สว.แฉไทยเสียท่าเขมร  ชงตั้งกมธ.เลิกเอ็มโอยู  พท.ร่ายยาวกลัวมีปัญหา  โวยลั่นแผนล้ม‘รัฐบาล'

สว.แฉไทยเสียท่าเขมร ชงตั้งกมธ.เลิกเอ็มโอยู พท.ร่ายยาวกลัวมีปัญหา โวยลั่นแผนล้ม‘รัฐบาล'

วันจันทร์ ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

สว.ชงญัตติถกตั้งกมธ.ศึกษาการยกเลิก “MOU 43-44” ชี้ทำไทยเสียเปรียบกัมพูชาทั้ง“บนบก-ทะเล” ขณะที่ “บิ๊กป้อม” ออกโรงหนุนให้ทบทวน ด้าน “เพื่อไทย” ร่ายยาวอ้างหากยกเลิกมีปัญหาเจรจาเขตแดนแน่หวั่นสูญเสียกลไกบังคับให้คู่กรณีต้องนั่งโต๊ะคุยกันฉะพรรคการเมืองรับลูกหวังล้มรัฐบาลเลือกตั้ง

เมื่อวันที่ 24สิงหาคม2568 นายมงคล สุระสัจจะประธานวุฒิสภาได้ออกหนังสือนัดประชุมวุฒิสภา ในวันที่ 25-26สิงหาคมนี้ โดยมีวาระพิจารณาที่น่าสนใจในวันที่ 26 สิงหาคมคือญัตติ ให้วุฒิสภาพิจารณาตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิกเอ็มโอยู2543และเอ็มโอยู2544 เพื่อแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาเสนอโดย พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว.และคณะ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสาระสำคัญที่ พล.อ.สวัสดิ์ เสนอญัตติดังกล่าว เพื่อเป็นการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมมพูชา และสร้างความมั่นคงตามแนวชายแดนไทยอย่างยั่งยืน พร้อมระบุในสาระสำคัญตอนหนึ่งว่า การปะทะระหว่างกองทัพไทยและกองทัพกัมพูชาตามแนวชายแดนหลายพื้นที่ เพราะยึดถือแผนที่ที่มีมาตราส่วนต่างกัน

ทั้งนี้รัฐบาลไทยปัจจุบันควรยืนยันกับกัมพูชาให้เข้าใจว่าไทยไม่ยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2แสน แต่เมื่อปี2543 รัฐบาลยุคนั้นได้ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกหรือ เอ็มโอยู2543 ซึ่งมีสาระสำคัญในข้อ 1 ว่า ไทยกับกัมพูชาจะร่วมกันสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกให้เป็นไปตามเอกสาร 3 ราการ โดยรายการที่3 คือ แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามข้อตกลงของคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยามกับอินโอจีนของฝรั่งเศสปี2447และ 2450 คือแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน และผู้นำกัมพูชายืนยันยึดแผนที่ดังกล่าวตลอด

“หากรัฐบาลมีความจริงใจไม่ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน จริง และเพื่อให้การสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตของทหารของไทยในการยืนหยัดพิทักษ์อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนตามแนวปฏิบัติการ 1 ต่อ 5หมื่น เป็นไปอย่างมีคุณค่าสูงสุดรัฐบาลต้องพิจารณายกเลิกเอ็มโอยู2543 ที่กัมพูชาเคารพเอ็มโอยู2543 เพียงข้อ1 ที่ให้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกเป็นไปตามแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนเท่านั้น ส่วนข้ออื่นที่สำคัญ คือ ข้อ 5 และข้อ8 กัมพูชาละเมิดแล้ว การคงข้อตกลงที่ฝ่ายหนึ่งจงใจไม่ปฏิบัติตามอย่างชัดแจ้งหามีประโยชน์ไม่” ญัตติที่เสนอโดย พล.อ.สวัสดิ์ และคณะ ระบุ

สาระของญัตติดังกล่าวระบุต่อว่า นอกจากนี้ไทยกับกัมพูชามีข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล จึงได้ทำเอ็มโอยู 2544เพื่อหาข้อสรุปเรื่องการปักปันเขตแดนว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา โดยเส้นเขตไหล่ทวีของไทยมีเส้นเดียวคือ เส้นตามประกาศพระบรมราชโองการในวันที่ 29 พฤษภาคม 2516 และยืนหยัดพิทักษ์ปกป้องโดยทุกวิถีทางมา29 ปี

แต่นับจากที่ได้ลงนามเอ็มโอยู 2544 คือ 18 มิถุนายน 2544 เท่ากับไทยยอมรับการคงอยู่ของเส้นไหล่ทวีค.ศ.1972 ทำให้เส้นเขตไหล่ทวีปถูกแปรเป็นสอง และเกิดพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน 2.6หมื่น ตร.กม.ไม่ว่าผลการแบ่งเขตแดนเป็นอย่างไร ไทยต้องเสียงทั้งเขตแดนและผลประโยชน์

“ซึ่งสารัตถะในเอ็มโอยู2544 เป็นคุณต่อกัมพูชามากกว่าไทยในพื้นที่ทั้ง 2 ส่วนของข้อตกลง คือส่วนบนละติจูด 11 องศาเหนือ และส่วนล่างเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ เท่ากับกัมพูชาได้รับผลกระโยชน์ในส่วนที่ไม่ควรได้รับหรือทำให้ไทยไม่ได้รับประโยชน์ในส่วนที่ควรได้รับดังนั้นรัฐบาลควรยกเลิกเอ็มโอยู2544เช่นเดียวกัน แต่การยกเลิกนั้นเป็นความซับซ้อนและละเอียดอ่อน จึงสมควรที่วุฒิสภาจะตั้งกมธ.ศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิกเอ็มโอยูทั้งสองฉบับ”ญัตติดังกล่าวระบุ

ด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงข้อเสนอของพรรคการเมืองให้ทบทวนและยกเลิกบันทึกความเข้าใจเอ็มโอยู2543 และ2544 ว่า ตนเห็นด้วยกับข้อเสนอที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ถ้าจะมีการทบทวน หรือแม้แต่ยกเลิกเอ็มโอยูปี 43 และปี 44 ที่มีมานานแล้ว เพื่อที่จะทำให้ประเทศไทยไม่เสียประโยชน์

“ผมในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็พร้อมสนับสนุน และขอยืนหยัด เอาผลประโยนช์ของชาติและประชาชนเหนือสิ่งอื่นใด สุดท้ายขอฝากกำลังใจให้น้องๆทหารในแนวหน้าทุกคนที่เสียสละเพื่อประเทศชาติ ในการรักษาอธิปไตยของชาติ จงปลอดภัย และขอให้น้องๆ ทำเพื่อเกียรติภูมิของกองทัพ ประเทศชาติ เป็นสำคัญ”พล.อ.ประวิตร กล่าวย้ำ

ขณะที่น.ส.ชญาภา สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ดและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงกรณีการปิดประชุมสภาฯ อย่างกระทันหันเมื่อวันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา จนฝ่ายค้านนำไปอ้างให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าเป็นการปิดสภาฯ เพื่อหนีการเสนอญัตติเพื่อตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาพิจารณา MOU 43 และ MOU 44 ของพรรคฝ่ายค้านว่า กรณีที่เกิดขึ้นเกิดจากความคลาดเคลื่อนในการสื่อสารระหว่างประธานสภาฯ กับวิปฝ่ายรัฐบาลและวิปฝ่ายค้าน รัฐบาลไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงแต่อย่างใด เนื่องจากรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย มีจุดยืนที่ชัดเจนที่เชื่อมั่นในระบบรัฐสภา คือเวทีในการร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ซึ่งหลังจากนี้พรรคฝ่ายค้านก็สามารถเสนอญัตติให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาพิจารณา MOU 43 และ MOU 44 เพื่อให้สภาฯ พิจารณาได้

น.ส.ชญาภา กล่าวต่อว่า จุดยืนของพรรคเพื่อไทย คือการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพของดินแดน ยืนอยู่บนความถูกต้องตามข้อเท็จจริง ไม่ใช้ความรู้สึก หรือความหวาดกลัวใดๆ และ MOU 43 (พ.ศ.2543) เป็นเพียงกรอบความร่วมมือจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เพื่อสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดนทางบกกับกัมพูชา ไม่ได้กำหนดเขตแดนใหม่ แต่เป็นกลไกบริหารจัดการข้อพิพาทอย่างเป็นระบบ ขณะที่ MOU 44 เป็นเพียงกรอบการเจรจาปักปันเขตทางทะเล การพัฒนาร่วมในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน โดยยืนยันหลักการเจรจาทวิภาคีตามกฎหมายระหว่างประเทศ

“หากเรารักชาติ หวงแหนอธิปไตยและหวงดินแดนของชาติอย่างแท้จริง การเรียกร้องให้มีการยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับนี้ อาจจะเป็นการกระทำที่ไม่ตรงกับเจตนารมณ์ที่มีการป่าวประกาศ ดังนั้นจึงควรช่วยกันทำให้ความจริงปรากฏ เพื่อเอาชนะความลวงที่แฝงเร้นไว้ด้วยความต้องการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง”น.ส.ชญาภา กล่าว

น.ส.ชญาภา กล่าวอีกว่า หลายรัฐทั่วโลกต่างก็ประสบปัญหาเดียวกันกับที่ไทยและกัมพูชาเจอ คือ แม้แต่ละรัฐจะถือแผนที่ที่ชัดเจน แต่ก็ยังพบว่าแผนที่ของแต่ละรัฐนั้นมีความเหลื่อมทับกันอยู่ และสิ่งที่หลายรัฐทั่วโลกทำกัน คือการทำให้เกิดเวทีเจรจาในลักษณะทวิภาคีเหมือนกับ MOU 43 และ MOU 44 เพื่อเป็นกลไกในการปักปันเขตแดนร่วมกัน

“การยกเลิก MOU 43–44 โดยไม่ประเมินผลกระทบเชิงระบบที่รอบด้าน อาจทำให้เราสูญเสีย กลไกบังคับให้คู่กรณีต้องนั่งโต๊ะคุยกัน ซึ่งโลกใช้เป็นมาตรฐานในการแก้ปัญหาเขตแดน และนอกจากกับกัมพูชาแล้ว ที่ผ่านมาไทยเองก็ได้ดำเนินการในลักษณะเดียวกันนี้กับเมียนมา ลาว มาเลเซียมาโดยตลอด และมีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมอย่างมากโดยเฉพาะกรณีมาเลเซียและลาว”น.ส.ชญาภา กล่าว

นอกจากนี้ น.ส.ชญาภา ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยยินดีที่จะปกป้องสิทธิในการชุมนุมโดยสงบของประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย แต่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับความพยายามบิดเบือนข้อมูล ข้อเท็จจริง เพื่อสร้างกระแสให้เกิดความเกลียดชัง พร้อมฝากถึง พรรคการเมืองฝ่ายค้านที่พยายามรับลูกข้อเสนอที่ผ่านการบิดเบือนว่า MOU ทั้งสองฉบับเป็นเครื่องมือสำคัญที่ผูกมัดให้คู่กรณีต้องมานั่งโต๊ะเจรจาพูดคุยและแก้ปัญหาร่วมกันอย่างสันติ หากไม่มีข้อผูกมัดนี้แล้ว เท่ากับเป็นการเปิดทางให้มีบุคคลที่สามเข้ามามีอำนาจชี้ขาดในเรื่องดินแดนระหว่างสองประเทศ และอาจกลายเป็นการถูกละเมิดอธิปไตยครั้งใหญ่

“พรรคการเมืองที่น้อมรับข้อเสนอดังกล่าว และเดินหน้าอย่างเต็มที่เพื่อที่จะล้ม MOU ทั้งสองฉบับ โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่ประกาศตัวว่าเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ควรกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนทางการเมืองด้วยเหตุด้วยผล ตั้งมั่นใจจุดยืนในการใช้ความรู้ความสามารถ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และประคับประครองสถานการณ์ต่างๆ ไปด้วยข้อเท็จจริง มากกว่าการพยายามเล่นการเมืองทุกทางเพียงเพราะหวังว่าจะโค่นล้มรัฐบาลให้ได้เท่านั้น” น.ส.ชญาภา กล่าว

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top