‘กต.’ยัน‘บ้านหนองจาน’อยู่ในอธิปไตยไทย แต่‘กัมพูชา’ขยายชุมชนรุกล้ำผิด MOU 43

‘กต.’ยัน‘บ้านหนองจาน’อยู่ในอธิปไตยไทย แต่‘กัมพูชา’ขยายชุมชนรุกล้ำผิด MOU 43

วันศุกร์ ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 17.14 น.

‘กต.’ยัน‘บ้านหนองจาน’อยู่ในอธิปไตยไทย แต่‘กัมพูชา’ขยายชุมชนรุกล้ำผิด MOU 43

22 สิงหาคม 2568 นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และนายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กต. แถลงเกาะติดสถานการณ์ไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับพื้นที่บ้านหนองจาน จ. สระแก้ว


นายนิกรเดช กล่าวว่า จากกรณีที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวหาว่าฝ่ายไทยวางลวดหนามในพื้นที่อธิปไตยของกัมพูชา นั้น ในเรื่องนี้กองทัพบกและกระทรวงการต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงแล้ว และตนก็ได้ชี้แจงอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงการแถลงข่าวประจำสัปดาห์เมื่อวันที่ 20 ส.ค.2568 ผ่านมา และขณะที่เรากำลังแถลงข่าวอยู่นี้ทางกองทัพภาคที่ 1 ก็กำลังนำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว หรือ IOT ลงพื้นที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว เพื่อสังเกตการณ์และรับทราบข้อเท็จจริงในพื้นที่ด้วย อย่างไรก็ดี เรายังคงพบเห็นการแสดงความเห็นในเรื่องนี้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งจากพี่น้องประชาชนฝั่งไทย และทางฝั่งกัมพูชา ซึ่งต่างฝ่ายก็ต่างกล่าวว่าพื้นที่ดังกล่าวนี้อยู่ในอธิปไตยของตน

นายนิกรเดช กล่าวต่อว่า ตามที่ตนได้เคยชี้แจงไปก่อนหน้านี้ ว่าพื้นที่บ้านหนองจาน เดิมเคยใช้เป็นพื้นที่พักพิงชั่วคราวของชาวกัมพูชาที่หนีภัยสู้รบในอดีตเข้ามาในประเทศไทย และต่อมาฝ่ายกัมพูชาได้ขยายชุมชนออกไป ถือเป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU ปี 2543  ซึ่งไทยได้คัดค้านและดำเนินการประท้วงการล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทยมาโดยตลอด แต่ฝ่ายกัมพูชาไม่ได้ตอบสนองใดๆ 

ในส่วนของการวางลวดหนามในเขตไทยนั้น ก็เป็นไปเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย เป็นไปเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนไทย เป็นไปเพื่อป้องกันการเข้ามาวางทุ่นระเบิดโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวของไทยนี้ไม่ขัดต่อข้อตกลง จากการประชุมจีบีซี สมัยวิสามัญ ที่ผ่านมา ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะละเว้นจากการก่อสร้างหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร หรือการเสริมความมั่นคงของที่ตั้งทางทหารที่ล้ำออกไปนอกเขตของฝ่ายตน และเพื่อเป็นการไขความคล่องใจให้ความกระจ่าง ในวันนี้ นายเบญจมินทร์ จะเป็นผู้ให้ข้อมูลรายละเอียดกับประเด็นในพื้นที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว เพื่อให้พี่น้องสื่อมวลชนและประชาชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง

ด้านนายเบญจมินทร์ กล่าวว่า ตามที่สื่อมวลชนและสาธารณะชนได้รับทราบประเด็นปัญหา ที่เกิดขึ้นบริเวณพื้นที่บ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ชาวกัมพูชาได้สร้างบ้านเรือนลุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของไทย ตนจึงอยากใช้โอกาสนี้ชี้แจงข้อเท็จจริง ว่า บ้านหนองจานตั้งอยู่ระหว่างหลักเขตแดนที่ 46 และ 47 ซึ่งเป็นแนวเขตแดนที่ เป็นไปตามความตกลงสยามฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1907 มีแนวเป็นเส้นตรง เมื่อปี 2524 ไทยก็อนุญาตให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นเอสซีอาร์ จัดตั้งศูนย์อพยพชั่วคราวขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อเหตุผลทางมนุษยธรรม ให้กับชาวกัมพูชาที่หนีภัยสงครามกลางเมืองภายในประเทศกัมพูชาเอง ทั้งนี้ก็เป็นไปตามที่ยูเอ็นเอสซีอาร์ร้องขอ โดยทหารไทยก็ได้จัดทำแนวรั้วเพื่อจำกัดเขตดังกล่าว แต่อย่างไรก็ดี เมื่อสงครามยุติลงแล้ว ในช่วงปี 2542 แต่ชาวกัมพูชากลุ่มนั้น ซึ่งหนีภัยสงครามมาอยู่ก็ยังได้เข้าก่อสร้าง ที่อยู่อาศัยขยายที่ดินทำกิน จนขยายออกมานอกแนวรั้วที่เราเห็นกันอยู่จนปัจจุบันนี้

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาฝ่ายไทยก็ได้ จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการพิจารณาปักปันเขตแดนของ สมช. เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ได้มีการหารือเกี่ยวกับปัญหานี้รวม 4 ครั้ง ซึ่งที่ประชุมก็มีมติ ให้ดูแลเพื่อไม่ให้ราษฎรชาวบ้านบูชาขยายพื้นที่ทำกิน  และหารือเจรจาร่วมกับฝ่ายกัมพูชาอย่างสันติ รวมทั้งเร่งรัดการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในบริเวณดังกล่าว

ต่อมาเมื่อวันที่ 28-30 ส.ค. 2545 ทางกระทรวงการต่างประเทศ และกรมแผนที่ทหาร ก็ได้มีการหารือร่วมกับ นายวาคิมฮอง ประธานเจบีซี ของกัมพูชา ณ ขณะนั้น โดยฝ่ายไทยขอให้ราษฎรของกัมพูชาย้ายออกไป แต่ฝ่ายกัมพูชาแจ้งว่าจะต้องขอตรวจสอบแนวที่แน่ชัดของหลักเขตแดนที่ 46 และ 47 ก่อน

เมื่อเดือนกันยายน 2560 ทางกระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้มีหนังสือประท้วงฝ่ายกัมพูชา กรณีการขยายตัวของชุมชนบริเวณบ้านหนองจาน  มีการชักธงชาติกัมพูชา และจัดตั้งหน่วยงานทางการของกัมพูชาในพื้นที่  ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทย และละเมิดข้อ 5 ของ MOU 2543 จึงขอให้ปลดธงชาติและย้ายชุมชนออกจากพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งฝ่ายกัมพูชาไม่ได้มีหนังสือตอบกลับหรือโต้แย้งแต่อย่างใด

ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่าพื้นที่บ้านหนองจาน เป็นพื้นที่ของไทย โดยไทยอนุญาตให้ชาวกัมพูชา ที่หนีบไทยสงครามช่วงเขมรแดงมาอาศัยอยู่เป็นการชั่วคราว ทั้งนี้ด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม การที่ชุมชนกัมพูชาขยายตัวเพิ่มขึ้นนั้น ไทยไม่ได้ยอมรับ  และไม่กระทบกับการปักปันเขตแดนที่ยังดำเนินอยู่ระหว่างไทยกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และที่ผ่านมา ก็ไม่ได้เป็นประเด็นทางสังคมในวงกว้าง เนื่องจากฝ่ายไทยรับทราบมาตลอดว่าให้ชาวกัมพูชาที่หนีภัยเข้ามาอาศัยอยู่ชั่วคราว แต่เมื่อฝ่ายกัมพูชาปัจจุบันออกมากล่าวอ้างว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของกัมพูชา ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ฝ่ายไทยต้องประท้วง และก็ชี้แจงข้อเท็จจริงในวันนี้

นายเบญจมินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาไทยได้มีการประท้วงกัมพูชาตลอดเวลาในหลายจุดที่มีการล่วงล้ำเขตแดนไทย แต่ก็ไม่ได้ตอบรับที่ดีหรือนิ่งเฉยจากฝ่ายกัมพูชา ดังนั้น เราก็คงต้องปฏิบัติไปตามหลักสากลก่อน โดยแสดงจุดยืนและท่าทีของเราให้ชัดเจนว่าจุดใดที่เห็นว่ากัมพูชาร่วงล้ำเข้ามา เราก็ทำการประท้วง และการประท้วงของไทยก็ไม่ได้ทำโดยไม่มีหลักฐานทางกฎหมาย เนื่องจาก MOU ปี 2543 หรือ MOU 2000 ก็พูดชัดเจนว่าไม่ควรจะมาทำให้พื้นที่ที่ยังไม่ชัดเจนไปเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ ซึ่งก็เป็นข้อห้ามที่ชัดเจนอยู่แล้วในความตกลงกัน และขณะนี้เรากำลังรอคำตอบการประชุมออตตาวา ที่เจนีวา ซึ่งเรามีการดำเนินการผ่านเลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อแจ้งการกระทำที่ไม่เป็นไปตามความตกลง คือ ไม่ผลิต ไม่นำมาใช้ซึ่งทุ่นระเบิดสังหารบุคคล โดยไทยได้ดำเนินการไปแล้ว ขณะนี้ก็กำลังรอผลการดำเนินการ และการตรวจสอบของการประชุมออตตาวา

นายนิกรเดช กล่าวเสริมว่า ในวันที่ 22 สิงหาคม 2568 มีการประชุมออตตาวาที่เจนีวา ซึ่งเอกอัครทูตผู้แทนถาวรของไทย ประจำนครเจนีวา ก็จะเข้าร่วมการประชุมและจะมีการส่งเอกสารเพิ่มเติมบังคับให้รัฐภาคีดำเนินการตามอนุสัญญา แต่ ณ ตอนนี้การประชุมน่าจะยังไม่เริ่มหรืออาจจะเพิ่งเริ่มประชุม ดังนั้น ในสัปดาห์หน้าตนจะมารายงานให้ทราบต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่คณะทูตประเทศต่างๆได้ลงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ความคิดเห็นของทูตเหล่านั้นจะถูกนำเข้าเสนอต่อที่ประชุมออตตาวาในครั้งนี้ด้วยหรือไม่ และไทยเราคาดหวังให้การประชุมครั้งนี้ผลักดันให้เกิดผลอะไรขึ้นบ้าง

นายนิกรเดช กล่าวว่า ทูตหลายท่าน ก็ได้แสดงความคิดเห็น แต่ถ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับทุนระเบิด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอนุสัญญาออตตาวา ก็ไม่เกี่ยวกับอนุสัญญานี้ แต่ก็จะไปเกี่ยวข้องกับอย่างอื่น แต่ทูตหลายท่านก็ได้แสดงความเห็นและให้สัมภาษณ์สื่อในเชิงเห็นใจว่าไทยเป็นผู้ถูกกระทำ อันนี้เป็นผลดีกับเราแน่นอนว่าสิ่งที่เราพูดนั้นเป็นความจริงและก็สะท้อนออกมาให้ผู้แทนระดับเอกอัครราชทูตหรือผู้แทนต่างประเทศที่ได้ลงพื้นที่นั้นเห็นด้วยตนเอง  ดังนั้น ก็มีความสำคัญมากในการที่จะมีการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศ 1.เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เราพูดนั้นเป็นจริง 2. กดดันกัมพูชาให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง

-005

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top