9 ส.ค. 68 นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก "เอ็ดดี้ อัษฎางค์" ระบุว่า "ศรัทธา Vs ระดมทุน #อัษฎางค์ยมนาค #อ่านเกมอำนาจ
กรณี “หมอบี” และ “หลวงพ่ออลงกต” วัดพระพุทธบาทน้ำพุ : ศรัทธา การระดมทุน และคำถามเชิงโครงสร้าง
กรณีความขัดแย้งที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ระหว่างบุคคลที่มีชื่อเสียงกับวัดพระพุทธบาทน้ำพุ ได้จุดกระแสตั้งคำถามต่อวิธีการระดมทุนและการใช้ “ภาพความทุกข์” ของผู้ป่วย HIV ในการสร้างแรงศรัทธาและรับบริจาค มีข้อกล่าวหาว่าอาจมีการ “จัดฉาก” หรือ “คัดเลือกผู้ป่วย” เพื่อให้ภาพที่นำเสนอมีพลังทางอารมณ์สูง และมีข้อสงสัยว่าอาจมี “ผลประโยชน์ร่วม” ระหว่างผู้เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ข้อกล่าวหาเหล่านี้ยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และยังไม่มีคำตัดสินที่ชัดเจนจากศาลหรือองค์กรกำกับดูแล
จากข้อมูลที่ปรากฏในสื่อสาธารณะและคำให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐบางราย พบว่ามีข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดการบัญชีการเงิน เช่น การใช้บัญชีส่วนบุคคลรับบริจาคแทนบัญชีของวัด การเบิกจ่ายเงินสด หรือยอดรายรับ–รายจ่ายที่ไม่ตรงกัน ทั้งหมดนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบและยังไม่มีข้อสรุปเชิงยุติธรรม แต่ในเชิงโครงสร้างการกำกับดูแล นับเป็น “สัญญาณความเสี่ยง” ที่สังคมมีสิทธิ์ตั้งคำถาม
บริบทโรค HIV ที่เปลี่ยนไป แต่ภาพจำยังเหมือนเดิม
• ในอดีต: วัดพระพุทธบาทน้ำพุมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาในช่วงที่ผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS ถูกตีตรา ขาดการเข้าถึงการรักษา และไร้ที่พึ่ง ระบบหลักประกันสุขภาพยังไม่ครอบคลุม ทำให้สถานที่ลักษณะนี้เป็น “ที่พึ่งสุดท้าย” ของผู้ป่วยจำนวนมาก
• ปัจจุบัน: ระบบสาธารณสุขไทยพัฒนาขึ้นอย่างมาก ผู้ติดเชื้อทุกคนมีสิทธิ์รับยาต้านไวรัสฟรี ยาสูตร Single Tablet Regimens ทำให้สุขภาพแข็งแรง และภายใต้หลัก “U=U” (Undetectable = Untransmittable) ผู้ติดเชื้อที่รักษาต่อเนื่องสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และไม่แพร่เชื้อ
• ผลที่เกิดขึ้น: ภาพผู้ป่วยติดเตียงจำนวนมากจึงไม่ใช่ “สภาพปกติ” ของผู้ติดเชื้อในยุคนี้ จึงเกิดคำถามว่าผู้ป่วยในวัดปัจจุบันสะท้อนสภาพความจำเป็นจริงหรือเป็นเพียงบางกรณีที่ถูกนำมาใช้เป็นภาพสื่อสารระดมทุน
คำถามต่อบทบาทของวัดพระพุทธบาทน้ำพุ
• เมื่อระบบสาธารณสุขสามารถดูแลผู้ป่วยได้ดีขึ้น การมีผู้ป่วยติดเตียงจำนวนมากในวัดจึงกลายเป็นคำถามว่า “ยังจำเป็นอยู่หรือไม่” หรือเป็นการใช้ภาพความทุกข์ซึ่งอาจมีผลต่อแรงศรัทธาและการบริจาค
• คำถามเชิงนโยบายและจริยธรรมจึงไม่ใช่เพียง “จำเป็นไหม” แต่รวมถึง “การเล่าเรื่องและการใช้เงินช่วยจริงผู้ป่วยหรือไม่” และ “เคารพสิทธิ–ศักดิ์ศรีของผู้ป่วยเพียงใด”
• ข้อกล่าวหาเรื่องการจัดฉากผู้ป่วยเพื่อเรียกเงินบริจาคและข้อสงสัยเรื่องผลประโยชน์ร่วม สะท้อนความจำเป็นที่ต้องตรวจสอบว่า “การบริจาคนั้นช่วยปลายทางจริงหรือไม่”
• มีลักษณะคล้ายการใช้เครื่องมือมาร์เก็ตติ้งขององค์กรไม่แสวงหากำไร (NPO) เช่น การเล่าเรื่อง (storytelling) การสร้างความเร่งด่วน (urgency) ช่องทางโอนชัดเจน และการเรียกร้องให้ลงมือทันที (call-to-action) แต่ยังไม่พบ “โครงสร้างหลัก” ที่เทียบเท่ามาตรฐาน NPO เต็มรูปแบบ (เช่น นิติบุคคลแยก, บอร์ดอิสระ, งบตรวจสอบ, นโยบาย COI/Consent เคร่งครัด)
กรอบนิติศาสตร์: ช่องว่างการกำกับดูแล
• วัดกับสถานะทางกฎหมาย: วัดอยู่ภายใต้ พ.ร.บ. คณะสงฆ์ ไม่ใช่ พ.ร.บ. มูลนิธิหรือสมาคม จึงไม่มีข้อบังคับด้านธรรมาภิบาลแบบ NPO (เช่น บอร์ดบริหารอิสระ, การตรวจสอบบัญชีโดยผู้สอบบัญชีภายนอก, นโยบาย COI)
• ช่องว่างสำคัญ: การรับเงินบริจาคโดยใช้บัญชีส่วนตัว การเบิก–จ่ายที่ไม่มีระบบอนุมัติหลายชั้น และการไม่เปิดเผยรายงานการเงินต่อสาธารณะ อาจไม่ผิดกฎหมายสงฆ์โดยตรง แต่ขัดกับมาตรฐานความโปร่งใสที่สังคมคาดหวังจากองค์กรที่รับเงินบริจาคจำนวนมาก
• ข้อเสนอเชิงกฎหมาย: หากวัดยังต้องการระดมทุนในลักษณะองค์กรสาธารณกุศล ควรพิจารณาจัดตั้งนิติบุคคลแยกเพื่อรองรับเงินบริจาค พร้อมบังคับใช้หลักการธรรมาภิบาลแบบเดียวกับ NPO เพื่อสร้างความเชื่อมั่นระยะยาว
กรอบสิทธิมนุษยชน: ศักดิ์ศรีของผู้ป่วยกับการใช้ภาพความทุกข์
• การใช้ภาพอนาถซ้ำ: การนำเสนอภาพผู้ป่วยในสภาพย่ำแย่ต่อสาธารณะซ้ำ ๆ อาจสร้างอคติและตีตราผู้ติดเชื้อ HIV ว่ายังอยู่ในภาวะหมดหนทาง ทั้งที่ส่วนใหญ่สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้
• หลักการสิทธิ: การขออนุญาต (Informed Consent) จากผู้ป่วยหรือผู้ดูแลต้องมีความชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อนำภาพไปใช้ในบริบทการระดมทุน
• ผลกระทบทางสังคม: แม้มีเจตนาช่วยเหลือ แต่หากขาดกรอบจริยธรรม อาจซ้ำเติมการเลือกปฏิบัติ (Discrimination) และบั่นทอนการยอมรับของสังคมต่อผู้ติดเชื้อในระยะยาว
• มาตรฐานสากล: หลักสิทธิมนุษยชนขององค์การอนามัยโลกและ UNAIDS กำหนดให้การสื่อสารเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อต้องหลีกเลี่ยงการเหมารวม (Stereotyping) และเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
บทสรุป: ศรัทธากับความโปร่งใส
คำถามที่สังคมควรถามจึงไม่ใช่เพียง “วัดยังจำเป็นหรือไม่” แต่รวมถึง
1. วิธีการเล่าเรื่องและภาพที่ใช้ระดมทุนเคารพศักดิ์ศรีของผู้ป่วยหรือไม่
2. โครงสร้างการใช้เงินและการตรวจสอบมีมาตรฐานเพียงใด
3. ศรัทธาจะยืนยาวได้อย่างไร หากขาดความโปร่งใสและกลไกกำกับดูแล
ในยุคที่โรค HIV ไม่ใช่โรครอความตายอีกต่อไป องค์กรศาสนาที่ดูแลผู้ป่วยต้องปรับบทบาทให้สอดคล้องกับบริบทสาธารณสุขปัจจุบัน เช่น เป็นศูนย์ฟื้นฟู ฝึกอาชีพ หรือศูนย์ให้คำปรึกษา มากกว่าพึ่งพาการสร้างภาพความทุกข์เพื่อขับเคลื่อนการบริจาคเพียงอย่างเดียว การทำบุญในอนาคตควรเป็นเช่นไร และสังคมพร้อมหรือยังที่จะกำหนดมาตรฐานใหม่ ที่ทำให้ศรัทธาดำรงอยู่คู่กับความโปร่งใส"
.-008
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี