'วัส ติงสมิตร' ไขความหมาย 'เสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์' บทลงโทษต่างกัน ตั้งแต่ สส. ยันนายกฯ

'วัส ติงสมิตร' ไขความหมาย 'เสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์' บทลงโทษต่างกัน ตั้งแต่ สส. ยันนายกฯ

วันพุธ ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 20.18 น.

 

วันที่ 27 สิงหาคม 2568 นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก ระบุว่า  เสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งในบริบทต่างๆ ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ


รัฐธรรมนูญ 2560 และกฎหมายต่างๆ กำหนดการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งในลักษณะที่แตกต่างกัน และเกิดผลที่แตกต่างกัน

1)องค์กรตามรัฐธรรมนูญ : ประกอบด้วย สส. สว. ครม. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระทั้งห้าตามรัฐธรรมนูญ

มีมาตรฐานทางจริยธรรม 2561 ใช้บังคับอยู่ข้อหนึ่งว่า ต้องไม่กระทำการที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง (ข้อ 17) และการฝ่าฝืนนั้นจะถือว่ามีลักษณะร้ายแรงก็ต่อเมื่อได้พิจารณาถึงพฤติการณ์ของการฝ่าฝืน เจตนาและความร้ายแรงของความเสียหายที่เกิดจากการฝ่าฝืนนั้น (ข้อ 27 วรรคสอง) มีผลทำให้ผู้ฝ่าฝืนต้องพ้นจากตำแหน่งเมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษา ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษาเมื่อปี 2565 ในคดีถอดถอนนางปารีณา ไกรคุปต์ ออกจากตำแหน่ง สส. ราชบุรี กรณีครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินกว่า 665 ไร่โดยมิชอบว่า “จริยธรรมข้อนี้หมายถึงการรักษาชื่อเสียงของตำแหน่งหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการไม่ประพฤติปฏิบัติตนหรือดำเนินการอื่นใดที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของผู้ดำรงตำแหน่งและองค์กรของผู้ดำรงตำแหน่ง”

2) นายกรัฐมนตรีมีลักษณะต้องห้ามเพราะฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

รัฐธรรมนูญ 2560 บัญญัติคุณสมบัติของรัฐมนตรีว่า ต้อง “มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” (มาตรา 160(4)) และลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรีไว้ว่า ต้อง “ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง” (มาตรา 160(5)) 

ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยเมื่อปี 2567 กรณีทูลเกล้าฯ แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่นายพิชิตเคยต้องคำพิพากษาจำคุก 6 เดือนฐานละเมิดอำนาจศาล ด้วยมติ 5:4 ว่า นายเศรษฐา ทวีสิน ย่อมรู้หรือควรรู้ได้ว่านายพิชิต ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามในการเป็นรัฐมนตรี แต่ยังดึงดันเสนอชื่อให้เป็นรัฐมนตรี รวมถึงการไปพบนายทักษิณ ชินวัตร ก่อนเสนอชื่อ ทำให้นายเศรษฐามีพฤติกรรมขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง (ครอบคลุมถึงการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย) 

3) จริยธรรมของข้าราชการการเมือง

(1)รัฐธรรมนูญ 2560 หมวดแนวนโยบายแห่งรัฐกำหนดให้ “รัฐพึงจัดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักในการกำหนดประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานนั้น ๆ ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่ามาตรฐานทางจริยธรรมดังกล่าว” (มาตรา 76 วรรคสาม)

(2) ต่อมามีพระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 ออกตามความในรัฐธรรมนูญมาใช้บังคับ โดยบัญญัติว่า “มาตรฐานทางจริยธรรม  คือ  หลักเกณฑ์การประพฤติปฏิบัติอย่างมีคุณธรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ”  ซึ่งมี 7 ข้อ ให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักสำคัญในการจัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในความรับผิดชอบ

(3) ประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2564 : คณะรัฐมนตรีอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 6 วรรคสอง (1) แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 จัดทำประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2564 ขึ้นใช้บังคับแก่ข้าราชการการเมือง ซึ่งรวมถึงนายกรัฐมนตรีด้วย

ในส่วนที่เกี่ยวกับ “เกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง” ได้กำหนดไว้ว่า “ไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง” (ข้อ 5 (6)) เหมือนกับมาตรฐานทางจริยธรรมขององค์กรตามรัฐธรรมนูญชนิดคำต่อคำ ส่วนที่ต่างกันคือ ประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2564 ไม่ได้กำหนดสภาพบังคับไว้เหมือนมาตรฐานทางจริยธรรมขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ 

4) ประมวลจริยธรรมข้าราชการพลเรือน : ก.พ. ในฐานะองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการพลเรือน อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 ได้จัดทำ “ประมวลจริยธรรมข้าราชการพลเรือน” ขึ้น เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติตน และรักษาคุณงามความดีที่ข้าราชการต้องยึดถือในการปฏิบัติงานรวม 7 ข้อ 

นอกจากประมวลจริยธรรมฉบับนี้จะไม่ได้กำหนดสภาพบังคับไว้แล้ว ยังไม่มีข้อใดที่กล่าวถึงการรักษาเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งข้าราชการ เหตุที่เป็นเช่นนี้ คงเป็นเพราะพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551บัญญัติให้ข้าราชการพลเรือนต้องรักษาชื่อเสียงของตน และรักษาเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้เสื่อมเสีย ไว้ในหมวดวินัยและการรักษาวินัยไว้แล้ว (มาตรา 82 (10)) เรื่องเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งข้าราชการพลเรือนจึงมีสถานะเป็นวินัย ไม่ใช่เพียงจริยธรรมหรือจรรยาเท่านั้น

5) กล่าวโดยสรุป กระทำการที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พึงพิจารณาจากการกระทำของนายกรัฐมนตรีว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำของประเทศและผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดในฝ่ายบริหาร ได้ประพฤติตนที่เหมาะสมทั้งในด้านกฎหมาย จริยธรรม และความคาดหวังของสังคม เพื่อรักษาภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ และความเคารพในตำแหน่งหน้าที่นี้หรือไม่

วัส ติงสมิตร

นักวิชาการอิสระ

28/8/68

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top