อัยการแนะรบ.
ให้ตั้งงบเยียวยา
หากจะเพิกถอน
ที่ดินเขากระโดง
ฟันฉับเกมลากยาว! “อัยการ” เล่ากฎหมาย ชี้ “คดีเขากระโดง” กว่า 5 พันไร่ อีกยาวนานกว่าจะจบ สุดท้ายหาก “เพิกถอน” ต้องเยียวยาประชาชนที่ได้เอกสารสิทธิมาโดยสุจริต
เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 นายเอกณรงค์ เฉิดพันธ์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยผ่านเพจเล่ากฎหมาย (อัยการเอก) ถึงปัญหาข้อพิพาทที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ว่า ที่ดินเขากระโดงซึ่งมีพื้นที่กว่า 5,000 ไร่ ระหว่างประชาชนผู้ถือเอกสารสิทธิหลายประเภท กับการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ที่อ้างสิทธิ์ในที่ดินตามกฎหมายกฤษฎีกาสมัยรัชกาลที่ 6 โดยปัญหาเริ่มต้นจากประชาชน 35 ราย ที่ครอบครองที่ดินกว่า 170 ไร่ อ้างสิทธิตามหนังสือ ส.ค.1 ซื้อต่อมาจากเจ้าของเดิมตั้งแต่ปี 2471 และมาแจ้งการครอบครองในปี 2498 ต่อมาในปี 2553 เมื่อมีการประกาศจะออกโฉนดกลุ่มคนเหล่านี้จึงไปยื่นขอออกโฉนด แต่ถูก ร.ฟ.ท.คัดค้าน โดยอ้างว่าเป็นที่ดินของ ร.ฟ.ท. ต่อมาในปี 2554 คนกลุ่มนี้ ได้ยื่นฟ้อง ร.ฟ.ท.เป็นคดีเพ่งต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ แต่ก็ถูก ร.ฟ.ท.ฟ้องแย้ง สุดท้ายศาลฎีกาตัดสินให้ ร.ฟ.ท.ชนะคดีโดยให้เหตุผลว่าที่ดินของชาวบ้านกลุ่มนี้อยู่ในแนวเขตของแผนที่ที่กำหนดให้สร้างทางรถไฟ ซึ่งมีพระราชกฤษฎีกาออกเป็นกฎหมายตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 (ปี 2461-2465) ปัจจุบันชาวบ้าน 35 ราย ที่แพ้คดี ได้ถูกบังคับคดีให้รื้อสิ่งปลูกสร้างและออกจากพื้นที่แล้ว
นายเอกณรงค์กล่าวต่อว่า ต่อมาร.ฟ.ท.ได้ใช้คำพิพากษาดังกล่าวเป็นหลักฐานในการขอให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิของประชาชนแปลงอื่นๆ อีกกว่า 900 แปลง เนื้อที่หลายพันไร่ โดยอ้างว่ากรมที่ดินออกเอกสารทับที่ดินของ ร.ฟ.ท.หลังจาก ร.ฟ.ท.ใช้คำพิพากษาศาล ฎีกาเป็นหลักฐานในการขอให้เพิกถอนโฉนดของประชาชนในที่ดินแปลงอื่นกรมที่ดินในขณะนั้นได้ตั้งข้อสังเกตถึงความน่าเชื่อถือของแผนที่ที่ ร.ฟ.ท.ใช้อ้างอิง โดยสงสัยว่าอาจเป็นแผนที่ที่ทำขึ้นใหม่ในปี 2539 เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ของเกษตรกรสมัชชาคนจน และ ไม่สอดคล้องกับแผนที่ที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาที่เป็นแนวเขตที่ถูกต้องตามกฎหมายกฤษฎีกาที่กําหนดแนวสร้างทางรถไฟ ซึ่งออกในสมัยรัชกาลที่ 6 ด้วยเหตุนี้ ร.ฟ.ท.จึงฟ้องกรมที่ดินต่อศาลปกครอง ขอให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิพร้อมด้วยค่าเสียหาย ซึ่งศาลปกครองได้มีคำพิพากษาให้กรมที่ดิน ตั้งกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน แต่ไม่ได้สั่งให้เพิกถอนโฉนดโดยตรง
นายเอกณรงค์กล่าวอีกว่า หลังจากศาลปกครองตัดสินแล้ว กรมที่ดินได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน แต่มีมติว่าแผนที่ของ ร.ฟ.ท.ยังไม่น่าเชื่อถือ จึงมีคำสั่งยุติเรื่อง จากนั้น ร.ฟ.ท.ได้เดินหน้าต่อ 2 ทางคือ ฟ้องศาลปกครองอีกครั้งเพื่อเพิกถอนคำสั่งยุติของกรมที่ดิน และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาฟ้องประชาชนรายแปลง เพื่อเพิกถอนสิทธิ์ ปัจจุบันเมื่อมีการเปลี่ยนรัฐมนตรีคนใหม่ กระทรวงมหาดไทยได้นำเรื่องที่ยุติไปแล้วกลับมาตรวจสอบใหม่ และมีมติเสนอให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินที่สามารถพิสูจน์ตำแหน่งได้ โดยอ้างอิงจากการรังวัดร่วมกันระหว่างกรมที่ดินและร.ฟ.ท.ในอดีต เพราะร.ฟ.ท.เห็นว่าเป็นมติที่เป็นประโยชน์ จึงเตรียมถอนเรื่องที่เคยส่งให้อัยการสูงสุดฟ้องประชาชนเป็นรายแปลงออกไป
“หากกรมที่ดินเลือกแนวทางนี้ ประชาชนเจ้าของที่ดินที่มีเอกสารสิทธิถูกต้องจะไม่ยอมอย่างแน่นอน ล่าสุดตัวแทนกลุ่มประชาชนที่ได้รับเอกสารสิทธิที่ถูกต้องโต้แย้งว่า คำพิพากษาศาลฎีกาพิจารณาเฉพาะกรณีของ 35 รายเท่านั้น ไม่สามารถใช้ขยายผลไปยังแปลงอื่นได้ และแผนที่ของการรถไฟฯ ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นแผนที่ที่ถูกต้องตามกฎหมายกฤษฎีกาในรัชกาลที่ 6 หรือไม่และจะนำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาลปกครองรวมทั้งอาจมีการฟ้องคดีแพ่งและคดีอาญาเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้เรื่องนี้ยืดเยื้อออกไปกว่าจะจบก็คงอีกหลายปี” นายเอกณรงค์ กล่าว
นายเอกณรงค์กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาแม้จะมีหน่วยงานอย่างคณะกรรมการกฤษฎีกา และ ป.ป.ช.ที่เคยมีความเห็นว่าที่ดิน 5,000 ไร่นี้ เป็นของ ร.ฟ.ท.แต่กรมที่ดินก็ยังตั้งข้อสังเกตเรื่องความถูกต้องของแผนที่ ทำให้คดียังคง
ไม่สิ้นสุด หากท้ายที่สุดศาลมีคำพิพากษาให้ที่ดินทั้งหมดเป็นของร.ฟ.ท.จริง ก็อาจไม่จำเป็นต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดแต่หากตกลงเรื่องการเช่าใช้ประโยชน์ที่ดินได้ และถ้ามีการเพิกถอนเอกสารสิทธิจริง รัฐอาจจะต้องเยียวยากลุ่มประชาชนที่ได้รับเอกสารสิทธิมาโดยสุจริตด้วยเช่นกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี