แนวหน้าวิเคราะห์ : คนไทยค้านเปิดด่าน มอง‘ความมั่นคง’สำคัญกว่า‘เศรษฐกิจ’

แนวหน้าวิเคราะห์ : คนไทยค้านเปิดด่าน มอง‘ความมั่นคง’สำคัญกว่า‘เศรษฐกิจ’

วันจันทร์ ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2568, 07.00 น.

เป็นปัญหาใหญ่ที่ต่อเนื่องมาจากรัฐบาลที่แล้วมาสู่รัฐบาลปัจจุบัน สำหรับเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา

ซึ่งรัฐบาลชุดที่นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เสียคะแนนนิยมไปอย่างมหาศาล จากกรณีคลิปเสียงคุยกับ “อังเคิล” ที่ส่งผลให้การบริหารราชการแผ่นดินในเรื่องเกี่ยวกับกัมพูชา ซึ่งก็มาท่าทีสนับสนุนให้เปิดด่าน จนเกิดคำถามจากประชาชนว่า เป็นการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ประเทศชาติจริงหรือไม่


กระทั่งมาถึงยุคที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ปัญหานี้ก็ยังรอการแก้ไข

เกิดเป็นประเด็นใหญ่ขึ้นมา  เมื่อ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนใหม่ โดนถล่มยับ หลังจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือจีบีซี สมัยพิเศษ ที่จังหวัดเกาะกง ของกัมพูชา เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ที่มีกระแสข่าวว่า อาจจะมี “เปิดด่าน” ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเริ่มจากการขนส่งสินค้า และจะเริ่มเปิดในพื้นที่ที่เรียกว่าระดับสาม (พื้นที่ที่ไม่มีความตึงเครียด คือแถวจันทบุรี และตราด) โดยยังไม่มีการพิจารณาอนุญาตให้บุคคลข้ามแดน อ้างว่าเป็นเพราะแรงกดดันมาจากประเทศที่ 3 ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการส่งออกสินค้าผ่านประเทศไทยไม่ได้ ทำให้ต้องมีการชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าวในวันถัดมา

พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม ชี้แจงว่า การผ่อนปรนการผ่านแดน ยังไม่มีการเปิดด่านในขณะนี้ ซึ่งมาตรการดังกล่าว เป็นเพียงการหารือเชิงหลักการ โดยหากมีการดำเนินการในอนาคต จะผ่อนปรนเฉพาะรถขนส่งสินค้า ไม่ใช่บุคคล และต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดเรื่องจำนวนเที่ยวหรือรายกรณี ขึ้นอยู่กับระดับความพร้อมและความตึงเครียดในพื้นที่ พร้อมเปิดเผยว่า พล.อ.ณัฐพล ได้ย้ำว่า “การปกป้องอธิปไตยของชาติต้องเป็นอันดับแรก ควบคู่ไปกับการดูแลปากท้องประชาชนและผู้ประกอบการในประเทศ”

ขณะที่ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 บรรยายพิเศษ หัวข้อ “รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เพื่อการรักษาอธิปไตยของชาติ”ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา โดยช่วงหนึ่ง ได้มีประชาชนรายสอบถาม ความคิดเห็นเรื่องข้อตกลงของจีบีซี ในการพิจารณาเปิดด่านชายแดน ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 2 ก็ตอบอย่างชัดเจนว่า เป็นคำถามที่คนไทยอยากทราบ ตนมองว่าคนไทยทำไมต้องมาเถียงเรื่องเปิด-ปิดด่าน เพราะเรื่องนี้สำคัญ เพราะการเปิด-ปิดด่านส่งผลต่อเศรษฐกิจของเขมร เพราะทรัพยากรสินค้าส่วนใหญ่มาจากประเทศไทย ซึ่งการปิดด่านทำให้คนไทยไม่สามารถไปเล่นการพนันได้ และทำให้คนข้ามไปเป็นสแกมเมอร์ไม่ได้

“ฝั่งนั้นมีทั้งบ่อนคาสิโน และที่หลอกลวงทางโซเชียลมีเดียตลอดแนวชายแดน สินค้าบางส่วน เช่นปูนซีเมนต์ น้ำมัน จะกลับมาทำร้ายทหารไทย การทำให้เขาไม่เดือดร้อนรบกับประเทศไทยก็อยู่ได้ เพราะเขามีกินตลอด นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องปิดด่าน มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งพูดว่าผลประโยชน์ของชาติต้องมาก่อนประโยชน์ส่วนตน พี่น้องที่ค้าขายกระทบ ก็ต้องยอมรับว่ากระทบ แต่พี่น้องที่ค้าขายบางคนให้สัมภาษณ์ว่าบางท่านยอมให้ปิดด่านขอให้ประเทศไทยรบชนะเท่านั้น การเปิดด่านทำให้เขาเข้มแข็ง น้ำมันและปูนซีเมนต์ รวมถึงเครื่องอุปโภค บริโภคก็จะเข้าไป ซึ่งมาจากประเทศไทยทั้งนั้น แม้กระทั่งเรื่องการเปิดด่านมีประชาชน ถูกมอมเมาจากบ่อนการพนัน หมดเนื้อหมดตัว เป็นหนี้สิน อันนี้ก็มาจากเรื่องการเปิดด่านจึงไม่รู้ว่าเป็นประโยชน์ของใคร”

ทางด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ก็ได้พูดถึงประเด็นนี้ว่า ทำไมข่าวออกไปอย่างนั้นก็ไม่รู้ ไปบิดเบือน เท่าที่ตนดู พล.อ.ณัฐพล ยังไม่ได้พูดอะไรชัดเจนขนาดนั้น ต้องคำนึงถึงประชาชนคนไทยเป็นหลักก่อนอยู่แล้ว ทั้งนี้ ขอให้ตนเข้าไปรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการก่อน ตอนนี้เรายังไม่สามารถให้นโยบายอะไรได้ และการกระทำต่างๆ ยังถือว่าอยู่ภายใต้รัฐบาลปัจจุบันอยู่ ไม่ใช่รัฐบาลของตน เท่าที่ทราบไม่ได้อยู่ดีๆ จะไปเปิดด่านได้เลย เพราะต้องมีการบรรลุข้อตกลงอะไรอีกเยอะแยะเพื่อปฏิบัติ ซึ่งต้องรอคณะรัฐบาลของตนเข้าปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการก่อน

ถัดมา นายอนุทิน ให้สัมภาษณ์ว่า เรายังไม่เปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา เรารอฟังเสียงพี่น้องประชาชนอยู่แล้ว ซึ่งคำว่าเปิดด่านจะต้องมีการทำข้อตกลงต่างๆ มากมาย ทั้งการเจรจา และทางการทหาร โดยจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยก่อน คือ ความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน และความปลอดภัยของประเทศ ซึ่งจะต้องไม่มีการยิงกัน หรือมีอาวุธมาจ่อกัน เมื่อเราเข้าไปบริหารประเทศแล้ว ตนเองก็จะให้ข้อสั่งการหรือนโยบายให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลชุดใหม่ได้ไปดำเนินการ ทั้งการถอนอาวุธ และกับระเบิด เพื่อการสร้างความมั่นใจว่าเกิดความปลอดภัยกับผู้คนทั้งสองประเทศ ฉะนั้นกว่าเราจะไปถึงจุดนั้นยังอีกไกล แต่เราก็ต้องไปถึงจุดนั้น

ทีนี้มาดูความคิดเห็นของคนไทยกันบ้าง โดย ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งสำนักวิจัยซูเปอร์โพล มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ เปิดเผยรายงานผลสำรวจเรื่อง เสียงประชาชนต่อการเปิดด่านไทย-กัมพูชา จากกลุ่มตัวอย่างทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ  ผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนเห็นข้อดีของการเปิดด่านในหลายมิติ แต่ตัวเลขส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 50 ทั้งหมด

ลำดับแรก การกระตุ้นเศรษฐกิจชายแดน ได้รับการยอมรับมากที่สุดที่ร้อยละ 38.9 รองลงมาคือ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ร้อยละ 33.4 และ การเสริมสร้างสันติภาพชายแดน ร้อยละ 32.8 ขณะที่ แรงงานเข้าระบบถูกกฎหมาย ได้ร้อยละ 24.5 และข้อดีอื่น ๆ เช่น ความสัมพันธ์ในครอบครัวไทย-กัมพูชา การศึกษา หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ได้เพียงร้อยละ 18.2 เท่านั้น ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ประชาชนมองเห็นผลเชิงบวกในหลายมิติ แต่ยังอยู่ในระดับ “ค่อนข้างต่ำ” และไม่ได้มีน้ำหนักมากพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นต่อการเปิดด่านได้อย่างชัดเจน

ผลสำรวจแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ข้อเสียมีน้ำหนักสูงกว่าข้อดีในแทบทุกด้าน โดย ร้อยละ 60.7 ของประชาชนระบุว่า การเปิดด่านจะ “ทำร้ายจิตใจคนไทย ทำลายศักดิ์ศรี” เพราะยังไม่พร้อมคืนดีหรือให้อภัยในประเด็นทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์สองประเทศ ด้านเศรษฐกิจ ร้อยละ 57.8 กังวลว่าสินค้าราคาถูกจากกัมพูชาจะทะลักเข้าไทย ทำให้ผู้ประกอบการไทยเสียเปรียบและเงินทุนไทยไหลออก

ในมิติความมั่นคง ร้อยละ 56.9 ห่วงปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น ยาเสพติด การค้ามนุษย์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ไทยเคยเผชิญมาแล้ว ขณะที่ ร้อยละ 48.1 แสดงความกังวลเรื่องโรคระบาดและสุขภาพประชาชน หากระบบสาธารณสุขชายแดนไม่พร้อม และร้อยละ 27.4 ระบุข้อเสียอื่น ๆ เช่น ภาระที่เพิ่มขึ้นต่อหน่วยงานรัฐ แรงงานผิดกฎหมาย และการลักลอบเข้าเมือง

ผศ.ดร.นพดล ยังได้ชี้ให้เห็นถึง การเปรียบเทียบโดยตรงระหว่างข้อดีและข้อเสียสะท้อนว่า ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 58.9 เห็นว่าข้อเสียมีมากกว่า ขณะที่เพียง ร้อยละ 33.4 เชื่อว่าข้อดีมากกว่า และอีก ร้อยละ 7.7 ไม่แน่ใจ ตัวเลขนี้ยืนยันชัดเจนว่า ภาพรวมของสังคมไทยมองว่าการเปิดด่านยังมีความเสี่ยงสูงกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับ

ที่น่าสนใจคือ ผลโพลย้ำให้เห็นถึงลำดับความสำคัญที่ประชาชนให้ความสำคัญ เปรียบเทียบให้เห็นระหว่าง ความมั่นคงของชาติ กับ การกระตุ้นเศรษฐกิจ พบว่า ร้อยละ 75.4 เห็นว่าความมั่นคงของชาติต้องมาก่อนการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีเพียงร้อยละ 24.6 ที่เห็นว่าเศรษฐกิจควรมาก่อน ตัวเลขนี้สะท้อนชัดว่า แม้เศรษฐกิจจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่ประชาชนไทยให้ความสำคัญกับ “ความมั่นคงและศักดิ์ศรีของชาติ” เป็นลำดับแรก นอกจากนี้ ร้อยละ 77.1 ระบุว่ามีความเชื่อมั่นน้อยถึงไม่เชื่อมั่นเลยต่อความจริงใจของผู้นำกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาชายแดน ขณะที่มีเพียง ร้อยละ 12.1 ที่เชื่อมั่นค่อนข้างมากถึงมากที่สุด

ผศ.ดร.นพดล กล่าวถึงภาพรวมของผลสำรวจดังกล่าวว่า ประชาชนไทยมอง “ข้อเสียของการเปิดด่านไทย-กัมพูชามีมากกว่าข้อดี” ทั้งในมิติความรู้สึก (ศักดิ์ศรีและจิตใจคนไทย 60.7%) มิติทางเศรษฐกิจ (57.8%) มิติความมั่นคง (56.9%) และมิติด้านสาธารณสุข (48.1%) เมื่อเปรียบเทียบโดยตรง ประชาชน เกินครึ่งหนึ่ง (58.9%) ตัดสินชัดเจนว่าข้อเสียมากกว่า อีกทั้งยังยืนยันว่าความมั่นคงของชาติต้องมาก่อน (75.4%) และสะท้อนความไม่เชื่อมั่นในผู้นำกัมพูชาอย่างชัดเจน (77.1% ไม่เชื่อมั่น)

ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา แสดงให้เห็นว่า คนไทยยังไม่พร้อมที่จะให้มีการเปิดด่าน เนื่องจากไม่ไว้วางใจอีกฝ่าย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ดังนั้น การดำเนินงานของรัฐบาลชุดนี้จึงจำเป็นที่จะต้องมีความเด็ดขาด ชัดเจน แก้ปัญหาได้จริงและแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน

- ทีมข่าวแนวหน้า

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top