ไม่อาฆาตมาดร้าย
อย่าใช้อำนาจกลั่นแกล้งทางการเมือง
‘หนู’แนะปัญหา‘เขากระโดง’
DSIลุยสอบที่ดิน5,083ไร่
พบพิพาทเอกสารสิทธิอื้อ
“อนุทิน”ยกปมเขากระโดงขอแต่ละฝ่ายใช้สิทธิตามกฎหมาย อย่าใช้อำนาจกลั่นแกล้งทางการเมือง-อาฆาตมาดร้ายกัน หวั่นประเทศเดินหน้าไม่ได้
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 12 สิงหาคม 2568 ที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงการเพิกถอนสิทธิในที่ดินเขากระโดงของกรมที่ดิน ซึ่งขณะนี้มีข้อมูลอีกด้านออกมา ว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ไม่มีแผนที่หน้าท้ายกฤษฎีกา ว่าสิ่งที่จะทำให้ถูกต้อง และเชื่อถือได้ทุกฝ่ายคือกฎหมาย คนที่ครอบครองเขากระโดงก็ไม่เคยพูดว่าจะไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ขอให้มีคำพิพากษาศาลให้ชัดเจน เป็นเอกฉันท์ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ซึ่งตนหมายถึงทั้งสองฝ่าย เมื่อถามว่า แสดงว่ากรมที่ดินไม่สามารถเพิกถอนได้ทั้งหมดทันทีใช่หรือไม่ แต่ต้องรอให้มีการฟ้องร้องรายแปลงก่อน นายอนุทิน กล่าวว่า มีการตีความว่า หากศาลฎีกาตัดสินผูกพัน 35 ราย อีกฝ่ายบอกว่าจะเหมาทั้งหมดไม่ได้ เพราะต้องดำเนินการตามคณะกรรมการตาม มาตรา 61 ซึ่งตนขอแก้ข่าวว่าตนไม่ได้เป็นคนตั้งคณะกรรมการชุดนี้
เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เคยประกาศว่าจะเพิกถอนสิทธิในที่ดินเขากระโดงทันที ตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา แต่จนถึงวันนี้ยังไม่มีการเพิกถอน นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ถ้ากฎหมายบอกว่าพรุ่งนี้รื้อถอนได้เลยก็ต้องรื้อถอน ถ้ากฎหมายบอกว่ารื้อไม่ได้ก็ต้องทำตามนั้น ไม่มีใครขัดขวางอยู่แล้วมาถึงจุดนี้เป็นที่รับรู้ของสังคม สิ่งที่ดีที่สุดคือทำตามกฎหมาย ทุกคนมีสิทธิต่อสู้เพื่อพิทักษ์สิทธิของตัวเอง และหากศาลมีคำวินิจฉัยออกมาขอให้ทุกคนทำตาม
เมื่อถามว่า เรื่องเพิกถอนสิทธิในที่ดินเขากระโดงจะใช้เวลาอีกนานหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ตนเคยบ่นสมัยเป็น มท.1 ว่าเรื่องนี้ลากยาวมาเป็นเวลา 20 ปี จะต้องมาตกที่สมัยตนเองด้วย ซึ่งตนพ้นตำแหน่งไปแล้วเป็นรัฐมนตรีคนใหม่ก็ยังไม่จบ โดยเรื่องดังกล่าวมีแนวทางของมันที่ต้องทำตาม
เมื่อถามว่า การที่นายภูมิธรรมออกมาแอ๊คชั่น แต่ในทางปฏิบัติยังไม่สามารถเพิกถอนสิทธิได้ เพราะยังกลัวเรื่องข้อกฎหมายใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า จริงๆ เราไม่ควรเอาเรื่องทางการเมืองมาทำลายกัน เรื่องของบุคคลแต่ละคนก็คนละเรื่องกัน ทำไมเดี๋ยวนี้เป็นแบบนี้ตนก็ไม่ทราบ ซึ่งตนไม่เคยเจอแบบนี้ บทบาทของทุกคนก็มีคือการรักษาประโยชน์ให้ประเทศชาติ ทำหน้าที่ของตนเองไม่เอาเรื่องส่วนตัวออกมา
“เรื่องแบบนี้พรรคภูมิใจไทยไม่เคยทำ ผมอยู่กระทรวงมหาดไทยมา 2 ปีก็ไม่เคยกลั่นแกล้งใคร และไม่เคยใช้อำนาจในการบริหารประเทศ ทำเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารบ้านเมือง ผมไม่อยากให้การเมืองไทยเป็นแบบนี้ เพราะมันจะไม่จบไม่สิ้น จะมีแต่ความอาฆาตมาดร้ายต่อกัน และมานั่งแก้แค้นกันประเทศจะไปอย่างไร”นายอนุทิน กล่าว
มีรายงานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า สำหรับการสืบสวนของดีเอสไอเรื่องที่ดินบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยจะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด 5,083 ไร่ ซึ่งในจำนวนนี้ก็หมายรวมถึงกรณีที่นิติบุคคล และบุคคลรวม 10 ราย ที่ถือครองโฉนดที่ดินในจำนวนนี้ด้วย (670 ไร่) นอกจากนี้ ในพื้นที่พิพาทดังกล่าว ยังมีหน่วยงานราชการจำนวน 12 แห่ง ตั้งอยู่ด้วยในพื้นที่ประมาณ1,000ไร่เศษ
“ย้อนกลับไปว่าที่ดินทั้งหมดนี้ มีการให้ไว้แก่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อสร้างทางรถไฟ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นจุดที่มีหิน ซึ่งจะต้องทำทางรถไฟเพื่อที่จะได้เข้าไปเอาหินออกมา เพื่อจะได้สร้างทางรถไฟสายอีสานใต้ จึงมีการกันที่เอาไว้ ซึ่งก็มีชาวบ้าน 18 ราย โดยการรถไฟฯ ได้มีการไปซื้อที่จากชาวบ้าน 18 ราย เพื่อให้เป็นที่ของการรถไฟ ประกอบกับที่ท้าย ๆ รวมแล้ว 5,083 ไร่ ก็ให้กันเป็นที่สำหรับการรถไฟ ซึ่งการรถไฟก็ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งมีบางคนเข้ามาเช่าที่ของการรถไฟ ซึ่งการรถไฟก็ได้ให้เช่าที่ ขณะที่บางรายก็เข้ามายึดถือครอบครองไปเลย สมัยก่อนอาจไม่ได้เรียกว่าเป็นการปล่อยปละละเลย แต่เมื่อการรถไฟได้เข้ามาตรวจสอบดู ก็พบว่าเป็นการตั้งอยู่ในที่ของการรถไฟจริง จึงมีการฟ้องขับไล่รื้อถอน ซึ่งถ้าดูตามที่เป็นข่าว แต่ละรายก็มีการร้องขอออกโฉนด ซึ่งการรถไฟก็ได้มีการออกมาคัดค้าน จึงกลายเป็นคดีความตามที่ปรากฏว่า ทุกคดีการรถไฟชนะทั้งหมด จึงเป็นสาเหตุให้ในปัจจุบันการรถไฟต้องการเอาที่ดินทั้งหมดที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ เอาคืนกลับมา” รายงานภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุ
รายงานภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุอีกว่า ก่อนหน้านี้การรถไฟฯ ได้มีการขับไล่รื้อถอนที่ตั้งของชาวบ้านที่มาบุกรุกในพื้นที่ของการรถไฟไปบ้างแล้ว ซึ่งเป็นการบุกรุกโดยไม่มีเอกสารสิทธิ ขณะที่ในส่วนของคนที่แพ้คดีการรถไฟไปแล้วตามคำสั่งศาล จำนวนรวม 41 ราย (35 ราย + 4 ราย + 2 ราย) ก็ต้องมีการใช้อำนาจบังคับคดีปิดหมายไปตามกฎหมาย และเสียค่าเสียหายให้แก่การรถไฟด้วย อย่างไรก็ดี เนื่องด้วยในตอนนี้ ก็มีบางกลุ่มที่ยังคงมีเอกสารสิทธิ ก็ต้องย้ำว่า ตราบใดที่บุคคลยังมีเอกสารสิทธิ พวกเขาก็ยังอยู่ใช้ประโยชน์ได้ตามกฎหมาย ตราบใดที่ยังไม่มีการเพิกถอนโฉนด
สำหรับหน่วยงานรัฐ จำนวน 12 แห่ง ในพื้นที่พิพาทบริเวณเขากระโดง ประกอบด้วย 1.อบต.เสม็ด (ทางสาธารณประโยชน์ 5 สาย, ทำเลเลี้ยงสัตว์โคกใหญ่, วัดป่าศิลาทอง) 2.กรมทางหลวง (แขวงการทางบุรีรัมย์, หมวดทางหลวงบุรีรัมย์, ทางหลวง 2445, 226 โรงเรียนภัทรบพิตร) 3.ธนารักษ์พื้นที่บุรีรัมย์ (ที่ทำการ อบจ.บุรีรัมย์-อบจ.บุรีรัมย์, โรงเรียนบ้านเสม็ดโคกตาล, เรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์-ราชทัณฑ์ จ.บุรีรัมย์, คลองชลประทาน-ชลประทาน จ.บุรีรัมย์) 4.เทศบาลตำบลอิสาณ (ทางสาธารณประโยชน์ 9 สาย, ห้วยสาธารณประโยชน์ 2 แห่ง, ที่สาธารณประโยชน์, ห้วยจรเข้มาก) 5.สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.บุรีรัมย์ (วัดไทยเจริญ) 6.อำเภอเมืองบุรีรัมย์ (ที่สาธารณประโยชน์) 7.สถานีตำรวจทางหลวง 2 (กองกำกับการ 6 บุรีรัมย์) 8.สำนักงานขนส่งจังหวัดบุรีรัมย์ 9.สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จ.บุรีรัมย์ 10.การประปาส่วนภูมิภาค จ.บุรีรัมย์ (วางท่อประปา 5 จุด) 11.องค์การโทรศัพท์ (NT) (ปักเสาพาดสาย, ดันท่อรอดร้อยสาย) และ 12.เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ (ถนนเลียบทางรถไฟ) อย่างไรก็ตาม ส่วนเหตุผลที่ 12 หน่วยงานของราชการอยู่ในพื้นที่พิพาทได้นั้น คาดว่าอาจเป็นที่ดินราชพัสดุ ซึ่งดีเอสไออยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดข้อเท็จจริง
อกจากนี้ ยังมีรายงานภายในกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ในพื้นที่พิพาทบริเวณที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 7,600 ราย โดยมี 7 หมู่บ้าน 4,700 ครัวเรือน ทั้งนี้ หากมองตัวเลข 5,083 ไร่ จะประกอบด้วย โฉนดที่ดิน 484 แปลง หนังสือรับรองการทำประโยชน์ 511 แปลง รวม 995 แปลง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี