‘ภูมิธรรม’โต้ตาใส
คดีเขากระโดงใหญ่กว่ารุกที่สาธารณะ
มั่นใจ‘ดีเอสไอ’ทำทุกเรื่อง
แต่เรียงลำดับความสำคัญ
“ภูมิธรรม”โต้“ภูมิใจไทย”ยันดีเอสไอเดินหน้าคดีบริษัท“สุดาวรรณ”รุกที่สาธารณะ จ.อุบลราชธานี ตามกระบวนการกฎหมาย รับคดีฮั้ว สว.-เขากระโดง เป็นเรื่องใหญ่ต้องสางให้ชัดเจน เหตุสาธารณชนสนใจ
เมื่อวันที่ 14 ส.ค.2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีพรรคภูมิใจไทยเรียกร้องให้นายภูมิธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการคดีพิเศษติดตามตรวจสอบคดีบริษัทครอบครัว น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตรกรรม (อว.) หลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับเรื่องสอบสวนเป็นคดีพิเศษการขุดบ่อน้ำรุกที่สาธารณะ จ.อุบลราชธานี หลังเอาแต่เร่งรัดตรวจสอบคดีที่ดินเขากระโดง และฮั้ว สว. ว่า ตนคิดว่าดีเอสไอคงทำทุกเรื่อง แต่ยอมรับว่า เรื่องฮั้วสว.เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเป็นจริงตามนั้นถือเป็นการทำลายระบอบกฎเกณฑ์ ระบอบประชาธิปไตย ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด สามารถมองได้ เป็นเรื่องที่สาธารณชนให้ความสนใจ
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ขณะที่เรื่องเขากระโดงเป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องที่สำคัญ และเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ตัดสินไปแล้ว ในเรื่องที่ดินประมาณ 5 พันกว่าไร่ที่คั่งค้างมานาน และเรื่องนี้ก็ช้ามาเป็น 10 ปีแล้ว จะบอกว่า เร่งรีบไม่ได้ แต่เป็นเรื่องที่ต้องสางให้เกิดความชัดเจน เมื่อถามว่า มีการอ้างว่า 6 ปีแล้วแต่ดีเอสไอยังไม่สั่งฟ้องคดีของ น.ส.สุดาวรรณ นายภูมิธรรม ย้อนถามว่า “เอา6ปี มาเปรียบเทียบกว่า 10 กว่าปี ต้องดูความใหญ่นะครับ แต่ไม่เป็นไรมีสิทธิที่จะถามได้ แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ คนทั้งประเทศเขาสนใจเรื่องเขากระโดงมากกว่า ส่วนเรื่องอื่นก็ว่าไปตามกระบวนการกฎหมาย และเรื่องเขากระโดงขอให้เกิดความชัดเจน ถ้าคิดว่ามีปัญหาก็ทำให้ชัดเจน”เมื่อถามว่า การเพิกถอนที่ดินเขากระโดงต้องรอให้อธิบดีกรมที่ดินคนใหม่เข้ามาเซ็น หรือให้คนรักษาการทำก่อนได้หรือไม่ หลังประกาศจะเพิกถอนตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนตอบหลายครั้งแล้ว รอให้มีการโปรดเกล้าฯอธิบดีกรมที่ดินคนใหม่เข้ามา จะทำหน้าที่ทันที
นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระด้านกฎหมาย และอดีตกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวแสดงความเห็นต่อกรณีกระทรวงมหาดไทยเตรียมสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดงจำนวน 5,083 ไร่ ในฐานะประชาชนโดยไม่เกี่ยวกับการเมืองว่า กรมที่ดินไม่มีอำนาจเพิกถอนในภาพรวมได้ เนื่องจากคำตัดสินของศาลฎีกามีผลผูกพันเฉพาะ 35 รายที่เป็นคู่ความในคดีแพ่งระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กับประชาชนเท่านั้น ก่อนที่กรมที่ดินจะดำเนินการใด ๆ ต้องเปิดโอกาสให้ชี้แจงข้อเท็จจริง ทั้งแผนที่ เอกสาร และหลักฐานที่แต่ละฝ่ายอ้างสิทธิ์ เพราะขณะนี้ยังไม่มีข้อยุติ และต้องพิสูจน์ตามขั้นตอนกฎหมาย ให้ผู้ถือครองที่ดินประมาณ 900 ราย ได้โต้แย้งว่าไม่ใช่ที่ดินของการรถไฟฯ
นายแก้วสรร กล่าวต่อว่า สิทธิของชาวบ้านที่ได้มาโดยสุจริต ภาครัฐไม่เคยให้ความสำคัญ หน่วยงานต่าง ๆ มักดำเนินการในลักษณะของ ขุนนาง ที่ไม่คุ้มครองสิทธิประชาชน เพราะไม่เห็นหัวชาวบ้าน ดังนั้น หากกรมที่ดินยังไม่ดำเนินการใด ๆ ก็ให้ปล่อยเป็นเพียงการข่มขู่ไปก่อน แต่หากมีคำสั่งเพิกถอนโฉนดของชาวบ้านที่ได้มาโดยสุจริตจริงประชาชนสามารถใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 51 และ 52 เพื่อคุ้มครองสิทธิของตนได้ โดยเฉพาะเมื่อหน่วยงานรัฐไม่สามารถแสดงเหตุจำเป็นในการใช้ที่ดินได้อย่างชัดเจนนอกจากนี้ ยังอาจมีสิทธิได้รับการเยียวยาความเสียหาย ทั้งในรูปแบบตัวเงินหรือรูปแบบอื่นตามที่กฎหมายกำหนด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี