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่ผันผวน 2) เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเน้นการลงทุนมากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นที่เน้นการบริโภค |
หลักเกณฑ์การจัดสรร เพื่อการลงทุนกระตุ้น เศรษฐกิจ วงเงิน 157,000 ล้านบาท เช่น
|
1) เป็นโครงการ การลงทุน หรือการใช้จ่ายที่สามารถกระจายเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมและรักษาการจ้างงาน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาชุมชน ส่งเสริมการท่องเที่ยวและการใช้ประโยชน์ทางเทคโนโลยีในการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถผูกพันและดำเนินการแล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ จะต้องไม่กระทบกับการดำเนินภารกิจปกติของหน่วยงานตามที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2) กรณีเป็นการก่อสร้าง ต้องมีความพร้อมทั้งแบบรูปรายการและพื้นที่ดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3) กรณีเป็นโครงการที่มีการดำเนินการในหลายพื้นที่ ควรต้องคำนึงถึงการกระจายของพื้นที่ดำเนินการด้วย 4) ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินการที่จะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงการดำเนินการในจังหวัด/พื้นที่ รวมถึงความต้องการของภาคเอกชน 5) การจัดซื้อจัดจ้างให้ดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติมอย่างเคร่งครัด โดยไม่เป็นการแบ่งซื้อแบ่งจ้าง/ไม่เป็นการแบ่งย่อยโครงการใหญ่ออกเป็นโครงการขนาดเล็กจำนวนมาก |
ลักษณะ และรายละเอียด โครงการตามแผน การขับเคลื่อน เศรษฐกิจฯ
|
จำแนกเป็น 3 แผน ได้แก่ 1) แผนการลงทุนในทุนมนุษย์ ซึ่งเป็นการลงทุนในระยะยาว เช่น การสนับสนุนโครงการ 1 ตำบล 1 ทุน (ODOS) การสนับสนุนกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาการสนับสนุนกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เป็นต้น 3) แผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับการสร้างฐานเศรษฐกิจระยะยาวและแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่จำเป็นต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน ภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ |
ขั้นตอน/ระยะเวลาในการดำเนินการ |
1) หน่วยรับงบประมาณจัดทำข้อเสนอโครงการ เพื่อเสนอคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (คณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ) และสำนักงบประมาณ (สงป.) เพื่อพิจารณาภายในเดือนพฤษภาคม 2568 2) คณะกรรมการฯ รวบรวมข้อเสนอโครงการที่ผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติภายในเดือนมิถุนายน 2568 3) หน่วยขอรับงบประมาณขอรับจัดสรรงบประมาณภายในเดือนกรกฎาคม 2568 |
แหล่งเงินงบประมาณ
|
งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ วงเงินไม่เกิน 157,000 ล้านบาท |
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติ (24 มิถุนายน 2568) ดังนี้
2.1 เห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 จำนวน 50 หน่วยรับงบประมาณ 481 โครงการ 8,939 รายการ ภายในกรอบวงเงินรวม 115,375.2715 ล้านบาท (ซึ่งมีโครงการ กยศ. ที่มีจุดประสงค์เพื่อจัดสรรงบประมาณให้แก่ กยศ. เพื่อนำมาใช้จ่ายเป็นค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพให้แก่นักเรียน/นักศึกษา จำนวน 3,100 ล้านบาท รวมอยู่ด้วย) และอนุมัติให้หน่วยรับงบประมาณ ทั้ง 50 หน่วยงาน เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไป โดยให้หน่วยรับงบประมาณดำเนินการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลางรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ พ.ศ. 2567 รวมทั้งกฎหมาย กฎ ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ซึ่งข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ที่ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์การจัดสรร เพื่อการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 157,000 ล้านบาท (หลักเกณฑ์การจัดสรรฯ) และมีความสำคัญสูง มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
ข้อเสนอโครงการ กระตุ้นเศรษฐกิจ |
คำขอรับการจัดสรรงบประมาณฯ ที่ผ่านการพิจารณา |
|||
จำนวนหน่วยรับงบประมาณ |
จำนวนโครงการ |
จำนวนรายการ |
วงเงิน (ล้านบาท) |
|
1) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน |
15 |
34 |
7,986 |
84,999.5422 |
1.1) ด้านน้ำ |
7 |
8 |
2,881 |
39,135.8512 |
1.2) ด้านคมนาคม |
8 |
26 |
5,105 |
45,863.6910 |
2) ด้านการท่องเที่ยว |
13 |
420 |
922 |
10,052.5796 |
การพัฒนาด้านการท่องเที่ยว |
13 |
420 |
922 |
10,052.5796 |
3) ด้านการลดผลกระทบภาคการส่งออกและเพิ่มผลิตภาพ |
9 |
10 |
10 |
11,122.1930 |
3.1) ด้านการเกษตร |
4 |
4 |
4 |
160.2130 |
3.2) ด้านการลดผลกระทบแรงงาน |
1 |
1 |
1 |
10,000.0000 |
3.3) ด้านดิจิทัล |
4 |
5 |
5 |
961.9800 |
4) ด้านเศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ |
15 |
17 |
21 |
9,200.9567 |
4.1) กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (SML) |
1 |
1 |
1 |
4,000.0000 |
4.2) โครงการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ |
13 |
14 |
18 |
1,559.6567 |
4.3) โครงการการพัฒนาทุนมนุษย์ด้านการศึกษาเพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจให้กับประเทศ |
2 |
2 |
2 |
3,641.3000 |
รวมทั้งสิ้น |
50 |
481 |
8,939 |
115,375.2715 |
หมายเหตุ : 1) ประมวลข้อมูลโดย สงป. ข้อมูล ณ วันที่ 18 มิถุนายน 2568
2) ไม่รวมคำขอรับจัดสรรงบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
3) หน่วยรับงบประมาณอาจมีคำขอรับจัดสรรงบประมาณมากกว่า 1 ด้าน โดยจำนวนรวม
50 หน่วยรับงบประมาณ เป็นการคำนวณโดยไม่นับซ้ำ
2.2 รับทราบการดำเนินการและผลการพิจารณากลั่นกรองโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ และการมอบหมายคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ และคณะอนุกรรมการกำกับและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจ ตามมติคณะกรรมการฯ ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สงป. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และกระทรวงมหาดไทย (มท.) (สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) ร่วมกันตรวจสอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ตามคำขอของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และ อปท. รวมถึงโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ที่ยังไม่ผ่านการพิจารณาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ให้ถูกต้องครบถ้วน และรอบคอบ ก่อนจะนำกลับเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการฯ และคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งภายในเดือนกรกฎาคม 2568
3. คณะกรรมการฯ ในคราวการประชุมครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568
[รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายภูมิธรรม เวชยชัย) รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน] ได้มีมติ ดังนี้
3.1 รับทราบรายงานความคืบหน้าการขอรับจัดสรรและผลการอนุมัติจัดสรรงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
24 มิถุนายน 2568 (ตามข้อ 2) ดังนี้
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 |
คำขอรับจัดสรรงบประมาณ ภายหลังจากที่ สงป. ตรวจสอบแล้ว |
ข้อมูล ณ วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 สงป. ได้อนุมัติงบประมาณแล้ว |
50 หน่วยรับงบประมาณ 8,939 รายการ วงเงิน 115,375.2715 |
50 หน่วยงานงบประมาณ 8,716 รายการ (ลดลง 223 รายการ) วงเงิน 114,169.8735 ล้านบาท* (ลดลง 1,205.3980 ล้านบาท) |
36 หน่วยรับงบประมาณ 5,595 รายการ วงเงิน 87,364.7809 ล้านบาท |
หมายเหตุ : *เนื่องจากกองทัพบกปรับลดวงเงินขอรับจัดสรรงบประมาณ จำนวน 8.3440 ล้านบาท เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ดำเนินการจริง และกรมทางหลวงปรับลด 223 รายการ และปรับลดวงเงินขอรับจัดสรรงบประมาณ จำนวน 1,197.0540 ล้านบาท เนื่องจากตรวจสอบพบว่า บางรายการซ้ำซ้อนกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 และบางรายการมีการปรับเปลี่ยนวิธีดำเนินการ
หน่วยรับงบประมาณทั้ง 50 หน่วยรับงบประมาณได้จัดทำคำขอรับจัดสรรงบประมาณตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ พ.ศ. 2567 ส่งให้ สงป. ครบถ้วนแล้ว โดย ณ วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 สงป. ได้พิจารณาอนุมัติงบประมาณให้หน่วยรับงบประมาณแล้ว จำนวน 36 หน่วยรับงบประมาณ 5,595 รายการ วงเงินรวม 87,364.7809 ล้านบาท โดยพิจารณาตามหลักฐานและข้อเท็จจริงที่หน่วยรับงบประมาณจัดส่งให้ รวมทั้งหลักเกณฑ์อัตราค่าใช้จ่าย ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
3.2 เห็นชอบหลักการและแนวทางการทบทวนการใช้งบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวน 42,000 ล้านบาท ให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันที่สอดคล้องกับเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบ 3 ด้าน ได้แก่ (1) การบรรเทาผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจเติบโตในอัตราต่ำ (2) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประเทศสหรัฐอเมริกา และ (3) การพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อให้ได้ผลทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปพร้อม ๆ กัน โดยมีหลักการและแนวทางการทบทวนโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ และเหตุผลความจำเป็นสรุปได้ดังนี้
หัวข้อ |
รายละเอียด |
หลักการและ แนวทาง การทบทวน โครงการ/รายการกระตุ้น เศรษฐกิจฯ
|
1) ข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ที่เข้าระบบ ต้องเป็นยอดที่ตรงกัน กับที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยลงนามเห็นชอบ โดยต้องไม่มีการแก้ไขวงเงินหน่วยดำเนินการ เปลี่ยนแปลงรายการ ชื่อรายการ และชื่อรายการซ้ำกัน 2) ต้องคำนึงถึงเหตุผลด้านเศรษฐกิจ ด้านการตรวจสอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ และด้านกรอบระยะเวลา (Timeline) 3) ให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การช่วยเหลือผู้ประกอบการ ที่ได้ผลกระทบ และการพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อตอบโจทย์อนาคต |
เหตุผล ความจำเป็น |
1) ด้านเศรษฐกิจ สถานการณ์การเจรจาเรื่องภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกายังไม่ได้ข้อยุติ และอาจส่งผลให้เศรษฐกิจ 2) ด้านการตรวจสอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดและ อปท. คณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ โดย สศค. สงป. สศช. และ มท. ได้ร่วมกันตรวจสอบคำขอรับจัดสรรงบประมาณของจังหวัด กลุ่มจังหวัด และ อปท. แล้วพบว่า คำขอของ อปท. มีการดำเนินการในหลายลักษณะ เช่น การก่อสร้างฝาย ขุดลอก ก่อสร้าง/ปรับปรุงถนน ตู้น้ำดื่มสะอาดและการติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่าง เป็นต้น โดยที่ข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว มีตัวเลขไม่ตรงกันและไม่เท่ากับยอดที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยลงนามเห็นชอบ รวมถึง ยังไม่ได้รับการยืนยันตัวเลขจาก มท. อีกครั้ง และยังพบว่า บางรายการมีการแก้ไขวงเงินหน่วยดำเนินการและชื่อรายการ การเปลี่ยนแปลงรายการ และมีชื่อรายการซ้ำกัน ซึ่งหากนำมาพิจารณากลั่นกรองอาจเกิดความผิดพลาดและไม่รอบคอบได้ ประกอบกับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้มีหนังสือขอให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นกำชับและกำกับให้ อปท. ดำเนินการทุกชั้นตอนด้วยความรอบคอบและต้องคำนึงถึงการกระทำใด ๆ อันเล็งเห็นได้ว่าเป็นเหตุหรือช่องทางในการเรียกรับผลประโยชน์อื่นใดเพื่อตนเองหรือผู้อื่นเนื่องจากเห็นว่าเป็นการดำเนินการอย่างเร่งรัดในระยะเวลาเร่งด่วน 3) ด้านกรอบระยะเวลา เนื่องจากคำขอรับจัดสรรงบประมาณโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และ อปท. ยังพบความคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับจำนวนโครงการ รายการ และวงเงิน ประกอบกับการจัดซื้อจัดจ้างของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และ อปท. อาจไม่สามารถดำเนินการได้ทันภายใน 30 กันยายน 2568 เนื่องจากการพิจารณาโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวจะต้องผ่านกระบวนการพิจารณากลั่นกรองตามขั้นตอน ที่กำหนด และในเดือนสิงหาคม 2568 อาจทับซ้อนกับกระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ |
3.3 เห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ระยะที่ 2 (กองทุนเพิ่มขีดความสามารถฯ และ กยศ.) ที่ผ่านการพิจารณาตาม (1) หลักเกณฑ์การจัดสรรเพื่อการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 157,000 ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568
(ตามข้อ 1) (2) ระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ พ.ศ. 2567 (3) หลักเกณฑ์คัดกรองโครงการที่ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ (Negative List) (4) แนวทางการพิจารณาเพื่อจัดทำข้อเสนอโครงการฯ และ
(5) ประเด็นประกอบการกลั่นกรองคัดเลือกข้อเสนอโครงการฯ ที่มีความสำคัญสูง โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ |
รายละเอียด |
ข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ระยะที่ 2 จำนวน 2 โครงการ รวมวงเงินไม่เกิน 18,488.3679 ล้านบาท |
|
1) โครงการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ) |
|
หน่วยงานดำเนินโครงการ |
สกท. |
วัตถุประสงค์
|
เพื่อดึงดูดและรักษาการลงทุนจากผู้ประกอบรายใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (เช่นการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การท่องเที่ยวระดับคุณภาพ การแพทย์ครบวงจร อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ เศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นต้น) ด้วยการบรรเทาผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา และมาตรการภาษีส่วนเพิ่ม (Global Minimum Tax)และเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ จะให้การสนับสนุนในลักษณะเงินอุดหนุนตามสัดส่วนที่กำหนด สำหรับการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะและศักยภาพของบุคลากรไทย การลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนา การลงทุนเพื่อการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และการลงทุนเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ เช่น การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และการลงทุนเพื่อยกระดับสู่ industry 4.0 เป็นต้น |
กลุ่มเป้าหมาย
|
(1) ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) (2) ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีส่วนเพิ่ม (Global Minimum Tax) (3) ผู้ลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย |
งบประมาณ |
10,000 ล้านบาท |
2) โครงการการลงทุนพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อรองรับความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยอาจชะลอตัวในปี 2568 (กยศ.) |
|
หน่วยงานดำเนินโครงการ |
กยศ. |
วัตถุประสงค์ |
เพื่อให้เงินกู้ยืมที่เป็นค่าครองชีพและค่าเล่าเรียน รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการครองชีพระหว่างศึกษา สำหรับนักเรียน/นักศึกษา ที่เป็นผู้กู้ยืมเงินรายใหม่/ผู้กู้ยืมเงินรายเก่า ซึ่งจะทำให้นักเรียน/นักศึกษาได้ศึกษาอย่างต่อเนื่อง ไม่พักการศึกษาหรือเลิกการศึกษาในปีการศึกษา 2568 ซึ่งเป็นการลงทุนในการพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อวางรากฐานเติบโตของประเทศ |
กลุ่มเป้าหมาย |
นักเรียน/นักศึกษาที่เป็นผู้กู้ยืมเงินรายใหม่/ผู้กู้ยืมเงินรายเก่ารวมจำนวน 139,481 ราย |
งบประมาณ |
8,488.3679 ล้านบาท |
3.4 มอบหมายให้ สงป. ดำเนินการให้หน่วยรับงบประมาณ จัดทำข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ระยะที่ 2 ตามแบบฟอร์มการพิจารณาโครงการ ตามแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2568 และรายละเอียดข้อมูลมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
3.5 มอบหมายให้ กค. นำเสนอข้อเสนอโครงการ/รายการ กระตุ้นเศรษฐกิจฯ ระยะที่ 2 ต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อขออนุมัติหลักการของข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวต่อไป พร้อมทั้งเสนอให้คณะรัฐมนตรีมอบหมาย สกท. และ กยศ. นำโครงการที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเสนอขอรับจัดสรรงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ตามข้อ 6 ของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ พ.ศ. 2567 กฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงหน่วยงานต้นสังกัดกำกับดูแล ติดตาม และตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รอบคอบ และเกิดความคุ้มค่าต่อเศรษฐกิจ
3.6 มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ ศึกษาแนวทางการทบทวนการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลางรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ด้านการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้ผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tarff) ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เช่น ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยและธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย เป็นต้น
4. สกท. และ กยศ. ในฐานะหน่วยดำเนินโครงการได้จัดทำรายละเอียด ข้อมูลประกอบการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงิน การคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เรียบร้อยแล้ว
11. เรื่อง ขออนุมัติขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการ โครงการปรับปรุงคลองยม-น่าน จังหวัดสุโขทัย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการ โครงการปรับปรุงคลองยม-น่าน จังหวัดสุโขทัย (โครงการฯ) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
รายการ |
เดิม |
ใหม่ (เสนอครั้งนี้) |
ระยะเวลา ดำเนินโครงการ |
5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 - พ.ศ. 2567) |
8 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 -พ.ศ. 2570) |
กรอบวงเงิน |
2,875 ล้านบาท |
3,069 ล้านบาท |
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ปัจจุบันพื้นที่ลุ่มน้ำยมยังไม่สามารถบริหารจัดการภายในลุ่มน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากไม่สามารถสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำขนาดใหญ่บริเวณตอนบนของลุ่มน้ำยมส่งผลให้เกิดปัญหาอุทกภัยในฤดูน้ำหลากและปัญหาภัยแล้งเป็นประจำโดยเฉพาะในพื้นที่ตอนล่างของลุ่มน้ำยม ซึ่งมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกปี สร้างความเสียหายไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มน้ำยม จังหวัดสุโขทัย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) โดยกรมชลประทานจึงได้วางแผนการดำเนินโครงการ 2 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการปรับปรุงคลองชักน้ำแม่น้ำยมฝั่งขวา จังหวัดสุโขทัย [คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการแล้วเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 และปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ] และ (2) โครงการปรับปรุงคลองยม - น่าน จังหวัดสุโขทัย (โครงการฯ) (คณะรัฐมนตรีเคยมีมติอนุมัติโครงการแล้วเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 และ กษ. ได้เสนอขออนุมัติขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการมาในครั้งนี้) โดยเป็นการตัดยอดน้ำบางส่วนออกจากแม่น้ำสายหลักและควบคุมปริมาณน้ำที่ไหลผ่านตัวเมืองสุโขทัยให้คงเหลือประมาณ 550 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งเพียงพอกับศักยภาพของแม่น้ำยมในบริเวณตัวเมือง โดยเป็นการปรับปรุงคลองระบายน้ำ 2 คลอง ได้แก่ ปรับปรุงคลองหกบาทและคลองยม - น่าน และก่อสร้างคลอง 1 ขวา (ช่วยเพิ่มการระบายน้ำจากแม่น้ำยมเข้าสู่คลองหกบาท) เพื่อให้คลองหกบาทสามารถรองรับน้ำจากแม่น้ำยมได้ 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แล้วระบายน้ำเข้าสู่คลองยม - น่าน จำนวน 300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อระบายน้ำลงสู่แม่น้ำน่านและคลองยมเก่า
2. ในครั้งนี้ กษ. ขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการฯ โดยสาเหตุที่ต้องมีการขอขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการฯ เนื่องจาก
ข้อเสนอ |
สาเหตุ |
1) ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการจากเดิม 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 - พ.ศ. 2567)
|
- การจัดหาที่ดินเกิดความล่าช้า เนื่องจากราษฎรเจ้าของที่ดินไม่ยอมยื่นคำขอรังวัดทำให้ไม่สามารถรังวัดที่ดินได้ จึงจำเป็นต้องเสนอขอออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน - สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2009 ผู้รับจ้างประสบปัญหาขาดแคลนวัสดุก่อสร้าง เครื่องจักร - เครื่องมือไม่เพียงพอ และไม่สามารถเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าสถานที่ก่อสร้างได้ - การบริหารจัดการน้ำระหว่างก่อสร้าง โดยในช่วงฤดูน้ำหลากมีความจำเป็นต้องใช้คลองยม - น่าน ในการระบายน้ำจากแม่น้ำยมลงสู่แม่น้ำน่านเพื่อป้องกันอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นตัวเมืองสุโขทัยและอำเภอใกล้เคียง ส่งผลให้ |
2) เพิ่มกรอบวงเงิน จากเดิม 2,875 ล้านบาท (มติคณะรัฐมนตรี 7 เมษายน 2563) เป็น 3,069 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 194 ล้านบาท) |
- ราคาที่ดินสูงกว่าราคาประเมินเบื้องต้นและการปรับค่าชดเชยที่ดินให้สูงขึ้นเพื่อให้ราษฎรที่ได้รับผลกระทบยอมรับค่าที่ดิน - การปรับแบบก่อสร้างและการเพิ่มเติมอาคารประกอบเพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ประโยชน์และลดผลกระทบต่อราษฎรในพื้นที่ |
ทั้งนี้ คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว ประกอบกับกระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ (สงป.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง ตามที่ กษ.เสนอ โดยมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น สงป. เห็นว่า สำหรับภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้น เห็นควรให้กรมชลประทานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป รวมถึงกรมชลประทานจะเร่งรัดดำเนินการโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน และ สทนช. เห็นว่า กษ. (กรมชลประทาน) ควรเร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่เสนอเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม และระเบียบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าของการใช้งบประมาณ พร้อมทั้งให้รายงานความก้าวหน้าของโครงการต่อ กนช. ทุก 6 เดือน
12. เรื่อง ขออนุมัติขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการ โครงการอ่างเก็บน้ำน้ำปี้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดพะเยา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2564 ในเรื่อง
ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำปี้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดพะเยา (โครงการฯ) ตามที่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ จากระยะเวลาดำเนินโครงการเดิม 10 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2568) เป็น 13 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2571)
2. อนุมัติขยายกรอบวงเงินโครงการฯ จากกรอบวงเงินโครงการเดิม 3,981 ล้านบาท
เป็น 5,000 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1,019 ล้านบาท)
เรื่องเดิม
1. คณะรัฐมนตรีมีมติ (3 พฤศจิกายน 2558) อนุมัติในหลักการโครงการฯ โดยมีแผนการดำเนินโครงการ 6 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559-2564) กรอบวงเงินโครงการ จำนวน 3,981 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อเพิ่มแหล่งน้ำต้นทุน จำนวน 96 ล้านลูกบาศก์เมตร และเพิ่มพื้นที่ชลประทานในเขตอำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา จำนวน 28,000 ไร่ และสามารถส่งน้ำให้กับโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ยม จังหวัดแพร่ในฤดูแล้งได้อีก จำนวน 35,000 ไร่ และให้กรมชลประทาน สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดและอนุมัติการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ จำนวน 21 ไร่ เพื่อดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2532 และวันที่ 23 ธันวาคม 2546
2. คณะรัฐมนตรีมีมติ (14 กันยายน 2564) อนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ จำนวน 3 โครงการ ซึ่งรวมถึงการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ จากเดิม 6 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2564) เป็น 10 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ 2559 - 2568) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการฯ เดิม ที่ได้รับอนุมัติ จำนวน 3,981 ล้านบาท ให้ กษ. พิจารณาใช้สิทธิของผู้ว่าจ้างภายหลังบอกเลิกสัญญาเพื่อเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากผู้รับจ้างรายเดิมในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาสัญญา
สาระสำคัญของเรื่อง
1. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) โดยกรมชลประทานได้ดำเนินโครงการ อ่างเก็บน้ำ
น้ำปี้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดพะเยา (โครงการฯ) ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 โดยที่ผ่านมาประสบปัญหาการดำเนินการที่ล่าช้ากว่าแผนงาน เนื่องจากผู้รับจ้างดำเนินงานก่อสร้างไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามสัญญาได้โดยมีผลการดำเนินงานสะสมร้อยละ 20.65 ซึ่งกรมชลประทานได้บอกเลิกสัญญา เมื่อวันที่
1 กรกฎาคม 2563 และต่อมากรมชลประทานได้ว่าจ้างรับจ้างก่อสร้างรายใหม่ โดยมีผลการดำเนินงานสะสมร้อยละ 32.15 ทำให้ผลการดำเนินงานสะสมปัจจุบันทั้งหมดของงานจ้างก่อสร้างเขื่อนหัวงานและอาคารประกอบอยู่ที่ร้อยละ 52.80 (ข้อมูล ณ วันที่ 4 มิถุนายน 2568) ส่งผลให้งานก่อสร้างระบบชลประทาน (ระบบท่อส่งน้ำและอาคารประกอบ) ซึ่งต้องดำเนินงาน ภายหลังงานก่อสร้างเขื่อนหัวงานแล้วเสร็จ ต้องปรับแผนดำเนินงานก่อสร้างในปี พ.ศ. 2568 - 2571 นอกจากนี้ เนื่องจากการกำหนดวงเงินโครงการฯ ประเมินจากการออกแบบเบื้องต้น โดยใช้ราคาวัสดุก่อสร้างและอัตราราคาน้ำมัน ในปี พ.ศ. 2558 ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการออกแบบรายละเอียดโดยพิจารณาตามหลักวิศวกรรมและภูมิประเทศแล้ว ทำให้มีการปรับรายละเอียดแบบก่อสร้างเพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับพื้นที่ก่อสร้าง และการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุและราคาน้ำมัน ประกอบกับราคาที่ดินสูงกว่าราคาประเมินเบื้องต้น รวมทั้งมีประชาชนบางส่วนที่มีที่ดินถูกเขตชลประทานไม่ยอมรับราคาทดแทนที่ดิน จึงต้องปรับค่าทดแทนที่ดินให้สูงขึ้น เป็นผลให้วงเงินงบประมาณเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ กษ. จำเป็นต้องขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการจากเดิม 10 ปี ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2559) เป็น 13 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2571) และขออนุมัติขยายกรอบวงเงินโครงการฯ จากเดิมจำนวน 3,981 ล้านบาท เป็นจำนวน 5,000 ล้านบาท (ประกอบด้วยค่าจัดหาที่ดิน จำนวน 290.20 ล้านบาท และค่าก่อสร้างจำนวน 4,740.80 ล้านบาท) ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 ได้มีมติเห็นชอบแล้ว รวมถึงกระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ พิจารณาแล้วเห็นด้วย/ไม่ขัดข้อง โดยมีความเห็นเพิ่มเติม บางประการ เช่น กค. เห็นว่า เรื่องที่ กษ. เสนอคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้เป็นการขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการและเพิ่มกรอบวงเงินก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ ตามนัยระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ข้อ 7 (3) ซึ่งกำหนดให้เสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกัน โดยต้องส่งผลการจัดซื้อจัดจ้างหรือรายละเอียดอื่นใด ที่เกี่ยวข้องให้สำนักงบประมาณ (สงป.) พิจารณาเพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย [อย่างไรก็ตาม กษ. แจ้งว่า การขอขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการดังกล่าว เป็นเพียงการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการฯ จากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้ และไม่เข้าลักษณะเป็นการเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันตามข้อ 7 (3) แห่งระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2562] และ สทนช. เห็นว่ากรมชลประทานควรเร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่เสนอ เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพโดยเร็ว โดยปฏิบัติตามระเบียบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องพร้อมทั้งให้รายงานความก้าวหน้าโครงการฯ ต่อ กนช. ทุก 6 เดือน เป็นต้น
เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้ กษ. ดำเนินโครงการฯ มาตั้งแต่ปีงบประมาณ
พ.ศ. 2559 และต่อมาอนุมัติให้ กษ. ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการๆเพิ่มเติมมาแล้ว โดยหากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาตามที่ กษ. เสนอในครั้งนี้ จะทำให้ระยะเวลาดำเนินโครงการดังกล่าวรวมเป็น
13 ปี ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเกิดความคุ้มค่าต่อวงเงินงบประมาณและบรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ในการเป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค การปศุสัตว์และอุตสาหกรรม รวมทั้งเป็นแหล่งน้ำสำหรับฤดูแล้งและเพื่อบรรเทาอุทกภัย
ในพื้นที่ จึงเห็นควรให้ กษ. โดยกรมชลประทาน กำกับ ติดตาม ผู้ดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ ให้ดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผนที่วางไว้ภายใน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2571 โดยไม่ควรให้มีการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ออกไปอีก
13. เรื่อง ขอยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) เสนอ ดังนี้
1. ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่อยู่ในความรับผิดชอบของศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) จำนวน 9 ฉบับ ดังนี้
1.1 คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 19/2558 เรื่อง แต่งตั้งและให้เจ้าหน้าที่ของรัฐดำรงตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่อื่น ลงวันที่ 25 มิถุนายน พุทธศักราช 2558
1.2 คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 1/2559 เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ 3 ลงวันที่ 5 มกราคม พุทธศักราช 2559
1.3 คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 33/2559 เรื่อง ให้ข้าราชการไปปฏิบัติราชการในหน่วยงานอื่น ลงวันที่ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2559
1.4 คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 43/2559 เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้ง 4 ลงวันที่ 17 กรกฎาคม พุทธศักราช 2559
1.5 คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 47/2559 เรื่อง การดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 33/2559 ลงวันที่ 18 สิงหาคม พุทธศักราช 2559
1.6 คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 52/2559 เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกสอบเพิ่มเพิ่มเติม ครั้งที่ 7 ลงวันที่ 2 กันยายน พุทธศักราช 2559
1.7 คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 59/2559 เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ 8 และการปรับปรุงการบริหารงานบุคคลในบางหน่วยงานของรัฐ ลงวันที่ 27 กันยายน พุทธศักราช 2559
1.8 คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 35/2560 เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ 9 ลงวันที่ 25 กรกฎาคม พุทธศักราช 2560
1.9 คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 39/2560 เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ 10 ลงวันที่ 8 กันยายน พุทธศักราช 2560
2. เห็นชอบให้นายกรัฐมนตรีอาศัยอำนาจตามบัญชีห้าท้ายคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2562 ตาม 1. วรรคหก มีคำสั่งให้บุคคลผู้มีรายชื่อ ในกลุ่มที่ 1 (ข้าราชการ) กลุ่มที่ 2 (หน่วยงานอื่นของรัฐ) กลุ่มที่ 3 (นายกหรือรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล) กลุ่มที่ 4 (นายกเทศมนตรี) และกลุ่มที่ 5 (ปลัดและรองปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2558 เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบและกรอบอัตรากำลังชั่วคราว ลงวันที่ 15 พฤษภาคม พุทธศักราช 2558 และบุคคลที่มีการประกาศเพิ่มเติมตามข้อ 5 ของคำสั่งดังกล่าว ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ให้กลับไปปฏิบัติและตำแหน่งเดิม หรืออัตราและตำแหน่งที่หัวหน้าส่วนราชการนั้น ๆ ตามความเหมาะสม และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าวตามอำนาจหน้าที่และกระบวนการตามกฎหมาย
กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้องของหน่วยงานนั้น ๆ กำหนดไว้ต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เดิมได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2568 เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบและการกำหนดกรอบอัตรากำลังชั่วคราว ลงวันที่ 15 พฤษภาคม พุทธศักราช 2558 ที่กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบของหน่วยงานต่าง ๆ โดยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกตรวจสอบระงับการปฏิบัติราชการในตำแหน่งเดิมเป็นการชั่วคราวและไปปฏิบัติราชการในสำนักงานปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี หรือส่วนราชการอื่นแล้วแต่กรณี โดยคำสั่งดังกล่าวได้กำหนดรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างตรวจสอบต้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวด้วย และต่อมาได้มีการออกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติอีกจำนวน 9 ฉบับ เพื่อประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบและต้องอยู่ภายใต้มาตรการดังกล่าวเพิ่มเติม ซึ่งหลังจากนั้นได้มีการออกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 9/2562 เรื่อง การยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ บางฉบับที่หมดความจำเป็น ลงวันที่
9 กรกฎาคม พุทธศักราช 2562 กำหนดให้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2568 โดยให้ผู้มีรายชื่อตามคำสั่งดังกล่าวและบุคคลที่มีการประกาศรายชื่อเพิ่มเติมยังคงปฏิบัติราชการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2568 และคำสั่งที่มีการประกาศเพิ่มเติมจำนวน 4 ฉบับต่อไป จนกว่านายกรัฐมนตรีจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
2. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐพิจารณาแล้วเห็นว่า
การดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2568 และคำสั่งที่มีการประกาศเพิ่มเติม จำนวน 9 ฉบับดังกล่าวได้มีการดำเนินการมาเป็นระยะเวลาหนึ่งและบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว เนื่องจากได้มีการดำเนินการกับบุคคลที่ถูกตรวจสอบตามคำสั่งดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว จำนวน 408 ราย จากจำนวน 423 ราย ส่วนบุคคลที่เหลือ จำนวน 15 รายอยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือหน่วยงานต้นสังกัดตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคงคำสั่งที่ได้มีการประกาศเพิ่มเติม จำนวน 9 ฉบับ ให้มีผลใช้บังคับต่อไป ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนความจำเป็น เหมาะสมของประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับต่าง ๆ ที่ยังคงมีผลใช้บังคับในปัจจุบัน โดยหากประกาศหรือคำสั่งใดสมควรให้คงมีผลใช้บังคับต่อไป หรือสมควรยกเลิก ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วน โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า คำสั่งจำนวน 9 ฉบับ ดังกล่าวมีลักษณะเป็นคำสั่งทางบริหารที่สามารถยกเลิกได้โดยมติคณะรัฐมนตรี ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐจึงเห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณายกเลิกคำสั่ง จำนวน 9 ฉบับดังกล่าว โดยการยกเลิกคำสั่งดังกล่าวจะไม่กระทบ ต่อการดำเนินการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งที่ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วหรืออยู่ระหว่างการดำเนินการแต่อย่างใด รวมทั้งเห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตามบัญชีห้าท้ายคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2562 ตาม 1. วรรคหก เพื่อมีคำสั่งให้บุคคลผู้มีรายชื่อตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2568 และบุคคลที่มีการประกาศรายชื่อเพิ่มเติม ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ให้กลับไปปฏิบัติราชการในอัตราและตำแหน่งเดิมหรืออัตราและตำแหน่งที่หัวหน้าส่วนราชการนั้น ๆ พิจารณาตามความเหมาะสม เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าวตามอำนาจหน้าที่และกระบวนการตามกฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้องของหน่วยงานนั้น ๆ กำหนดไว้ต่อไป
1. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่อยู่ในความรับผิดชอบของศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) จำนวน 9 ฉบับ เป็นคำสั่งที่มีลักษณะเป็นคำสั่งทางบริหารที่สามารถยกเลิกได้โดยมติคณะรัฐมนตรี หากสำนักงาน ป.ป.ท. ในฐานะฝ่ายเลขานุการของ ศอตช. เห็นสมควรยกเลิกคำสั่งดังกล่าว สำนักงาน ป.ป.ท. ย่อมสามารถดำเนินการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อยกเลิกคำสั่งดังกล่าวต่อไปได้
2. สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรีจะมีคำสั่งให้บุคคลผู้มีรายชื่อตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2558 เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบและการกำหนดกรอบอัตรากำลังชั่วคราว ลงวันที่ 15 พฤษภาคม พุทธศักราช 2558 และบุคคลที่มีการประกาศรายชื่อเพิ่มเติมตามข้อ 5 ของคำสั่งดังดังกล่าวที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ให้กลับไปปฏิบัติราชการในอัตราและตำแหน่งเดิม หรืออัตราและตำแหน่งที่หัวหน้าส่วนราชการนั้น ๆ พิจารณาตามความเหมาะสม และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าวตามอำนาจหน้าที่และกระบวนการตามกฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้องของหน่วยงานนั้น ๆ กำหนดไว้ต่อไป โดยอาศัยอำนาจตามบัญชีห้าท้ายคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2562 ตาม 1. วรรคหก นั้น เห็นว่า ตาม 1. วรรคหก กำหนดว่าให้ผู้มีรายชื่อตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ 16/2558 และบุคคลที่มีการประกาศรายชื่อเพิ่มเติมซึ่งมีอยู่ในวันก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับระงับการปฏิบัติราชการในตำแหน่งเดิมเป็นการชั่วคราวและให้ปฏิบัติหน้าที่หน้าที่ตามคำสั่งดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ จนกว่านายกรัฐมนตรีจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น จึงเห็นได้ว่าคำสั่งดังกล่าวจะคงมีอยู่ต่อไปจนกว่านายกรัฐมนตรีเป็นอย่างอื่น ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงสามารถอาศัยอำนาจตามบัญชีท้ายดังกล่าวแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงหรือให้กลับไปปฏิบัติราชการในอัตราและตำแหน่งเดิมหรืออัตราและตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการนั้น ๆ พิจารณาตามความเหมาะสม และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าวตามอำนาจหน้าที่และกระบวนการตามกฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้องของหน่วยงานนั้น ๆ กำหนดไว้ต่อไปได้
3. สำนักงาน ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า หากคณะรัฐมนตรีเห็นว่าการดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงาน ป.ป.ท. มีการดำเนินการมาเป็นระยะเวลาหนึ่งและบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ก็อาจพิจารณายกเลิกคำสั่งดังกล่าวได้ โดยหากมีการยกเลิกคำสั่งดังกล่าว ย่อมไม่กระทบต่อเรื่องกล่าวหาที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบหรือไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ป. ข้อกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
14 เรื่อง ขอความเห็นชอบมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์ให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา นับตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2568 จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้ หากมีผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มเติม ให้หน่วยงานขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอน ต่อไป
2. เห็นชอบกรอบอัตราเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา
3. เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา (วันที่ 16 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม 2568) จำนวน 404,600,000 บาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับผลกระทบ และให้กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ตามข้อ 6.3
สาระสำคัญของเรื่อง
1. นับตั้งแต่ห้วงต้นปี 2568 สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชาอยู่ในสภาวะตึงเครียดเนื่องจากปรากฏการเคลื่อนไหวทางการทหารของฝ่ายกัมพูชาในบริเวณพื้นที่ใกล้ชายแดนของไทย ทั้งในด้านการเสริมกำลังทางการทหาร การปรับเปลี่ยนสภาพภูมิประเทศ และการรุกล้ำอธิปไตยของไทย
2. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยได้ใช้มาตรการต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อให้กัมพูชายุติการกระทำดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกัมพูชาไม่ได้ยุติการดำเนินการ หากแต่ได้ดำเนินการที่เป็นการคุกคามและละเมิดอำนาจอธิปไตยเพิ่มเติม อาทิ การลอบติดตั้งทุ่นระเบิดในพื้นที่ประเทศไทย ซึ่งทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นระเบิดขณะออกลาดตระเวนบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 และบริเวณช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568
3. นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชาได้ยิงเข้ามายังฝั่งไทย โดยฝ่ายไทยได้ตอบโต้กลับ ทำให้เกิดการปะทะระหว่างทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่กัมพูชามุ่งโจมตีประเทศไทยด้วยอาวุธร้ายแรง และไม่เลือกเป้าหมายระหว่างทหารกับประชาชน ได้ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนไทย
4. ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ 8/2568 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 มีมติเห็นชอบมาตรการรองรับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย - กัมพูชาในด้านการช่วยเหลือประชาชนและบรรเทาผลกระทบ โดยเห็นชอบในหลักการขยายวงเงินช่วยเหลือเยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบ โดยมอบหมายให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย - กัมพูชา ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. 2559
5. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ได้เห็นชอบในหลักการให้ปรับเพิ่มเงินเยียวยาให้กับประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การปะทะบริเวณ 7 จังหวัดชายแดนไทย - กัมพูชา โดยได้มอบหมายให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นหน่วยหลักร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราเงินเยียวยาให้แก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวให้มีความเหมาะสมชัดเจน โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี และให้นำผลการพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนในวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ต่อไป
6. สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ จึงได้จัดการประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกันพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราเงินเยียวยาให้แก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568 สรุปผลการประชุม ดังนี้
6.1 เห็นชอบความเหมาะสมในการกำหนดหลักเกณฑ์ผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา โดยเทียบเคียงจากหลักเกณฑ์จากสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
6.1.1 “ผู้เสียชีวิต” หมายถึง การเสียชีวิตทั้งทางตรงหรือทางอ้อมโดยการวินิจฉัยจากคณะทำงานหรือทางการแพทย์มีหนังสือรับรองจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา
6.1.2 “ทุพพลภาพ” หมายถึง การสูญเสียประการใดประการหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1) ขาทั้งสองขาด
(2) เท้าข้างหนึ่งกับขาอีกข้างหนึ่งขาด
(3) มือหรือแขนข้างหนึ่งกับเท้าหรือขาอีกข้างหนึ่งขาด
(4) มือทั้งสองข้างขาด
(5) แขนทั้งสองข้างขาด
(6) มือข้างหนึ่งกับแขนอีกข้างหนึ่งขาด
(7) บกพร่องทางการเห็น ซึ่งหมายถึง (ก) สูญเสียลูกตาทั้งสองข้าง
(ข) สูญเสียลูกตาข้างหนึ่งและความสามารถในการมองเห็นโดยสายตาอีกข้างหนึ่งเมื่อใช้แว่นสายตาธรรมดาแล้วอยู่ในระดับแย่กว่า 3/60 (ค) ความสามารถในการมองเห็นโดยสายตาทั้งสองข้างอยู่ในระดับแย่กว่า 3/60
(8) ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยที่ศีรษะ และ/หรือกระดูกสันหลังเป็นเหตุให้มือหรือแขนทั้งสองข้าง มือข้างหนึ่งกับแขนข้างหนึ่ง เท้าหรือขาทั้งสองข้าง เท้าข้างหนึ่งกับขาอีกข้างหนึ่ง มือหรือแขนข้างหนึ่งกับเท้า หรือขาอีกข้างหนึ่ง สูญเสียสมรรถภาพในการทำงานโดยสิ้นเชิง
(9) ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยที่ศีรษะอันเป็นเหตุให้เกิดความผิดปกติของความรู้สึกตัว และ/หรือจิตฟั่นเฟือน และ/หรือวิกลจริตจนไม่สามารถปฏิบัติงานได้และไม่สามารถรักษาให้หายได้
(10) สูญเสียอวัยวะหรือสูญเสียสมรรถภาพในการทำงานของอวัยวะในส่วนหนึ่งส่วนใดหรือในหลายส่วนของร่างกาย นอกจากที่กำหนดไว้ใน (1) ถึง (2) ซึ่งคณะทำงานหรือแพทย์มีหนังสือรับรองวินิจฉัยว่าทุพพลภาพ
“สูญเสียอวัยวะไม่สำคัญ” หมายถึง สูญเสียอวัยวะอื่น ๆ ที่ไม่อยู่ในความหมายของการสูญเสียอวัยวะสำคัญเป็นการถาวร
“การสูญเสียอวัยวะสำคัญ” หมายถึง สูญเสียอวัยวะประการใดประการหนึ่งดังต่อไปนี้เป็นการถาวร
(1) เสียลูกตาข้างหนึ่งหรือเสียสมรรถภาพในการมองเห็นร้อยละห้าสิบขึ้นไป
(2) เสียแขนหรือมือข้างหนึ่ง
(3) เสียขาหรือเท้าข้างหนึ่ง
6.1.3 “ได้รับบาดเจ็บสาหัส” หมายถึง เข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลและนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลในฐานะเป็นผู้ป่วยในเป็นเวลาเกิน 20 วัน
6.1.4 “ได้รับบาดเจ็บมาก” หมายถึง เข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลและนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลในฐานะเป็นผู้ป่วยใน เป็นเวลาตั้งแต่ 2 วันแต่ไม่เกิน 20 วัน
6.2 เห็นชอบความเหมาะสมในการกำหนดกรอบอัตราเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ดังนี้
6.2.1 เงินเยียวยากรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ อัตรา 8,000,000 บาทต่อราย โดยคำนวณตามฐานข้อมูลรายได้เฉลี่ยประจำต่อคนตามสถิติรายได้ประชาชาติของประเทศไทย (GDP per capita) ณ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2568 ซึ่งเท่ากับ 269,000 บาท ชดเชยค่าเสียโอกาสให้กับทุกครอบครัวในอัตราเดียวกันเป็นเวลา 30 ปี ประมาณว่าผู้เสียอายุที่ 30 ปี จะมีโอกาสทำงานจนถึงอายุ 60 ปี จึงเท่ากับขาดโอกาสทำงานไปเป็นเวลา 30 ปี และกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาทิ ทหาร ทหารพราน ตำรวจ ตำรวจตระเวนชายแดน ให้ได้รับเงินเพิ่มเติมในลักษณะค่าเสี่ยงภัยอีก 2,000,000 บาทต่อราย โดยคิดจากอัตราร้อยละ 25 ของกรอบอัตราเงินชดเชยกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ
6.2.2 เงินเยียวยากรณีบาดเจ็บสาหัส อัตรา 800,000 บาทต่อราย โดยคำนวณตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน ตามประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 14) ประกาศ ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2568 ซึ่งเท่ากับ 351 บาท ชดเชยค่าเสียโอกาสให้กับ ทุกครอบครัวในอัตราเดียวกันตามประมาณการวันทำงาน 250 วันต่อปี เป็นระยะเวลา 10 ปี และกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาทิ ทหาร ทหารพราน ตำรวจ ตำรวจตระเวนชายแดน ให้ได้รับเงินเพิ่มเติมในลักษณะค่าเสี่ยงภัยอีก 200,000 บาทต่อราย โดยคิดจากอัตราร้อยละ 25 ของอัตราเงินเยียวยากรณีบาดเจ็บสาหัส
6.2.3 เงินเยียวยากรณีบาดเจ็บมาก อัตรา 400,000 บาทต่อราย โดยคำนวณตามอัตราร้อยละ 50 ของเงินชดเชยกรณีบาดเจ็บสาหัส และกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาทิ ทหาร ทหารพราน ตำรวจ ตำรวจตระเวนชายแดน ให้ได้รับเงินเพิ่มเติมในลักษณะค่าเสี่ยงภัยอีก 100,000 บาทต่อราย โดยคิดจากอัตราร้อยละ 25 ของอัตราเยียวยากรณีบาดเจ็บมาก
6.3 เห็นชอบกรอบวงเงินในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชาเบื้องต้น นับตั้งแต่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม 2568 จำนวน 404,600,000 บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี และกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับบริจาคและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้จำแนกรายละเอียด ดังนี้
6.3.1 เจ้าหน้าที่ของรัฐ รวม 239,000,000 บาท
(1) เสียชีวิตหรือทุพพลภาพ จำนวน 19 ราย คิดเป็นเงิน
190,000,000 บาท
(2) บาดเจ็บสาหัส จำนวน 19 ราย คิดเป็นเงิน 19,000,000 บาท (3) บาดเจ็บมาก จำนวน 60 ราย คิดเป็นเงิน 30,000,000 บาท 6.3.2 ประชาชน รวม 165,600,000 บาท
(1) เสียชีวิตหรือทุพพลภาพ จำนวน 17 ราย คิดเป็นเงิน
136,000,000 บาท
(2) บาดเจ็บสาหัส จำนวน 37 ราย คิดเป็นเงิน 29,600,000บาท กรณีที่ผู้ได้รับผลกระทบฯ ได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย
ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับบริจาคและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไปส่วนหนึ่งแล้ว ให้นำจำนวนเงินที่ได้รับการเยียวยาไปแล้ว หักออกจากจำนวนเงินเยียวยาตามหลักเกณฑ์นี้
ค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มา
1) งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. 2559
2) กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับบริจาคและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
15. เรื่อง รายงานประจำปี 2567 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี 2567 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เสนอ
สาระสำคัญ
1. ผลการดำเนินการของ สสวท. ปี 2567
1.1 การพัฒนาหลักสูตร สื่อ กระบวนการเรียนรู้ และเครื่องมือวัด และประเมินผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี เช่น
(1) พัฒนาชุดกิจกรรมและแนวทางการพัฒนากิจกรรม การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ที่ส่งเสริมสมรรถนะผู้เรียน ได้แก่ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์พร้อมคู่มือสำหรับครู ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 ชุดกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและฟิสิกส์ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้การออกแบบและเทคโนโลยีระดับมัธยมศึกษา ชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา และแนวทางการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมสมรรถนะทางคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ระดับประถมศึกษา
(2) พัฒนาบทเรียนออนไลน์พร้อมสื่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในระบบ My IPST ของ สสวท. รวม 10 บทเรียน ซึ่งแต่ละบทเรียนประกอบด้วย แนวทางการจัดการเรียนรู้ แบบฝึกหัด 3 ระดับ คือ ระดับพื้นฐาน ระดับกำลังพัฒนาและระดับก้าวหน้า สื่อวิดีโอการเรียนรู้ในรูปแบบคลิปสั้นภายใต้โครงการ “Project 14 : พลังแห่งการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี” สื่อวิดีโอการเรียนรู้ในรูปแบบคลิปสั้นอื่น ๆ และแบบทดสอบ ท้ายบทเรียน
(3) พัฒนาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ และกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยพัฒนากรอบแนวคิดที่จำเป็นของทั้ง 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้ในระดับประถมศึกษาปีที่ 1 – มัธยมศึกษาปีที่ 6 และสมรรถนะที่จำเป็นด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
(4) จัดทำเครื่องมือสำหรับใช้ลงพื้นที่ติดตามการใช้หลักสูตร และการจัดกระบวนการเรียนรู้ในรายวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ระดับประถมศึกษา ประกอบด้วย แบบสอบถามเกี่ยวกับความคิดเห็นที่มีต่อหลักสูตร แบบสัมภาษณ์เกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตร แบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ของครู แบบสังเกตการสอนของครูและแบบวัดความสามารถของครูด้านการออกแบบการสอน
(5) พัฒนาและขับเคลื่อนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้
ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี และปรับปรุงระบบต่าง ๆ ของแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้และพัฒนาตนเองด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี รวมทั้งบริหารจัดการเผยแพร่ และให้บริการหลักสูตร สื่อ และองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีของ สสวท. ให้มีคุณภาพมาตรฐานและสอดคล้องกับหลักสูตรในโรงเรียน เพื่อให้นักเรียน ครูผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ปกครอง และบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา
1.2 การขับเคลื่อนการจัดการเรียนการสอนฐานสมรรถนะด้วยวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีอย่างมีส่วนร่วมให้สอดคล้องและเท่าทันพัฒนาการของโลก เช่น
(1) พัฒนาศักยภาพผู้บริหารสถานศึกษาให้เป็นผู้นำทางวิชาการในการส่งเสริมการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้มีทักษะการคิดเชิงวิทยาศาสตร์และมีสมรรถนะและความสามารถในการเป็นผู้นำทางวิชาการ
(2) พัฒนาครูวิทยากรแกนนำและครูเครือข่ายโครงการส่งเสริม การผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (สควค.) เพื่อพัฒนาทักษะความสามารถของครู สควค. ในด้านการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษาและเพิ่มพูนศักยภาพในการเป็นครูวิทยากรแกนนำ สร้างความเป็นผู้นำทางการจัดการเรียนรู้สู่นอกสถานศึกษา
(3) พัฒนาครูในโรงเรียนโครงการพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐา
ธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อให้ครูมีความเข้มแข็ง ด้านวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(4) ส่งเสริมการเรียนรู้สิ่งแวดล้อมที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศตามแนวทางสะเต็มศึกษา นักเรียนในท้องถิ่นให้สอดคล้องกับทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยจัดกิจกรรมร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยโครงการการเรียนรู้และการสังเกต สิ่งแวดล้อมเพื่อประโยชน์ของโลก (Global Learning and Observations to Benefit the Environment : GLOBE) จำนวน 20 มหาวิทยาลัย ให้กับนักเรียน จัดกิจกรรมสร้างความตระหนักในการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม และส่งเสริมศักยภาพครูและนักเรียนในการทำงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมและนวัตกรรมในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ
(5) ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาศักยภาพเยาวชน
ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี และจัดตั้งเครือข่ายศูนย์พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาของ สสวท. ประจำจังหวัด โดยคัดเลือกโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีศักยภาพเพื่อเข้าร่วมโครงการยกระดับคุณภาพการศึกษาวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีเชิงพื้นที่ จำนวน 156 โรงเรียน เพื่อเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียนให้สามารถจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศและบริบทของโรงเรียน
1.3 การพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี เช่น
(1) มอบทุนการศึกษาต่าง ๆ ได้แก่
ทุนการศึกษา |
จำนวน (ทุน) |
1) ทุนพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มุ่งเน้นการผลิตนักวิทยาศาสตร์ /นักวิจัยที่เป็นกำลังคนที่มีศักยภาพสูงและมีพื้นฐานที่เข้มแข็ง ด้านองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ปริญญาตรี-ปริญญาเอก ปริญญาโท-ปริญญาเอก และปริญญาเอก) |
1,379
|
2) ทุน สควค. ระยะที่ 4 มุ่งเน้นการผลิตครูที่จบการศึกษาระดับปริญญาโทที่มีความสามารถพิเศษวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ (ระดับปริญญาตรี-ปริญญาโท และปริญญาโท) |
219 |
3) ทุนโอลิมปิกวิชาการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มุ่งเน้นการผลิตนักวิจัยและนักวิชาการระดับแนวหน้าในสาขาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี (ระดับปริญญาตรี -ปริญญาเอก) |
147 |
(2) สนับสนุนนักเรียนเข้าร่วมแข่งขันฟิสิกส์สัประยุทธ์ ระดับนานาชาติ ครั้งที่ 37 เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนแข่งขันชิงวิชาการในการแก้โจทย์ปัญหาปลายเปิดทางฟิสิกส์ที่มีความซับซ้อน โดยผลการแข่งขันไทยได้รับรางวัลเหรียญทองแดง
(3) คัดเลือกและจัดส่งผู้แทนไทยเข้าร่วมการแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระดับทวีปเอเชีย ครั้งที่ 24 โดยผู้แทนไทยได้รับรางวัลเหรียญเงิน จำนวน 1 รางวัล เหรียญทองแดง จำนวน
4 รางวัล เกียรติคุณประกาศ จำนวน 2 รางวัล และเกียรติบัตร จำนวน 1 รางวัล
(4) คัดเลือกผู้แทนไทยเข้าร่วมการแข่งขันคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ 5 วิชา ได้แก่ คณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ เคมี ชีววิทยา และฟิสิกส์โดยผู้แทนไทยได้รับรางวัลเหรียญทอง จำนวน 1 รางวัล เหรียญเงิน จำนวน 10 รางวัล เหรียญทองแดง จำนวน 9 รางวัล และเกียรติคุณประกาศ จำนวน 3 รางวัล
นอกจากนี้ ยังได้ส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าปฏิบัติงานในหน่วยวิจัย รวมถึงการสร้างเส้นทางอาชีพ สภาพแวดล้อมและระบบสนับสนุนที่เหมาะสมสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อให้ผู้สำเร็จการศึกษาได้พัฒนาศักยภาพและเพิ่มพูนความสามารถด้านวิชาการและทักษะความสามารถด้านต่าง ๆ เพื่อให้มีความพร้อมเป็นนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ที่ดี มีคุณภาพ มีจิตสาธารณะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง และผลิตงานวิจัยที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อสังคม
1.4 การพัฒนาความเป็นเลิศขององค์กรที่เน้นการใช้ดิจิทัลและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีของประเทศอย่างมีคุณภาพ เช่น
(1) พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริการ และบริหารจัดการให้สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งรองรับการขยาย ขีดความสามารถในการให้บริการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ จำนวน 21 ระบบ
(2) พัฒนาระบบคุณภาพองค์กรและระบบบริหารจัดการตามหลักธรรมา
ภิบาล เพื่อมุ่งเน้นให้เกิดการปรับปรุงองค์กรอย่างรอบด้านและครอบคลุม สามารถดำเนินงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เป็นองค์กรแห่งคุณภาพและโปร่งใสตรวจสอบได้
(3) สร้างความตระหนักในความสำคัญของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ผ่านการจัดกิจกรรมงานเทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ครั้งที่ 19 จัดนิทรรศการเผยแพร่ผลผลิตของ สสวท. ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดความตระหนักรู้ในกระบวนการเรียนการสอนทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี
2. แผนการดำเนินงานของ สสวท. ปี 2568 เช่น
2.1 พัฒนาหลักสูตร สื่อ ต้นแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ และเครื่องมือวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับนักเรียนในแต่ละช่วงวัยโดยการพัฒนาหลักสูตร สื่อ ต้นแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง และการส่งเสริมให้เกิดสมรรถนะตามช่วงวัยของผู้เรียน เช่น การพัฒนา สื่อนวัตกรรมแชตบอตวิชาการเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ จัดทำ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมสมรรถนะผู้เรียนวิชาคณิตศาสตร์ระดับมัธยมศึกษา วิชาออกแบบและเทคโนโลยี และชุดกิจกรรมการเรียนรู้บูรณาการคณิตศาสตร์ในระดับปฐมวัยตามแนวทางสะเต็มศึกษา การพัฒนาหลักสูตรเพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในยุคดิจิทัล
2.2 พัฒนาและขับเคลื่อนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีอย่างมีคุณภาพและทั่วถึง โดยพัฒนาและปรับปรุงแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีคุณภาพ
2.3 ขับเคลื่อนการจัดการเรียนการสอนฐานสมรรถนะด้วยวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีอย่างมีส่วนร่วม เพื่อให้สอดคล้องและเท่าทันพัฒนาการของโลกโดยพัฒนาผู้บริหาร ศึกษานิเทศก์ ครูวิทยากรแกนนำ และครูเครือข่าย สควค. ให้สามารถขับเคลื่อนการจัดการเรียนการสอนฐานสมรรถนะได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี และพัฒนาครูตามมาตรฐานของ สสวท.
2.4 พัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีเพื่อเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยให้ทุนสนับสนุนการศึกษาแก่นักเรียน นักศึกษา และครู การจัดส่งผู้แทนไทยเข้าร่วมการแข่งขันคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ และการบริหารการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
2.5 พัฒนาความเป็นเลิศขององค์กรที่เน้นการใช้ดิจิทัลและนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ของประเทศอย่างมีคุณภาพโดยพัฒนาศักยภาพบุคลากร สสวท. ให้มีขีดสมรรถนะสูง พัฒนาด้านการริเริ่มสร้างสรรค์นวัตกรรม การวิจัยและพัฒนา เพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการอย่างปลอดภัยของบริการระบบงานดิจิทัลและนวัตกรรม
ต่างประเทศ
16. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ประจำปี 2568
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ประจำปี 2568 (ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ) โดยหากมีความจำเป็นต้องเพิ่มเติม ปรับปรุง และแก้ไขเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย (ไทย) ขอให้ กษ. ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. สาธารณรัฐเกาหลี ในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมฯ กำหนดจัดการประชุมฯ ระหว่างวันที่ 9-10 สิงหาคม 2568 ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงอาหารระหว่างกันภายในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก โดยในระหว่างการประชุมดังกล่าวจะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ซึ่งถือเป็นผลลัพธ์สำคัญของการประชุมฯ และเป็นการส่งสัญญาณความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกในการส่งเสริมความมั่นคงอาหารในภูมิภาค รวมถึงส่งเสริมบทบาทของไทยในเวทีระหว่างประเทศด้วย ทั้งนี้ ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญ เช่น
1.1 สนับสนุนวิสัยทัศน์ ปุตราจายา พ.ศ. 2583 แผนงานความมั่นคงอาหาร
มุ่งสู่ปี พ.ศ. 2573 และการประชุมเอเปค ประจำปี 2568
1.2 ความมั่นคงอาหารยังคงเป็นประเด็นสำคัญท่ามกลางความท้าทายในระดับโลก
1.3 กุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาคือ การตระหนักถึกถึงระบบเกษตรและอาหารที่ยั่งยืน มีความยืดหยุ่น
1.4 บทบาทสำคัญของการค้าระหว่างประเทศในการบรรลุเป้าหมายด้านความมั่นคงอาหารและการรองรับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก
1.5 ส่งเสริมความยืดหยุ่นและความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานอาหารผ่าน
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมดิจิทัล
1.6 เสริมสร้างขีดความสามารถของกลุ่มประชากรทุกลุ่มที่เผชิญกับข้อจำกัด
เชิงโครงสร้าง (ผู้พิการ ผู้สูงอายุ สตรี และเกษตรกรรายย่อย) ในการบรรลุศักยภาพสูงสุดเพื่อความเจริญรุ่งเรืองและการเติบโตร่วมกัน
1.7 รับทราบบทบาทของการฟื้นฟูพื้นที่ชนบทในการเสริมสร้างความมั่นคงอาหารและระบบเกษตรและอาหารอย่างยั่งยืน
1.8 ทบทวนแผนปฏิบัติการภายใต้แผนงานความมั่นคงอาหารมุ่งสู่ปี พ.ศ. 2573ในระยะกลาง
2. กษ. ได้มีหนังสือสอบถามความเห็นต่อร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ไปยังหน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาเกษตรกรแห่งชาติ โดยหน่วยงานเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง ทั้งนี้ กต. (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย) และ สคก. มีความเห็น เช่น
2.1 กต. (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย) ไม่มีข้อขัดข้องต่อสารัตถะและถ้อยคำโดยรวมของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ หากส่วนราชการเจ้าของเรื่องเห็นว่ามีความเหมาะสมสอดคล้องกับนโยบายและผลประโยชน์ของไทย สามารถปฏิบัติได้ตามอำนาจหน้าที่ภายใต้กฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งได้จัดสรรงบประมาณเพื่อการนี้ไว้แล้ว อีกทั้งยังไม่มีการลงนามในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ดังนั้น ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
โดยที่เรื่องนี้ กษ. แจ้งว่า ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือที่เกี่ยวกับองค์กรระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทยจึงเข้าลักษณะเรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรีได้ตามนัยมาตรา 4 (7) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
17. เรื่อง (ร่าง) ปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ครั้งที่ 3
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง) ปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล (Landlocked Developing Countries : LLDCs) ครั้งที่ 3 (Third UN Conference on Landlocked Developing Countries: LLDC3) (ร่างปฏิญญาทางการเมืองฯ) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างปฏิญญาทางการเมืองฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ขอให้ กต. สามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีอีก รวมทั้ง ให้รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศซึ่งได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุม LLDC3 ร่วมรับรองร่างปฏิญญาทางการเมืองฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า เรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ (ร่าง) ปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล (Landlocked Developing Countries : LLDCS) ครั้งที่ 3 (Third UN Conference on Landlocked Developing Counties: LLDC3) (การประชุม LLDC3) เพื่อเป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุม LLDC3 ซึ่งเติร์กเมนิสถานจะเป็นเจ้าภาพการประชุม LLDC3 ระหว่างวันที่ 5 - 8 สิงหาคม 2568 โดยมีสาระสำคัญในการเรียกร้องให้เพิ่มความร่วมมือระดับโลกเพื่อส่งเสริมการบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืนใน LLDCs เช่น ย้ำความสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการค้า ทั้งในเชิงกายภาพและดิจิทัล และสามารถเข้าถึงได้ เชิญชวนให้ธนาคารเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศเพิ่มการลงทุนใน (1) โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ทางรถไฟ ทางน้ำ ท่าเรือ (2) โครงสร้างพื้นฐานด้านความเชื่อมโยงด้านพลังงานและการขนส่ง และ (3) โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เช่น ระบบไฟเบอร์ออปติกและระบบดาวเทียม ทั้งนี้ กต. และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นสอดคล้องกันว่า ร่างปฏิญญาทางการเมืองฯ ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
18. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีเอเปคด้านสตรีและเศรษฐกิจ ประจำปี 2568
(2025 APEC Women and the Economy Forum Ministerial Statement)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีเอเปคด้านสตรีและเศรษฐกิจ ประจำปี 2568 (2025 APEC Women and the Economy Forum Ministerial Statement) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
โดยร่างแถลงการณ์ดังกล่าวมีสาระสำคัญเป็นการเสริมพลังสตรีและการเพิ่มการมีส่วนร่วมของสตรีในทางเศรษฐกิจ การสร้างสังคมที่ปลอดภัยผ่านการป้องกันและขจัดความรุนแรงต่อสตรีและการมุ่งสู่อนาคตที่ยั่งยืนผ่านการพัฒนาระบบการดูแล (การดูแลสมาชิกในครอบครัว เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ) ที่มีคุณภาพเพื่อไม่ให้เป็นการผลักภาระหน้าที่ไปยังผู้หญิงอย่างไม่เป็นธรรมโดยจะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ฯ ในการประชุมระดับสูงสำหรับผู้กำหนดนโยบายด้านสตรีและเศรษฐกิจ ในวันที่ 12 สิงหาคม 2568 ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า ร่างแถลงการณ์ฯ ไม่มีถ้อยคำหรือบริบทใดมุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ ประกอบกับไม่มีการลงนามในร่างแถลงการณ์ฯ จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และโดยที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือที่เกี่ยวกับองค์การระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย จึงเข้าลักษณะเรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรีได้ตามนัยมาตรา 4 (7) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
19. เรื่อง ผลการนำเสนอรายงานประเทศภายใต้อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี ฉบับที่ 2
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ ดังนี้
1. รับทราบข้อเสนอแนะ (Concluding Observations) ของคณะกรรมการสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน (คณะกรรมการฯ) ต่อรายงานประเทศ ฉบับที่ 2 ของประเทศไทย และตารางหน่วยงานรับผิดชอบเพื่อดำเนินการตามข้อเสนอแนะฯ ฉบับที่ 2
2. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ ต่อไป
ทั้งนี้ ให้ ยธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับความเห็นของ กต. สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงาน ป.ป.ช. สำนักงาน กสม. และ อส. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
1. กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) นำเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน (คณะกรรมการฯ) ต่อรายงานประเทศฉบับที่ 2 ของประเทศไทย ซึ่งคณะผู้แทนไทยได้มีการนำเสนอรายงานประเทศ ฉบับที่ 2 ด้วยวาจา ต่อคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ 5-6 พฤศจิกายน 2567 ณ สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยคณะกรรมการฯ ได้มีข้อเสนอแนะต่อรายงานประเทศฉบับที่ 2 ของประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย (1) การดำเนินการเชิงบวก คือ ประเทศไทยได้เข้าร่วมสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนหลายฉบับ และ (2) ข้อห่วงกังวลและข้อเสนอแนะในหลายประเด็น เช่น 1) การนิยามการทรมานตามกฎหมายไทยยังไม่สอดคล้องกับอนุสัญญา ต่อต้านการทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษย์ธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี 2) ควรยกเลิกอายุความในความผิดฐานทรมาน 3) ควรยกเลิกโทษประหารชีวิต หากยังมีการบังคับใช้โทษประหารชีวิตควรให้จำกัดเฉพาะในกรณีอาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุดและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล 4) ควรมีบุคลากรปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอเพื่อขับเคลื่อนงานของคณะกรรมการฯ 5) การจัดการข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย การส่งผู้ร้ายข้ามแดน ในการนี้ คณะกรรมการฯ ได้ขอให้รัฐภาคีเสนอรายงานฉบับต่อไป (ฉบับที่ 3 ) ภายในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2571
2. ยธ. ได้จัดการประชุมเพื่อแจ้งข้อเสนอแนะฯ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบและนำไปปฏิบัติด้วยแล้ว และในครั้งนี้กระทรวงกลาโหม (กห.) กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) สำนักงานคณะกรรมการ สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (สำนักงาน กสม.) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และสำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) พิจารณาแล้วมีความเห็นสรุปได้ ดังนี้
ส่วนราชการ |
ความเห็น |
กห. กต. พม. อว. ศธ. สมช. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงาน ป.ป.ช. และ อส. |
ไม่ขัดข้อง/เห็นชอบ
|
กต. |
หน่วยงานที่รับผิดชอบควรพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการให้เกิดความคืบหน้าเพื่อประโยชน์ในการแจ้งคณะกรรมการฯ ภายในกำหนดเวลาต่อไป (กำหนดส่งข้อเสนอแนะที่เป็นเรื่องเร่งด่วนภายในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2568) |
สธ. |
รายงานดังกล่าวได้แสดงถึงความพร้อมของประเทศไทยและพัฒนาการเกี่ยวกับกระบวนการดำเนินการฟ้องร้องและลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการทรมาน รวมถึงการพัฒนาระบบการบริการสุขภาพในเรือนจำ อีกทั้งยังมีความครอบคลุมประเด็นการจัดการความแออัดในเรือนจำ การดูแลผู้ต้องขังหญิงที่ตั้งครรภ์หรือมีบุตร และการจัดการกับการเสียชีวิตระหว่างการควบคุมตัว |
สำนักงาน ก.พ. |
กรณีการจัดสรรบุคลากรเพิ่มเติม นั้น ควรให้ส่วนราชการดำเนินการตามแนวทางการบริหาร อัตรากำลังของภาคราชการที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566) |
สำนักงาน ก.พ.ร. |
กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการขับเคลื่อนการดำเนินการตามพันธกรณีที่สำคัญตามอนุสัญญาฯ ควรร่วมมือกับหน่วยงานรับผิดชอบ ที่เกี่ยวข้องในการกำหนดเป้าหมายความสำเร็จและตัวชี้วัดในแต่ละข้อเสนอแนะฯ รวมถึงควรกำหนดระบบการติดตามความก้าวหน้าและการประเมินผลความสำเร็จของการดำเนินการได้อย่างชัดเจน และเป็นผลงานที่สามารถรายงานต่อคณะกรรมการสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมานได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป |
สำนักงาน ป.ป.ช. |
ในกรณีที่จำเป็นให้มีการจัดหาทนายความที่มีคุณสมบัติ เป็นอิสระ ให้บริการฟรีและรับประกันความลับในการพบปะแบบส่วนตัวระหว่างผู้ถูกควบคุมตัวกับทนายความ ซึ่งรวมถึงก่อนและระหว่างการสอบสวน ยังไม่มีกฎหมายบัญญัติรับรองและคุ้มครองสิทธิดังกล่าว จึงเห็นควรมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเพื่อให้มีบทบัญญัติของกฎหมายรับรองและคุ้มครองสิทธิดังกล่าวให้สามารถดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ ได้ |
สำนักงาน ป.ป.ส. |
ได้ชี้แจงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผลการนำเสนอรายงานดังกล่าว (การดำเนินการของหน่วยงาน) จำนวน 3 ประเด็น ได้แก่ (1) มาตรการคุ้มครองทางกฎหมายพื้นฐาน (2) โทษประหารชีวิต (3) สภาพความเป็นอยู่ในสถานคุมขัง |
สำนักงาน กสม. |
หน่วยงานต่าง ๆ ควรนำข้อเสนอแนะดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามอนุสัญญาฯ มีผลเป็นรูปธรรมต่อไป |
กอ.รมน. |
การนำเสนอรายงานประเทศเป็นการดำเนินการตามพันธกรณีซึ่งประเทศไทยต้องปฏิบัติตามในฐานะรัฐภาคี เพื่อนำเสนอผลการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ รวมถึงพัฒนาการ ปัญหา อุปสรรค และข้อท้าทายต่าง ๆ |
สคก. |
ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ มิใช่บันทึกผลการประชุมซึ่งจะต้องมีการรับรองกรณีจึงไม่มีประเด็นที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย คณะรัฐมนตรีจึงพิจารณารับทราบและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปได้ตามที่เห็นสมควร |
อส. |
เห็นควรอธิบายเพิ่มเติมให้ชัดเจนว่า กลไกการทำงานของแอปพลิเคชันของศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายของ อส. มีประสิทธิภาพ รวดเร็วทำให้เจ้าพนักงานผู้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยว่ากระทำความผิดนั้นสามารถส่งเรื่องพร้อมกับบันทึกจับกุมหรือบันทึกการควบคุมตัวผ่านเข้ามายังแอปพลิเคชันดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วและการดำเนินการตรวจสอบควบคุมตัวผ่านระบบออนไลน์นั้นทำให้เจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมตัวไม่ได้พบกับพนักงานอัยการผู้ตรวจสอบการควบคุมตัวเบื้องต้น จึงไม่มีโอกาสที่จะจูงใจหรือข่มขู่ หรือให้ผลประโยชน์ใด ๆ แก่พนักงานอัยการเพื่อจะช่วยปกปิดซ่อนเร้นการกระทำทรมานจากเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมตัวได้ |
20. เรื่อง การลงสมัครรับเลือกตั้งซ้ำในตำแหน่งเลขาธิการองค์การที่ปรึกษากฎหมายแห่งเอเชียและแอฟริกา (Asian - African Legal Consultative Organization - AALCO) ของ ดร. กมลินทร์ พินิจภูวดล
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เสนอนายกมลินทร์ พินิจภูวดล เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งช้ำในฐานะผู้แทนจากประเทศไทยเพื่อดำรงตำแหน่งเลขาธิการองค์การที่ปรึกษากฎหมายแห่งเอเชียและแอฟริกา (Asian - African Legal Consultative Organization - AALCO) สำหรับวาระปี 2569 - 2572 (ค.ศ. 2026 - 2029) และให้ กต. ดำเนินการรณรงค์หาเสียงเพื่อขอรับการสนับสนุนจากรัฐสมาชิกก่อนการเลือกตั้ง ตามที่ กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. AALCO เป็นองค์การระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2499 (ค.ศ. 1956) ปัจจุบันมีสมาชิกจากประเทศในทวีปเอเชียและแอฟริกา จำนวน 49 ประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้กลุ่มประเทศในเอเชียและแอฟริกามีส่วนร่วมและบทบาทมากขึ้นในการประมวลและพัฒนากฎหมายระหว่างประเทศ โดย AALCO จะมีการจัดการประชุมประจำปี (Annual Session) เพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกได้อภิปรายความเห็นและท่าทีในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของกฎหมายระหว่างประเทศ
2. ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก AALCO ตั้งแต่ปี 2504 และส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุมประจำปีอย่างต่อเนื่อง และประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปี ครั้งที่ 62 ระหว่างวันที่ 9 -13 กันยายน 2567 ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้แทนจากประเทศสมาชิก AALCO จำนวน 39 ประเทศ และ 7 องค์การระหว่างประเทศ เข้าร่วมจำนวนกว่า 300 คน
3. เรื่องนี้เดิมคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (8 กรกฎาคม 2563) เห็นชอบให้เสนอนายกมลินทร์ พินิจภูวดล เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งจากประเทศไทยเพื่อดำรงตำแหน่งเลขาธิการองค์การที่ปรึกษากฎหมายแห่งเอเชียและแอฟริกา (Asian - African Legal Consultative Organization - AALCO) และปัจจุบันนายกมลินทร์ฯ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ AALCO และจะสิ้นสุด การดำรงตำแหน่งในปี 2568 ดังนั้น ในครั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จึงเห็นสมควรเสนอนายกมลินทร์ฯ ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งเลขาธิการ AALCO สำหรับวาระ ปี 2569 - 2572 อีกวาระหนึ่ง ซึ่งจะมีการคัดเลือกและแต่งตั้งเลขาธิการ AALCO คนใหม่ในห้วงการประชุม AALCO ประจำปี สมัยที่ 63 ณ กรุงกัมปาลา ประเทศยูกันดา ระหว่างวันที่ 8 – 12 กันยายน 2568 ซึ่งประเทศไทยจะต้องแจ้งรายชื่อผู้สมัครให้คณะผู้แทนประเทศสมาชิก AALCO ทราบเพื่อดำเนินกระบวนการจัดงานหาเสียงให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ทั้งนี้ หากประเทศไทยได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ AALCO จะทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากการติดตามและผลักดันพัฒนาการกฎหมายระหว่างประเทศให้สอดคล้องท่าที่และผลประโยชน์ของประเทศไทย รวมทั้งมีบทบาทเชิงรุกในการร่วมกำหนดมาตรฐานสากลด้านกฎหมายระหว่างประเทศ
21. เรื่อง ข้อตกลงการดำเนินงานภายใต้ข้อ 6 ของความตกลงปารีสระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์กับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย (Implementation Agreement Pursuant to Article 6 of the Paris Agreement between the Government of the Republic of Singapore and the Government of the Kingdom of Thailand)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ดังนี้
1. เห็นชอบต่อข้อตกลงการดำเนินงานภายใต้ข้อ 6 ของความตกลงปารีสระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์กับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย (Implementation Agreement Pursuant to Article 6 of the Paris Agreement between the Government of the Republic of Singapore and the Government of the Kingdom of Thailand) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขข้อตกลงฯ ที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก
2. เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้มีอำนาจลงนามในข้อตกลงฯ
3. มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) เพื่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทน ลงนามในข้อตกลงฯ
4. มอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานตามข้อตกลงฯ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. กระทรวงพาณิชย์มีหนังสือแจ้งผลการประชุม Singapore - Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2565 ณ โรงแรมสยามเคมปินสกี้กรุงเทพมหานคร โดยฝ่ายไทยรับทราบถึงความสนใจของสิงคโปร์ในการมีความร่วมมือด้านคาร์บอนเครดิต กับไทย และเปิดรับความร่วมมือที่สอดคล้องกับแนวทางและกลไกการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตของไทย ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะหารือร่วมกันในระดับเทคนิคเพื่อหาแนวทางที่เป็นไปได้สำหรับความร่วมมือในด้านดังกล่าวโดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะพัฒนาข้อตกลงการดำเนินงาน (Implementation Agreement) และร่วมกันหาโครงการคาร์บอนเครดิตที่เป็นไปได้ พร้อมยืนยันถึงความพยายามในการจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความตกลงปารีส
2. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
และสิ่งแวดล้อม และสำนักเลขาธิการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (National Climate Change Secretariat) กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม (Ministry of Trade and Industry) กระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม (Ministry of Sustainability and the Environment) และสำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (National Environment Agency : NEA) แห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ ร่วมจัดทำข้อตกลงการดำเนินงานภายใต้ข้อ 6 ของความตกลงปารีสระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์กับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย (Implementation Agreement Pursuant to Article 6 of the Paris Agreement between the Government of the Republic of Singapore and the Government of the Kingdom of Thailand) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกรอบความร่วมมือโดยสมัครใจสำหรับการถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างประเทศภายใต้ข้อ 6.2 ของความตกลงปารีส ซึ่งต้องมีกระบวนการอนุญาตโครงการที่จะถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างประเทศ (Internationally Transferred Mitigation Outcomes : ITMOs) ที่สอดคล้องกับหลักการ กระบวนการ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไข ตามความตกลงปารีส และนโยบายของประเทศไทย อาทิ กระบวนการติดตาม ทวนสอบ และตรวจสอบ กิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก กระบวนการถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจก การปรับบัญชีการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกของประเทศเพื่อป้องกันการนับซ้ำ และการรายงานผลการดำเนินงาน
ทั้งนี้ ข้อตกลงการดำเนินงานภายใต้ข้อ 6 ของความตกลงปารีสระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์กับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย (Implementation Agreement Pursuant to Article 6 of the Paris Agreement between the Government of the Republic of Singapore and the Government of the Kingdom of Thailand) มีกำหนดลงนามในห้วงการเยือนประเทศไทยของนายตัน ซี เหล่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และรัฐมนตรีกำกับดูแลด้านพลังงานและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำกระทรวงการค้า และอุตสาหกรรม ในระหว่างวันที่ 18-19 สิงหาคม 2568
ประโยชน์และผลกระทบ
1. การดำเนินโครงการ และ/หรือ กิจกรรมภายใต้ข้อตกลงฯ จะส่งผลให้เกิดการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งกำเนิด หรือเพิ่มแหล่งกักเก็บก๊าซเรือนกระจก ในส่วนเพิ่มเติมจากการดำเนินงานตามแผนการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (Additionality)
2. เปิดโอกาสให้ประเทศไทยสามารถเข้าถึงการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมขั้นสูงที่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูงในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งกำเนิดหรือเพิ่มแหล่งกักเก็บก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการดำเนินงานตามเป้าหมายการมีส่วนร่วม ที่ประเทศกำหนด (NDC Implementation period) ในแต่ละช่วงเวลา ผลการลดก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากเทคโนโลยี และ/หรือนวัตกรรมขั้นสูงดังกล่าว จะเป็นของประเทศไทยโดยสมบูรณ์ ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยสามารถบรรลุตามเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศได้เร็วขึ้น
แต่งตั้ง
22. เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอแต่งตั้ง นายกิติภณ รื่นสัมฤทธิ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนัก (ผู้อำนวยการสูง) สำนัก 6 ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
23. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กระทรวงคมนาคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้ง นายเผ่าภัค ศิริสุข เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากมีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งไว้แล้ว
24. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
(กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ เป็นกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย แทน
นายอาทิตย์ สุริยาภิวัฒน์ กรรมการเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว
25. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้ง นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงมหาดไทย)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 6 ราย เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน และทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมที่ดิน
3. นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง
อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
4. นายสันติ รังษิรุจิ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักงานปลัดกระทรวง
5. นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง
ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง
6. นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้
1. โอน นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว
2. ย้าย นายสุรศักดิ์ อินศรีไกร ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง
เป็นต้นไป
28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง
(สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ดังนี้
1. นางสาวศุธาศินี สมิตร ที่ปรึกษาด้านการลงทุน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
2. นางสาวฐนิตา ศิริทรัพย์ ที่ปรึกษาด้านการลงทุน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
29. เรื่อง การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง
(สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ ตันเจริญ) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในส่วนของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เสนอ รับโอน นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) ในกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2562 เรื่อง การยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ บางฉบับที่หมดความจำเป็น ลงวันที่ 9 กรกฎาคม พุทธศักราช 2562 โดยให้ได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่งและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้รับอยู่เดิม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งตั้งเป็นต้นไป ทั้งนี้ ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมการโอน และรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบด้วยแล้ว
30. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการการเมือง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
2. นางสาวอนงค์มาถ จ่าแก้ว ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เสนอแต่งตั้ง นางสาวกานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการการเมือง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายยุพราช บัวอินทร์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
(นายชัยชนะ เดชเดโช)
2. นายเมฆินทร์ เอี่ยมสอาด ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายชัยชนะ เดชเดโช)]
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
33. เรื่อง การมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จำนวน 2 ราย ตามลำดับ ตามที่กระทรวง
การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอ ดังนี้
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (นายสรวงศ์ เทียนทอง)
2. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร สินธุไพร)
34. เรื่อง การแต่งตั้งรองประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอแต่งตั้ง นายปวริศ ผุดผ่อง เป็น รองประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า แทนนายฉัตรชัย ศักดิ์ศิลปชัย รองประธานกรรมการเดิมที่พ้นตำแหน่งเนื่องจากมีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป และผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งนั้นดำรงตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว
35. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการเมือง (กระทรวงมหาดไทย)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งนายเกรียงเดช เข็มทอง ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
36. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง
(กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 4 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ดังนี้
1. นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายสุรินทร์ วรกิจธำรง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ
3. นายนิกร ศิรโรจนานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นายยงยุทธ นาควิโรจน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมป่าไม้
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี