‘ดร.ณัฏฐ์’ชี้ ประเด็นสำคัญแห่งคดีแพทองธาร‘มีมูลเหตุจูงใจ’ และมีพฤติการณ์‘จงใจเอื้อประโยชน์’ให้แก่‘ฮุน เซน’ทำให้ขาดคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี
28 สิงหาคม 2568 สืบเนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญได้นัดอ่านคำวินิจฉัยในคดีที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ถูก สว.สีน้ำเงิน กล่าวหาว่า ขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 เวลา 15.00 น. จึงเป็นจุดชี้ชะตาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ผลคดีจะเป็นอย่างไร ทำให้สถานการณ์การเมืองภายในประเทศร้อนแรง โดยถูกจับตาของทุกฝ่ายว่า ผลคดีจะออกมาเป็นอย่างไร นั้น
ล่าสุด “ดร.ณัฏฐ์” หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะและกล่าวว่า จุดชี้ขาดคดีพลิกเกมของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในแง่พยานหลักฐาน และคำชี้แจงฝ่ายผู้ถูกร้อง ทำให้ขาดคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี
กรณีคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธารฯ นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5)
ปมคลิปเสียง เป็นปัญหาข้อเท็จจริง นำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ที่เรียกว่า “ปัญหาข้อเท็จจริง” ตัวแปรสำคัญ เมื่อเทียบเคียงกับการตีความ ในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 21/2567 นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่รัฐธรรมนูญมาตรา 211 วรรคท้าย มีผลเสร็จเด็ดขาดและผูกพันทุกองค์กร
คือ “มีมูลเหตุจูงใจ” หรือไม่ และเป็นการกระทำโดย จงใจ “เอื้อผลประโยชน์”ให้แก่กัมพูชา หรือไม่ จะเป็นประเด็นที่ศาลหยิบมาวินิจฉัย
ปัญหาว่า “มีมูลเหตุจูงใจ”หรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงว่า ในวันที่ 15 มิถุนายน 2568 มีการเจรจาพูดคุยลับ ระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร กับนาย ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และเป็นบิดาของนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยถูกแอบบันทึกเสียง และถูกปล่อยออกมาในวันที่ 18 มิถุนายน 2568 โดยวันดังกล่าว นางสาวแพทองธารฯ แถลงต่อสาธารณะ ยอมรับ “เป็นคลิปเสียงจริง” ปัญหาว่า มีมูลเหตุจูงใจหรือไม่ และได้ผลประโยชน์หรือไม่ ในวันที่ 16 มิถุนายน 2568 กำหนดการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (โต๊ะใหญ่) ในเรื่องข้อพิพาทไทย/กัมพูชา หลายภาคส่วน เป็นเรื่องสำคัญและเร่งด่วนของประเทศ กลับถูกยกเลิก ไม่มีการประชุม อันเป็นผลจากพูดคุยในวันที่ 15 มิถุนายน แต่นางสาวแพทองธารฯ กลับเรียกประชุม(โต๊ะเล็ก) ที่บ้านพิษณุโลก บางเฉพาะหน่วยงาน ทำให้ข้อเท็จจริงย้อนแย้งกัน แม้โอยความรับผิดให้นายภูมิธรรมฯ รองนายกและ รมว.กลาโหม ขณะนั้น แต่นายภูมิธรรมฯ ไม่ได้มาเป็นพยานสนับสนุนและนางสาวแพทองธารฯไม่ได้ยกเป็นข้อต่อสู้ในคำชี้แจง ทำให้มีน้ำหนักน้อย
อาจถูกหยิบไปตีความว่า ในการยกเลิกประชุม สมช.เป็นมูลเหตุจูงใจ ให้ฝ่ายกัมพูชาได้ประโยชน์และการยกเลิกการประชุมเรื่องสำคัญและแก้ปัญหาไม่ทันท่วงที เป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริต เป็นที่ประจักษ์ กระทบเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ กระทบต่อความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยของประชาชน เข้าข่ายเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริตเป็นที่ประจักษ์ กระทบต่อเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงแห่งรัฐ ตามมาตรฐานจริยธรรมฯ 2561 มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ ข้อ 6 และ ข้อ 8 ข้อ 27 เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริตและฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง ทำให้ขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) (5)
ส่วน เป็นการกระทำโดย จงใจ “เอื้อผลประโยชน์” หรือไม่ มีพยานวัตถุคลิปเสียงของฝ่ายผู้ร้อง สว.สีน้ำเงิน เป็นหลักฐาน เป็นคลิปเสียงบทสนทนา ที่ว่า “...uncle (แปลว่า คุณลุง) และโดยยืนยันข้อเท็จจริงว่า “จริง ๆ แล้ว ถ้าท่านอยากได้อะไรก็ให้ ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้...” รวมทั้ง “... เรียกแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย ซึ่งเป็นผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่อย่างเข้มแข็งเพื่อประเทศชาติและประชาชนว่า “ฝั่งตรงข้าม” ข้าพเจ้า”
คำว่า “จงใจ” มีความหมายในลักษณะกว้างกว่า คำว่า “เจตนา”ในคดีอาญา และคดีนี้ไม่ใช่คดีอาญา แต่เป็นคดีรัฐธรรมนูญ ศาลตีความหมายลักษณะกว้าง โดยเฉพาะคำว่า “เอื้อประโยชน์”ยินยอมให้ใช้ตำแหน่งในการแสวงหาประโยชน์ ไม่ว่าในทางตรงหรือทางอ้อม เข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม ตามที่ระบุไว้ใน ข้อ 8 แห่งมาตรฐานจริยธรรมฯ 2561
ไม่ต่างจากคำว่า “ลูกจ้าง” ในคดีของนายสมัคร สุนทรเวช ศาลตีความตามพจนานุกรมฯ มิใช่ตีความความหมาย พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ
อาจถูกหยิบไปตีความได้ว่า ข้อความบทสนทนาทั้ง 2 ส่วน ตามคลิป เป็นการไม่รักษาเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของประเทศชาติ กระทบต่อความมั่นคงแห่งรัฐ มีพฤติการณ์รู้เห็น ยินยอมให้นายฮุน เซน ฝ่ายกัมพูชา ใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนเองแสวงหาประโยชน์ที่มิชอบ อันเป็นการกระทำที่ถือเอาประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าประโยชน์ประเทศชาติ เป็นการกระทำขัดกันของประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ ไม่ว่าทางตรงหรืออ้อม ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นการเอื้อประโยชน์กับกัมพูชา
อันอาจกระทบกระเทือนต่อความเชื่อศรัทธาของประชาชนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ขัดต่อมาตรฐานจริยธรรมฯ 2561 ข้อ 6, 7, 8,11,17,19,27 ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 219 บังคับใช้กับรัฐมนตรีด้วย ทำให้ขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) (5)
ส่วนที่ถามว่า หากเป็นการเจรจากันไม่เป็นทางการ มีผลในทางกฎหมายอย่างไร ดร.ณัฏฐ์ อธิบายว่า ต้องทำความเข้าใจว่า การพูดคุยกันส่วนตัว กับคำว่า “เจรจา” มีความหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะการเจรจามีในรูปแบบทางการหรือไม่เป็นทางการก็ได้ คู่เจรจาเป็นใคร เจรจากันเรื่องอะไร มีข้อต่อรอง และข้อตกลงกันอย่างไร เป็นข้อสำคัญ การเจรจากัน เป็นทางการหรือไม่ ไม่ใช่ข้อสาระสำคัญ เพราะนางสาวแพทองธารฯ ผู้ถูกร้อง ในคำชี้แจง ได้ยอมรับว่า ได้ “เจรจาจริง” แต่สู้ว่า เจรจาเชิงตั้งคำถาม เทคนิคเจรจา ที่นางสาวแพทองธารฯ ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย มีฐานะเป็นผู้นำรัฐบาล หัวหน้าฝ่ายบริหารประเทศ และหัวหน้าฝ่ายปกครอง มีรัฐธรรมนูญและกฎหมายรองรับสถานะตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่งอยู่ โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 219 ประกอบมาตรฐานจริยธรรมฯ 2561 บังคับถึงรัฐมนตรีด้วย ทำให้ผลทางกฎหมายผูกพัน โดยนายฮุน เซน เป็นประธานวุฒิสภาและนายฮุน มาเนต บุตรชาย เป็นนายกรัฐมนตรี
พูด ภาษาชาวบ้านง่ายๆ คือ หาก “ฮุนเซน” ไม่มีบทบาทหลักของประเทศกัมพูชา คุณแพทองธารฯนายกรัฐมนตรีของไทย จะไปเจรจากับพ่อของฮุนมาเนต นายกรัฐมนตรี เพื่ออะไร ทำไมไม่คุยกับฮุนมาเนต เพราะอำนาจการเมืองไทยกับกัมพูชา ต่างกันอย่างสิ้นเชิง อำนาจหลักและทิศทางของประเทศกัมพูชาอยู่ที่ “ฮุนเซน”แต่ผู้เดียว หากคุยกับพ่อ จบทุกอย่าง ดังเห็นได้จาก การบัญชาการรบไทย กัมพูชา ของฮุนเซน ที่ปล่อยผ่านโซเชียลออกมา
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี