และแล้ววันที่ 9 กันยายน กลายเป็นอีกวันประวัติศาสตร์การเมืองไทยและจุดเปลี่ยนทางการเมือง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งบังคับโทษจำคุก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 1 ปี นับจากวันที่ 31 สิงหาคม 2566ซึ่งมีการพระราชทานอภัยลดโทษลงมา โดยไม่ถือว่าการรักษาตัวอยู่ที่ชั้น14 โรงพยาบาลตำรวจ เป็นระยะเวลาในการคุมขัง
คำสั่งศาลระบุตอนหนึ่งว่าการที่นายทักษิณได้พักอยู่ในห้องพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2566 ถึง 18 กุมภาพันธ์ 2567 โดยไม่ถูกนำตัวกลับไปคุมขังอีก ฟังได้ว่าการบังคับโทษจำคุกแก่จำเลยมิชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้ง จำเลยทราบและรู้ข้อเท็จจริงว่าตนเองไม่ได้ป่วยด้วยอาการฉุกเฉินแต่เป็นโรคเรื้อรังที่สามารถรักษาภายนอกรพ.ได้
เมื่อศาลคำสั่งบังคับโทษของทักษิณให้กลับเข้าจำคุก 1 ปี เพราะการบังคับโทษ ไม่เป็นไปตามคำพิพากษา ซึ่งนายทักษิณต้องคำพิพากษาลงโทษจำคุกรวม 8 ปี จาก 3 คดีทุจริต หลังนายทักษิณกลับมาประเทศไทย 22สิงหาคม 2566 มีการพระราชทานอภัยลดโทษลงมาเหลือ 1 ปี แต่ยังไม่นอนคุกแม้แต่วันเดียว หลังศาลมีคำสั่งกรมราชทัณฑ์นำตัวนายทักษิณเข้าในเรือนจำทันที
ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่นายทักษิณซึ่งเป็นอดีตนายกฯคนแรกถูกจำคุกในเรือนจำ ซึ่งนายทักษิณ ถือเป็น“ผู้นำจิตวิญญาณ”ของพรรคเพื่อไทยมาตลอด
แน่นอนเมื่อศาลมีคำสั่งครั้งนี้ ย่อมกระทบพรรคเพื่อไทย ยิ่งถูกตอกย้ำว่า เป็นพรรคที่ตั้งอยู่บนเงาของผู้นำ ที่มีคดีทุจริต ในเชิงสัญลักษณ์ยังไม่สามารถลบข้อกังขาสังคมได้ เพราะทักษิณพักรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ถูกโจมตีมาตลอดว่า‘ป่วยทิพย์’เป็น“การใช้สิทธิพิเศษเหนือกฎหมาย”
บทบาทฝ่ายค้าน พลังฮึดสู้หรือถดถอย
อีกทั้งสถานการณ์การเมืองเปลี่ยน พรรคเพื่อไทยกลับเป็นฝ่ายค้าน หลัง แพทองธาร ชินวัตร หลุดจากเก้าอี้นายกฯส่งผลให้พรรคถดถอยและสูญเสียฐานเสียงสนับสนุน พรรคต้องรีบปรับตัวจัดทัพเพื่อรองรับการเมืองในอนาคตคือการเลือกตั้งสมัยหน้า
ความท้าทาย ในการเป็นฝ่ายค้าน จำเป็นต้องเร่งเครื่องใช้กลยุทธ์ในการตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มแข็ง เข้มข้น สร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ว่าเป็น“พรรคเพื่อประชาชน” ไม่ใช่“พรรคเพื่อทักษิณ”
ความจริง แต่ระบบของพรรค และแกนนำพรรคหลายคน ยังไม่หลุดจากการเมืองแบบเครือญาติและผลประโยชน์ ทำให้พรรคถูกตั้งคำถามถึง“ความจริงใจ”และ“ความศรัทธา”หลังมีอำนาจบริหารประเทศกลับดึงเฉพาะคนหน้าใหม่ๆและคนใกล้ตัวเท่านั้น ทำให้ส.ส.หลายสมัยในพรรค กลับไม่ได้รับโอกาสและบทบาทอย่างแท้จริง
อนาคต พรรคแตกหรือเดินหน้าสู้ต่อไป?
สิ่งที่น่าจับตา คือความเป็นเอกภาพภายในพรรคเพื่อไทย แต่จากที่พรรคเผชิญ 2 เหตุการณ์ใหญ่ ในห้วงะเวลาสั้นๆ อย่างรวดเร็ว โดยวันที่ 29 สิงหาคม 2568 แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยผิดจริยธรรมร้ายแรงกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จ ฮุน เซน ต้องพ้นจากตำแหน่งเก้าอี้นายกฯจะต้องผล ครม.หลุดทั้งคณะ จนทำให้อำนาจเปลี่ยนมือให้พรรคภูมิใจไทย แล้วสภาเลือก นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกฯคนที่ 32
และวันที่ 9 กันยายน 2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งบังคับโทษถึงที่สุดของทักษิณ ชินวัตร ให้กลับเข้าจำคุก 1ปี ก่อนกรมราชทัณฑ์นำตัวเข้าเรือนจำทันทีเพื่อบังคับโทษต่อไป
เป็น2เหตุการณ์ยิ่งตอกย้ำและกระทบขวัญกำลังใจต่อพรรคเพื่อไทยรวมถึงมวลชนคนเสื้อแดงอย่างแรง
ปัจจัยหลักส่งผลให้พรรคแตกในอนาคต
หากผ่าในพรรคแล้ว จะมี ‘กลุ่มการเมืองรุ่นเก่า’สายบ้านจันทร์ส่องหล้า ที่ยังภักดีต่อทักษิณ ‘กลุ่มการเมืองรุ่นใหม่’ที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์แยกตัวออกจากเงาของทักษิณ เพื่อความอยู่รอดระยะยาว
แรงกดดันจากภายนอก พรรคคู่แข่งอย่างพรรคภูมิใจไทย พรรคก้าวไกล หรือ แม้แต่พรรคพลังประชารัฐ ที่มีอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย และฐานเสียงท้องถิ่น กระโดดหนีย้ายพรรคไปเรื่อยๆ หากพรรคเพื่อไทยไม่สร้างความแตกต่างที่ชัดเจน ก็อาจกลายเป็น“พรรคที่รอวันถอยหลัง”
ตลอดกว่า20ปี ทั้งแต่พรรคไทยรักไทย จนเป็นพรรคพลังประชาชน จนมาถึงพรรคเพื่อไทยในสายตาประชาชน ฐานเสียงเดิมที่มีอยู่ในภาคเหนือ ภาคอีสาน ได้เริ่มสั่นคลอน เพราะฐานคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไปสนับสนุนพรรคก้าวไกล นอกจากนั้นคนชั้นกลาง ก็มองพรรคเพื่อไทยยังเป็นพรรคที่ผูกติดกับครอบครัว‘ชินวัตร’เกินไปซึ่งเป็นความจริงที่มีการสืบทอดอำนาจมาอย่างต่อเนื่อง
ถึงวันนี้ประชาชนทั่วไปก็ยังตั้งคำถามว่า“เพื่อไทย ยังเหลืออะไรให้ยึดเหนี่ยว”เมื่อทักษิณเอง ก็ยังไม่สามารถกลับสู่เวทีการเมืองอย่างเต็มตัว และวันเวลาผ่านไปและเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากๆ ดังนั้น แนวคิดแบบทักษิณยังใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แทบจะเรียกว่า‘ทักษิณสิ้นมนต์ขลัง’อย่างแท้จริง ตกกระแสตกยุคไปแล้ว
ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)นัดสุดท้ายของรัฐบาลเพื่อไทยเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 9 กันยายนนายภูมิธรรม เวชยชัย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯนำ ครม.ลงมาทานอาหารมื้อเที่ยงกับสื่อทำเนียบฯโดยได้กล่าวช่วงหนึ่งว่า รู้สึกเสียดายที่อาจจะเร็วไปนิดนึง ที่จะต้องจากกันไปแต่ไม่เป็นไร พวกเราเริ่มที่จะเก็บของเพราะนายกฯใกล้ที่จะจัดตั้งรัฐบาลใกล้เสร็จแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาของนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยไม่ว่าฝ่ายค้านหรือรัฐบาล เรามีหน้าที่ เมื่อเรามีปัญหาเรื่องการฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาล ก็ต้องกลับไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ส่วนรัฐมนตรี ที่ยังเป็นสส.ก็กลับไปทำหน้าที่ ส่วนตนไม่ได้เป็น สส.ก็กลับไปทำงานกับพรรคเพื่อไทย
“เมื่อได้พูดคุยกันทั้งหมดแล้ว พวกเราพร้อมที่จะทำพรรคต่อไป โดยยังยึดมั่นในอุดมการณ์ พรรคเพื่อไทยยังมีต้นทุนอยู่ อย่างน้อยประชาชน 10,000,000 คน ยังรักและผูกพัน เราจึงมีหน้าที่ที่จะต้องทำงานต่อไปและคนในพรรคเพื่อไทย เข้มแข็ง พร้อมที่จะสู้ ส่วนใครจะทำอะไรต่อไป ถือว่าเป็นเอกสิทธิ์”นายภูมิธรรม ย้ำ
ฤาเพื่อไทย จะกลายผึ้งแตกรังหรือรังใหม่?
สุดท้ายแล้ว พรรคเพื่อไทย กำลังเผชิญจุดหัวเลี้ยวหัวต่อครั้งใหญ่ หากยังยึดติดกับเงาทักษิณ พรรคอาจแตกเป็นเสี่ยงๆ เหมือน ผึ้งแตกรัง เมื่อแรงดึงดูดหมดไป พลังเงินซื้อใจไม่ได้แล้ว แต่การเมืองโมเดลแบบบ้านใหญ่ พัฒนายกจังหวัด มีความแข็งแกร่ง เป็นปึกแผ่นมากในการทำงานการเมืองยุคใหม่
แต่หากสามารถสร้างผู้นำใหม่ ที่มีความน่าเชื่อถือ ปรับบทบาทฝ่ายค้าน ให้เข้มแข็งและยืนบนขาของตัวเองได้ พรรคอาจสร้าง“รังใหม่”ที่แข็งแรงกว่าเดิม ซึ่งพิเคราะห์แล้วโอกาสที่ผลักดัน คนรุ่นใหม่ หรือเลือดใหม่ จะต้องใช้เวลา เพราะจะสร้างให้เกิดความศรัทธากับประชาชนไม่ใช่ทำได้ง่าย
อนาคตพรรคเพื่อไทย จะแตกมีโอกาสสูง พรรคเพื่อไทยยังไม่ก้าวข้ามระหว่าง“จะเป็นพรรคของครอบครัว”หรือ“จะเป็นพรรคของประชาชนจริงๆ”
หากอยู่สภาพเช่นนี้ สนามเลือกตั้งใหญ่ในอนาคต หากมีการยุบสภาหลังครบ 4 เดือน วันนั้นพรรคเพื่อไทยจะแตกครั้งใหญ่ อีกรอบ แล้วจะเหลือ ส.ส.อยู่อีกเท่าไหร่ แล้วเอาอะไรไปหาเสียง เพราะบรรดานักการเมืองหรือนักเลือกตั้งย่อมจะรู้ทิศทางดีว่า จะไปอยู่พรรคไหน ถึงกระแสดีมีอนาคตจะได้กลับมามีเสียงข้างมาก ก็ตัดสินใจเลือกย้ายไปสังกัดแน่นอน สุดท้ายก็วัดใจอยู่ที่ประชาชนผู้มีอำนาจในการเลือก จะเป็นผู้ตัดสินในวันเลือกตั้งเท่านั้น
- ทีมข่าวแนวหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี