‘ทนายทักษิณ’พลิกกฎหมาย อธิบายอำนาจของรัฐบาล‘ภูมิธรรม’ ต่อการทูลเกล้าฯ‘ยุบสภา’

‘ทนายทักษิณ’พลิกกฎหมาย อธิบายอำนาจของรัฐบาล‘ภูมิธรรม’ ต่อการทูลเกล้าฯ‘ยุบสภา’

วันพุธ ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2568, 14.40 น.

‘ทนายทักษิณ’พลิกกฎหมาย อธิบายสถานะ-อำนาจของรัฐบาล‘ภูมิธรรม’ ต่อการทูลเกล้าฯ‘ยุบสภา’

3 กันยายน 2568 นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวของนายทักษิณ ชินวัตร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...


“การถวายคำแนะนำให้พระมหากษัตริย์ยุบสภาผู้แทนราษฎร”

ผมได้พูดคุยกับท่าน ศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์  นักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญกฎหมายมหาชน  ท่านให้ข้อคิดเป็นความเห็นทางกฎหมายที่สำคัญ ที่นักกฎหมายทั้งหลายและคนในสังคมให้ความสนใจ ซึ่งเป็นอีกมุมมองทางกฎหมายที่น่าสนใจและมีเหตุมีผลตามหลักกฎหมาย ที่ท่านอาจารย์อธิบายให้เข้าใจง่าย เชื่อว่าคนไม่ใช่นักกฎหมายก็เข้าใจได้  ดังนี้ครับ

1. ประเด็นเกี่ยวกับสถานะและอำนาจของรัฐบาลนายภูมิธรรม

เมื่อนางสาวแพรทองธารพ้นจากตำแหน่งคณะรัฐมนตรี  ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ  แต่รัฐมนตรีทุกคนเว้นนางสาวแพรทองธาร  ต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 168 โดยมีผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี คือ นายภูมิธรรม  ซึ่งทำหน้าที่ "ตามตำแหน่งนายกรัฐมนตรี"  โดยที่มาตรา 168 ไม่ได้กำหนดข้อจำกัดการใช้อำนาจของคณะรัฐมนตรี ในขณะนี้ไว้

คณะรัฐมนตรี นายภูมิธรรมในขณะนี้ แม้จะเป็นคณะรัฐมนตรี ที่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปภายหลังนายกรัฐมนตรีต้องพ้นตำแหน่ง เพราะนายกรัฐมนตรีแพรทองธาร ขาดคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามตามคำวินิจฉัยศาลธรรมนูญ  แต่คณะรัฐมนตรีนายภูมิธรรม ก็มีอำนาจตามปกติ อำนาจของคณะรัฐมนตรี ที่ปฏิบัติหน้าที่ขณะนี้จะลดลงก็ต่อเมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรหรือสภาผู้แทนราษฎรครบวาระ  ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น    คณะรัฐมนตรีนายภูมิธรรมจะถูกจำกัดอำนาจ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 169 นอกจากนั้นในขณะนี้รัฐมนตรี ก็สามารถลาออกได้ตามที่ มาตรา 168 ได้บัญญัติไว้

2. ประเด็นการถวายคำแนะนำให้พระมหากษัตริย์ยุบสภาผู้แทนราษฎรนั้น

ขณะนี้มีความเห็นว่า  นายภูมิธรรมไม่อาจทำได้ เพราะเป็นเพียงรักษาการนายก ไม่ใช่คนที่สภาเลือกมา และมีประเพณีการปกครองห้ามนั้น   ผมเห็นว่า นายภูมิธรรมซึ่งปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีในขณะนี้  ย่อมมีอำนาจตามตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทุกประการ ด้วยเหตุที่ไม่มีบทบัญญัติใดตามรัฐธรรมนูญกำหนดข้อห้ามหรือจำกัดอำนาจของ "ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี" ไว้  

ผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี  จึงมีอำนาจตามตำแหน่งในอันที่จะถวายคำแนะนำให้พระมหากษัตริย์ยุบสภาผู้แทนราษฎรได้  ไม่เกี่ยวกับการได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ เพราะการยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นการใช้อำนาจของประมุขของรัฐ  คือ พระมหากษัตริย์ตามการถวายคำแนะนำ และมีฐานะเป็นคำสั่งในทางรัฐธรรมนูญให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดพร้อมกับการสิ้นสุดลงของคณะรัฐมนตรี โดยคณะรัฐมนตรี จะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปโดยมีอำนาจจำกัดลงตามมาตรา 169  แห่งรัฐธรรมนูญ โดยเหตุที่ไม่มีข้อจำกัดตามกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรในการถวายคำแนะนำให้พระมหากษัตริย์ยุบสภาเช่นนี้ จึงมีผู้กล่าวอ้างประเพณีการปกครองมาเป็นข้อจำกัด ซึ่งเมื่อพิจารณาโดยละเอียดแล้วเห็นว่าไม่มีประเพณีเช่นว่านั้น เนื่องจากไม่เคยเกิดข้อถกเถียงเช่นนี้และไม่มีทางปฏิบัติในเรื่องนี้มาก่อน ประเพณีที่กล่าวอ้างจึงเป็นประเพณีในจินตนาการเท่านั้น

อันที่จริงแล้วการตีความกฎหมายรัฐธรรมนูญไปตามปกติธรรมดาในเรื่องนี้ เป็นหนทางในการแก้ปัญหาประการหนึ่ง เพราะอาจเกิดเหตุไม่คาดหมายขึ้นได้ เช่น แคนดิเดทนายกที่เหลืออยู่เกิดขาดคุณสมบัติทุกคน  ถ้าจะอ้างว่า "ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี" จะต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนสภาครบวาระโดยไม่อาจถวายคำแนะนำให้ยุบสภาได้ ดูจะเป็นการใช้และการตีความกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ประหลาด

การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นการคืนอำนาจการตัดสินใจให้ปวงชนชาวไทย ไม่ควรถูกจำกัดโดยวิธีการใช้และการตีความกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ก่อให้เกิดผลประหลาดหรือเกิดทางตันเช่นนี้

3. ประเด็นที่มีการข่มขู่ว่า ถ้าถวายคำแนะนำฯ จะแจ้งความดำเนินคดีหรือจะเอาเรื่องไปร้องศาลรัฐธรรมนูญนั้น

ก่อนจะดำเนินการดังกล่าวผู้ที่จะดำเนินการพึงเข้าใจว่า ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนและมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว  การยุบสภา ก็เป็นอันเกิดขึ้นสมบูรณ์   ทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรย่อมสิ้นสุดลง  และคณะกรรมการเลือกตั้งต้องประกาศวันเลือกตั้งภายในห้าวัน

ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นการกระทำทางการเมือง  ที่เรียกกันว่า "การกระทำทางรัฐบาล" หรือ"การกระทำของรัฐบาล"    ในระบบกฎหมายไทยการยุบสภาผู้แทนราษฎร  แม้จะกระทำโดยพระราชกฤษฎีกาก็ตาม ก็ถือว่าเป็น "การกระทำทางรัฐบาล"  อันมีลักษณะเป็นการกระทำทางการเมือง ซึ่งปลอดจากการตรวจสอบทางตุลาการ ร่องรอยของการยอมรับหลักเรื่องนี้ปรากฏในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 47(1) ที่กล่าวถึง การกระทำของรัฐบาล ซึ่งก็คือการกระทำทางรัฐบาลในความหมายที่ฝ่ายวิชาการใช้

ด้วยเหตุนี้ความกังวลที่ว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะเข้ามาสั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือถึงกระทั่งจะสั่งให้การยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะเป็นผลให้คำสั่งของประมุขของรัฐในทางรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ  จึงไม่อาจเป็นไปได้ตามสภาวการณ์ของระบบกฎหมายไทยในขณะนี้

 ส่วนที่มีผู้เห็นว่า ในอดีตศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยให้การเลือกตั้งภายหลังการยุบสภาเป็นโมฆะมาแล้วนั้น เป็นคนละเรื่องกับประเด็นการสั่งให้การยุบสภาเป็นโมฆะ  กรณีที่หากมีการถวายคำแนะนำ พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยุบสภา  และมีการลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ  การยุบสภาย่อมเกิดขึ้น กรณีนี้เป็นการกระทำที่ไม่อาจหวนคืนได้  จะต้องเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งทั่วไป

#ขอขอบคุณท่านอาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ เป็นอย่างสูงที่ให้ความรู้ทางความคิดเห็นในกฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายมหาชนที่ประเทศไทยยังแกว่งอย่างมีนัยยะสำคัญ.

วิญญัติ ชาติมนตรี

3 กันยายน 2568

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top