ผบ.เหล่าทัพกร้าว ปิดด่านชายแดนไทย-เขมรยาว จนกว่ากัมพูชาเลิกเป็นภัยคุกคาม

ผบ.เหล่าทัพกร้าว ปิดด่านชายแดนไทย-เขมรยาว จนกว่ากัมพูชาเลิกเป็นภัยคุกคาม

วันเสาร์ ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ผบ.เหล่าทัพกร้าว

ปิดด่านชายแดนไทย-เขมรยาว

จนกว่ากัมพูชาเลิกเป็นภัยคุกคาม

 

ผู้ว่าฯสระแก้ว ส่งหนังสือประท้วง ผู้ว่าฯบันเตียเมียนเจยจี้จัดการคนเขมร หยุดป่วนอธิปไตยไทย ห้ามนำคณะ IOT เข้าเขตไทยโดยพลการ ด้านกองทัพไทยเดินหน้า ยกระดับความมั่นคง ติดตั้งรั้วอิเล็กทรอนิกส์ ในพื้นที่ชายแดนไทย-เขมร ที่คลองลึก จ.สระแก้ว จ่อขยายเพิ่ม 2-3 จุด ผบ.ทสส.นำประชุม ผบ.เหล่าทัพ เห็นชอบปิดด่าน จนกว่าเขมรไม่เป็นภัยคุกคามต่อไทย เดินหน้าสร้างรั้ว ลั่นจำเป็นต่อการป้องกันประเทศจากภัยคุกคาม ยันต้องป้องกันตัวเองจากผู้ที่กระทำเป็นปรปักษ์-สอดแนม-โจมตี พร้อมส่งต่อภารกิจ ‘ปิด-สร้าง-สู้’ ชายแดนไทย-เขมร ให้ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่ พร้อมส่งต่อ ‘รัฐบาลใหม่ “อนุทิน” เผย ผู้นำมาเลเซีย ต่อสาย เชิญ ร่วมประชุม สุดยอดผู้นำอาเซียน ที่มาเลย์ ลั่น ไม่มีใครแทรกแซงอธิปไตยของไทยได้

เมื่อวันที่ 19 กันยายน ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวจากจ.สระแก้วว่า นายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการสระแก้ว ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงผู้ว่าราชการบ็อนเตียย์เมียนเจ็ย ประท้วงเป็นทางการ ต่อการกระทำที่ผิดกฎหมายและไม่เป็นมิตรของพลเรือนกัมพูชา และการที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายกัมพูชาละเลย ไม่ห้ามปราม การกระทำดังกล่าว มีรายละเอียดดังนี้


ผวจ.สระแก้วส่งหนังสือประท้วงเขมร

1.เหตุการณ์เมื่อวันที่ 16 กันยายน พลเรือนกัมพูชาเข้ามาในเขตแดนไทย พื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ต.โคกสูง จ.สระแก้ว อยู่นอกเขตพิพาท เป็นอธิปไตยของไทยชัดเจน โดยได้พยายามรื้อถอนรั้วลวดหนามที่ฝ่ายไทยวางป้องกันตัวเอง พร้อมใช้ไม้เป็นอาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ไทย พร้อมลักทรัพย์สินทางราชการไทย ทั้งนี้ มีทหารกัมพูชาอยู่ในพื้นที่ แต่ไม่ห้ามปราม พลเรือนของตนเอง

2.เหตุการณ์17 กันยายน พลเรือนกัมพูชาจำนวนสองร้อยคน บุกรุกเข้ามาพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว รื้อถอน รั้วลวดหนามของฝ่ายไทย พร้อมใช้ไม้ ท่อนเหล็ก ก้อนหิน ทำร้ายเจ้าหน้าที่ไทยที่เข้าไปห้ามปราม ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ไทยได้รับบาดเจ็บหลายราย ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องใช้สิทธิ์ ป้องกันตัวเองตามความเหมาะสม แม้แจ้งให้ทหารกัมพูชา เข้าห้ามปรามประชาชนของตัวเองแล้ว แต่ไม่มีการดำเนินการใดๆ

3. การกระทำของผู้ว่าราชการบ็อนเตียย์เมียนเจ็ย และคณะผู้สังเกตการณ์ (IOT) ด้านกัมพูชา เข้าพื้นที่อธิปไตยของไทย ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้าให้ฝ่ายไทยรับทราบ การกระทำดังกล่าว เราเป็นการละเมิดเงื่อนไข การปฏิบัติคณะIOT ซึ่งกำหนดชัดเจนว่า แต่ละฝ่ายต้องไม่เข้าสู่ดินแดนของประเทศคู่กรณี อีกทั้ง ยังมีการแทรกแซง ปัญหาชายแดนที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกลไก คณะกรรมาธิการ เขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (GBC)

จี้ยุติละเมิดอธิปไตย-กม.อาญาไทย

จังหวัดสระแก้ว เห็นว่าการกระทำดังกล่าว เป็นการละเมิดอธิปไตยของไทยอย่างร้ายแรง ฝ่าฝืนกฎหมายอาญาของไทย การไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง กลไกทวีภาคี ละเมิดวัตถุประสงค์ IOTจังหวัดสระแก้วจึงขอเรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินการดังต่อไปนี้

1. ยุติการกระทำที่ผิดกฎหมายของพลเรือนกัมพูชาในดินแดนไทยทันที 2. ให้ทหารกัมพูชา( ภูมิภาคทหารที่5) ควบคุมพลเรือนของตนไม่ให้ละเมิดกฎหมายไทย 3.งดเว้นการส่งเจ้าหน้าที่หรือคณะIOT เข้ามาในดินแดนไทยโดยพลการ 4. ความรู้รบกลไก JBC และกลไกคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) ตามที่ได้ตกลงร่วมกัน ทั้งนี้ จ.สระแก้วขอสงวนสิทธิ์ป้องกันอธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชนไทย ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ โดยยังคงยืนยันเจตนารมณ์ที่จะธำรงรักษาสันติ เสถียรภาพ และความเป็นเอกภาพของอาเซียน

ขณะที่ความเคลื่อนไหวบริเวณพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัด สระแก้ว จากตรวจสอบพบความเคลื่อนไหว ประชาชน และมวลชนประมาณ 150 คน ทยอยเดินทางเข้ามาในพื้นที่ และเขมรได้สร้างเพิงที่พักพิงเพิ่มเติมหลายจุด เป็นการร่วมมือกับทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ในการสร้าง

ดีเดย์ตั้งรั้วอิเล็กทรอนิกส์ชายแดนสระแก้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกัน กองทัพไทยเริ่มโครงการติดตั้ง “รั้วอิเล็กทรอนิกส์” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรักษาความปลอดภัยและความมั่นคงตามแนวชายแดน โดยติดตั้งเสากล้องวงจรปิด (CCTV) ต้นแรกบริเวณหลักเขตชายแดนที่ 50 ด้านหลังด่านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังบูรพา

สำหรับการติดตั้งเสา CCTV ต้นแรก ประกอบด้วยกล้อง 3 ตัว ได้แก่ กล้องแบบ PTZ (Pan-Tilt-Zoom) 1 ตัว และกล้องแบบ Fix อีก 2 ตัว นอกจากนี้ ยังติดตั้งระบบไฟส่องสว่างและระบบโซลาร์เซลล์เพื่อรองรับการทำงานอย่างต่อเนื่อง และติดตั้งการ์ดบันทึกข้อมูลขนาด 512GB ซึ่งสามารถบันทึกภาพได้นานถึง 30 วัน ทั้งนี้ การติดตั้งเสา CCTV ต้นแรกนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของโครงการรั้วอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะช่วยให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังป้องกันภัยคุกคามได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เสริมสร้างความมั่นคงให้ประเทศระยะยาว

เริ่มต้นแรกที่ด่านคลองลึกรวม3จุด

ที่สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดกล่าวถึงกรณีติดตั้งรั้วอิเล็กทรอนิกส์ชายแดนไทย-กัมพูชา ต้นแรกบริเวณด่านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้วว่า การสร้างรั้วบริเวณพื้นที่ชายแดนต้องระมัดระวัง เพราะเกี่ยวข้องกับเส้นเขตแดน ดังนั้น ในบางพื้นที่จึงไม่สามารถสร้างเป็นรั้วลวดหนามได้ ส่วนจุดที่สร้างเป็นรั้วอิเล็กทรอนิกส์คือจุดที่มีหลักเขตเห็นตรงกัน ซึ่งจะมีการสร้างอีกประมาณ 2-3 หลักบริเวณด่านอรัญประเทศ พร้อมระบุว่า อย่าใช้คำว่าปักปันเสร็จแล้ว แต่ให้ใช้คำว่า หลักเขตที่เห็นตรงกัน จึงจะดำเนินการสร้างรั้วอิเล็กทรอนิกส์ได้

บ่อนเขมรล้ำพื้นที่ไทยรอถกรื้อหรือทุบบางส่วน

ด้านพลเรือเอกจิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) กล่าวถึงกรณีพื้นที่พิพาทชายแดนจันทบุรี และตราด ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองทัพเรือ โดยเฉพาะการสร้างกาสิโนที่รุกล้ำพื้นที่อ้างสิทธิ์ของไทยว่า เรื่องนี้อยากให้สื่อมวลชนลงไปดูพื้นที่จริงที่จ.ตราด สิ่งที่เกิดขึ้นถือว่า ดีแล้ว ที่ทุกคนช่วยกันตรวจสอบจะได้เห็นภาพว่า จะแก้ปัญหาอย่างไร ซึ่งมีหลายจุดที่มีการเคลมซ้อนกันอยู่ และผู้ที่รับผิดชอบได้ทำหนังสือประท้วง แต่ไม่เกิดผลอะไร พร้อมยอมรับว่ามีอยู่หลายพื้นที่มาก ตั้งแต่บริเวณเขื่อนและอาคาร ไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่ ก็ต้องไปเจรจากับเขมรต่อไป จะจัดการพื้นที่ดังกล่าวอย่างไรให้ชัดเจนขึ้น

“ขณะนี้อยู่ในโหมดการเจรจา เราก็ต้องเคารพกติกา แต่หากเจรจากันไม่รู้เรื่อง ก็ขึ้นอยู่กับว่า รัฐบาลจะปรับโหมดหรือไม่ รวมถึงนานาชาติจะให้ทำอย่างไรต่อไป เพื่อให้แต่ละประเทศรู้ว่า อาณาเขตของตัวเองเป็นอย่างไร และกัมพูชาจะเข้ามาร่วมสำรวจเส้นเขตแดนที่ชัดเจนหรือไม่ ถ้าเข้าร่วมจะเป็นช่องทางที่ดี และจะนำไปสู่แนวทางสันติ แต่ถ้าไม่ร่วม เราจะมีมาตรการอย่างไรต่อไป” ผบ.ทร.กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า มีการตั้งข้อสังเกตไทยปล่อยให้สร้างกาสิโนขนาดใหญ่ได้อย่างไร อีกทั้ง มีการตัดถนนเชื่อมต่ออีก ผบ.ทร.ระบุว่า ทั้งหมดอยู่ที่ข้อตกลง หากคุยกันรู้เรื่อง ต้องการรื้อหรือทุบครึ่งหนึ่ง หรือใช้อาคารร่วมกันคนละครึ่ง ก็ต้องรอการเจรจา

ถามต่อว่าตัวอาคารกาสิโนเป็นของไทยครึ่งหนึ่งใช่หรือไม่ ผบ.ทร.กล่าวว่า อยู่ที่ว่ากัมพูชาจะยอมรับหรือไม่ ซึ่งปัจจุบันเขาไม่ยอมรับ หากยึดตามเส้นที่เราขีดเอาไว้กาสิโน ก็ล้ำแดนของเรามา

ย้ำกพช.เป็นภัยคุกคามไม่คุยเรื่องเปิดด่าน

ส่วนโอกาสที่จะมีการประทะในพื้นที่ ผบ.ทร.ระบุว่า ทุกกองกำลังยังเตรียมพร้อม เพราะยังไม่มีความเรียบร้อยในพื้นที่ฝั่งกองทัพภาคที่ 2 แต่ฝั่งของกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด หรือ กปช.จต. การขยับกำลังจะไม่เหมือนฝั่งอีสานใต้ แต่ถ้าฝั่งอีสานใต้เคลื่อนไหว เราก็เคลื่อนไหวตาม ขึ้นอยู่กับการติดตามสถานการณ์

สำหรับการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ที่ทหารเขมรทิ้งไว้ช่วงการปะทะนั้น ผบ.ทร.ยอมรับว่า การเข้าไปในพื้นที่ค่อนข้างยากลำบาก มีสนามทุ่นระเบิดจำนวนมาก ต้องค่อยๆเคลียร์พื้นที่ แต่สั่งการไปแล้วว่า ให้ดำเนินการกับพื้นที่ดังกล่าวอย่างไร เพราะปัจจุบันนี้ไม่มีกำลังทหารของกัมพูชาอยู่ในพื้นที่

ผบ.ทร.ยังระบุอีกว่า เรื่องการผ่อนปรนด่านชายแดนจันทบุรีและตราดนั้น วันนี้ในที่ประชุม ผบ.เหล่าทัพ เห็นชอบร่วมกันยังคงปิดด่านจนกว่ากัมพูชาจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อไทย เมื่อถามย้ำว่า จะไม่มีผ่อนปรนสินค้าใดๆใช่หรือไม่ ผบ.ทร.กล่าวว่า สิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงคิดตอนนี้คือ กัมพูชายังเป็นภัยคุกคาม เรายังไม่คุยเรื่องการเปิดด่าน

ยันปิดด่านจนกว่าเขมรไม่เป็นภัยคุกคาม

ช่วงเช้าวันเดียวกัน ที่กองบัญชาการกองทัพไทย มีการประชุมคณะผู้บัญชาการทางทหาร (คบท.) ครั้งที่ 5 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ประกอบด้วย พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และเสนาธิการทหาร โดยเรียนเชิญคณะผู้บัญชาการทางทหารชุดใหม่เข้าร่วมประชุมด้วย ก่อนเริ่มประชุม พล.อ.ทรงวิทย์ขอให้ ผู้เข้าร่วมประชุมยืนไว้อาลัยทหาร 15 นายที่เสียชีวิต รวมถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์จากเหตุปะทะชายแดนไทยกัมพูชา ซึ่งที่ประชุมหารือ 3 ประเด็นสำคัญดังนี้

1.การปิดจุดผ่านแดนถาวรและจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา โดยที่ประชุม คบท. เห็นชอบให้คงสภาพปัจจุบันในการปิดด่านจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย หรือกัมพูชาไม่เป็นภัยคุกคามต่อไทยอีกต่อไป 2. เห็นว่าปัจจุบันกัมพูชายังถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ จึงจัดทำรั้วชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งมีข้อสรุปสำหรับการสร้างรั้วชายแดน เห็นควรสร้างในพื้นที่เส้นเขตแดนที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้แล้ว สำหรับในพื้นที่ที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ จะใช้มาตรการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจต่อเนื่องรวมทั้งให้สร้างเส้นทางยุทธวิธีตลอดแนว 3.แนวทางดำเนินการต่อการละเมิดอธิปไตยของไทย โดยมีข้อสรุปดังนี้ การดำเนินการตามกฎการใช้กำลังสากล (ROE — Rules of Engagement) เมื่อการกระทำเข้าข่ายการกระทำที่เป็นปรปักษ์ (Hostile Act) หรือเจตนาที่เป็นปรปักษ์ (Hostile Intent) โดยเฉพาะหากเป็นการสอดแนมหรือเตรียมโจมตี ซึ่งตามกฎการใช้กำลัง สามารถใช้เป็นเหตุเริ่มป้องกันตนเองได้ โดยวางมาตรการทั้งเชิงรุกและเชิงรับ ทั้งนี้ ได้นำเสนอแนวทางการปฏิบัติไปยังรมว.กระทรวงกลาโหมแล้ว

ฝากผบ.เหล่าทัพสานต่อภารกิจ“ปิด-สร้าง-สู้

พล.อ.ทรงวิทย์แถลงหลังประชุมผู้บัญชาการทางทหารและผู้บัญชาการเหล่าทัพว่า ได้ฝากภารกิจให้ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่คือ เรื่อง ‘ปิด-สร้าง-สู้’ โดยที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งด่านถาวรและด่านชั่วคราว ซึ่งเราเสนอไปยังรัฐบาล เพื่อปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน เรื่องการสร้างคือ สร้างรั้วตามชายแดนและสร้างแนวป้องกัน เพื่อช่วยเรื่องความปลอดภัยต่างๆ

เรื่องการสู้คือ เรื่องใช้กำลังตามแนวชายแดน ที่ปรับรูปแบบไปเรื่อยๆตั้งแต่ปี 2554 ที่มีการใช้กำลังทหารเต็มรูปแบบ ที่มีการลักลอบวางระเบิด บินโดรนและการใช้มวลชนกดดัน ซึ่งการใช้กำลังต้องถูกต้องตามกฎหมายเราและกฎหมายสากลระหว่างประเทศ

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา แสดงท่าทีความพร้อมสู้ถ้าไทยรุกเขมร ฝ่ายไทยเตรียมพร้อมอย่างไร พล.อ.ทรงวิทย์กล่าวว่า ฝ่ายไทยเตรียมพร้อมตลอดเวลา วันนี้จึงต้องมีส่งต่อให้ ผบ.เหล่าทัพ ชุดใหม่ เพื่อไม่เป็นภาระของผบ.เหล่าทัพรุ่นต่อไป ตนชื่นชม ผบ.เหล่าทัพวันนี้ ทุกคนเห็นพ้องกันเรื่อง‘สู้-สร้าง-ปิด’คือ มาตรการที่ใช้อ้างอิงเพื่อปกป้องประเทศได้

ส่งต่อมติคบท.ให้รบ.-สดุดีทหารแนวหน้า

ถามย้ำว่าขณะนี้มีการเปลี่ยนผบ.เหล่าทัพ และเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ จะมีรอยต่อระดับการเมืองและนโยบายหรือไม่ พล.อ.ทรงวิทย์ กล่าวว่า ไม่ขอก้าวล่วงการเมือง แต่ในระดับกองทัพต้องเชื่อมต่อกัน โดยคณะผู้บัญชาการทางทหารได้พูดคุยทั้งผบ.เหล่าทัพ ชุดเก่าและใหม่ มาร่วมคิดและประชุมร่วมกัน ซึ่งมติในวันนี้จะส่งไปยังรัฐบาล ตรงนี้เป็นตัวเชื่อมสำคัญที่สุดคือ จิตวิญญาณนักรบ

“วันนี้เราต้องสดุดีคนตัวเล็กๆ ที่มาปกป้องแผ่นดิน ไม่ว่า ผบ.เหล่าทัพ ฝ่าย เสธ. จะเก่งแค่ไหน สุดท้ายคนที่แลกด้วยชีวิต ก็คือทหารตัวเล็กๆที่อยู่แนวหน้า ซึ่ง ประชุมทุกคนรู้สึกซาบซึ้ง ในบุญคุณทหารทุกคนที่เสียไป ที่ยังอยู่ และที่บาดเจ็บ”พล.อ.ทรงวิทย์กล่าว

ยันใช้7ขั้นตอนควบคุมฝูงชนจัดการม็อบเขมร

ถามถึงแนวรั้วลวดหนามที่เราสร้างในเขตไทย แต่ฝ่ายกัมพูชาเอาโล่มนุษย์มารื้อ จะดำเนินการอย่างไร พล.อ.ทรงวิทย์กล่าวว่า ได้คุยกับผบ.ตร. รอง ผบ.ตร.ลงพื้นที่ไปดูเรื่องกฎหมายและวิธีการปฏิบัติตามที่ศาลไทยตัดสินเรื่องการควบคุมฝูงชน 7 ขั้นตอน ซึ่งจะวิธีที่เสริมเติมขึ้นมา โดย ผบ.ตร. ให้คำมั่นจะร่วมงานกับกองกำลังป้องกันชายแดน

พล.อ.ทรงวิทย์ยังกล่าวถึงอำนาจเปิด-ปิดด่านชายแดนเป็นของผบ.ทหารสูงสุดใช่หรือไม่ว่า เรื่องการเปิด-ปิดด่านเกิดขึ้นหลังประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) 6 มิถุนายน โดยเสนอให้ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นผู้ควบคุมตามแนวชายแดนไม่ว่าเป็นการปฏิบัติทางการทหารหรือการเปิด-ปิดด่าน และอำนาจใช้กฏอัยการศึกเปิด-ปิดด่านได้ในทุกพื้นที่ที่กองทัพบก (ทบ.) ดูแลอยู่’

ยันสร้างรั้วจำเป็นต่อการปกป้องอธิปไตย

ส่วนการสร้างรั้วชายแดน ในส่วนของตนต้องไปถกเรื่องเส้นเขตแดน และเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศโดยเป็นหน้าที่ของสมช. แต่วันนี้เรายืนยันชัดเจนว่าคณะผู้บัญชาการทหารเห็นว่าจำเป็นต่อการปกป้องอธิปไตยจากภัยคุกคาม ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่เขตแนวนี้เท่านั้นยังมีอีกเขตพื้นที่หลายแนวที่เราไม่สามารถใช้ทหารลาดตระเวนได้ตลอดและในพื้นที่ที่เคยมีภัยคุกคามรอบประเทศไทย เช่น ทางตอนใต้ ประเทศที่เขาคิดว่ามีภัยคุกคามสมัยเมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่แล้ว ก็มีการสร้างรั้วขึ้นมา ฉะนั้นการสร้างรั้วถือว่าเป็นมาตรการที่ทำให้การเคลื่อนที่ผ่านแดนโดยที่ผิดกฎหมายยากขึ้น ย้ำว่าตนคิดว่าจำเป็น และนโยบายระหว่างความมั่นคงของรัฐ ก็คงจะเห็นความจำเป็นของกองทัพตรงนี้เช่นกัน

ทบ.ซัดเขมรยั่วยุฉีกข้อตกลงหยุดยิงซ้ำซาก

ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกแถลงสถานการณ์พื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้วว่า หลังมีการประกาศหยุดยิงครบ 53 วันพร้อมเข้าสู่กลไก ทวิภาคีทุกระดับเพื่อวางกฏกติกา นำไปสู่การสร้างสันติภาพแท้จริง ซึ่งกำลังทหารของไทยได้ยึดมั่นตามข้อตกลง การเตรียมความพร้อมเฝ้าติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด แต่พบว่ากำลังทหารเขมร ยังมีความพยายามละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ทั้งการใช้อาวุธทุ่นระเบิดสังหารบุคคล / การยั่วยุ /เผยแพร่ข่าวสารที่บิดเบือน/ การใช้โดรน/ การชุมนุมของชาวบ้านเขมรในเขตแดนไทย/ รวมไปถึงการให้ข่าวสารของผู้นำกัมพูชาในเวทีต่างประเทศ

รวมถึงบิดเบือนพื้นที่อ้างสิทธิ์ในพื้นที่ไทย ใช้กำลังภาคประชาชนมาออกหน้าแทนภาคราชการและทหาร ปล่อยให้มวลชนแสดงออกในพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อทหารไทยและคนไทย ทั้งเขตพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งไทยรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเพื่อประท้วง

ขณะที่สถานการณ์ล่าสุดมีคนเขมรออกมาชุมนุมขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ไทย และมีพฤติกรรมยั่วยุ ใช้สิ่งเทียมอาวุธ เช่น ไม้หรือก้อนหินปาตำรวจไทยในพื้นที่อธิปไตยไทย พื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่พื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ แต่เป็นพื้นที่ในเขตอธิปไตยของไทย ซึ่งการชุมนุมประท้วง มีพฤติกรรมทหารกัมพูชาร่วมในเหตุการณ์ ไม่ห้ามคนของตัวเอง ไทยจำเป็นต้องใช้มาตรการควบคุม การจราจรโดยตำรวจและฝ่ายปกครองตามขั้นตอนรักษาความสงบ

เตือนนายกฯมาเลย์ได้ข้อมูลเท็จจากนายกฯเขมร

พลตรีวินธัยยืนยันว่า นายอันวาร์ อิบบาร์ฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องจากฮุน มาเนต นายกฯเขมรและคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว หรือไอโอทีของกัมพูชา กรณีบ้านหนองหญ้าแก้ว ไม่ใช้พื้นที่ที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์ แต่เป็นเขตอธิปไตยของไทย แต่มีชาวกัมพูชา ลุกล้ำเข้ามา ขณะที่ไทยวางแนวรั้วลวดหนาม ในพื้นที่อธิปไตยของไทยเอง จึงไม่ต้องใช้แผนที่ใดใด และกองทัพบกจะประสานกับทางกองทัพไทย เพื่อที่จะนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง พร้อมยืนยันว่า การปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ชุมนุมในวันนั้นเป็นตำรวจ ไม่ใช่ทหาร ตามที่นายฮุน มาเนต กล่าวอ้าง และการใช้กระสุนยางและแก๊สน้ำตา ไม่ใช่สลายการชุมนุม เป็นเพียงป้องกันไม่ให้รื้อแนวลวดหนาม ซึ่งถือเป็นทรัพย์สินราชการ ฉะนั้น นายกฯเขมรน่าจะนำเสนอข้อมูลต่างๆในเวทีต่างประเทศผิดพลาด จึงจะประสานกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการ อีกทั้ง ยังยืนยันว่าไทยไม่ได้ขยายขอบเขตเกินกว่าพื้นที่พิพาท จ.สระแก้วอยู่ตรงกับพื้นที่บ็อนเตียย์เมียนเจย ซึ่งมีปัญหาอยู่แล้ว ไม่ใช่พื้นที่ใหม่ ไม่ใช่พื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ และไม่ใช่พื้นที่เหนืออธิปไตยของเขมร แต่ที่ผ่านมาเขมรนอกจากจะละเมิดข้อตกลง MOU 2543 เข้ามาใช้ประโยชน์ในพื้นที่อ้างสิทธิ์แล้วยังรุกล้ำพื้นที่อธิปไตยของไทย ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นความเร่งด่วนแรกที่ต้องดำเนินการ และไม่ได้อยู่ในกลไกของ JBC

“เป็นการรายงานข้อมูลเท็จเพียงฝ่ายเดียวของนายกฯเขมร รวมถึงคณะIOTฝ่ายกัมพูชาไปยังนายกฯมาเลย์ ทำให้เกิดความเข้าใจผิด จึงขอเรียกร้องให้สื่อสารไปยังเวทีต่างประเทศด้วยความโปร่งใสสุจริต ตรงไปตรงมา นอกจากนี้ จะให้กระทรวงการต่างประเทศประสานไปยังนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ว่ายังมีข้อมูลของฝ่ายไทย เพื่อป้องกัน ไม่ให้มาเลเซียถูกมองว่าไม่มีความเป็นกลาง จึงอยากให้รอข้อมูลจากฝั่งไทย มุมมองของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียอาจจะเปลี่ยนไป”พลตรีวินธัยกล่าว

ลั่นเขมรต้องออกจากพื้นที่แค่รอเวลาเหมาะสม

พลตรีวินธัยยอมรับว่า ปัญหาพื้นที่จังหวัดสระแก้ว เป็นการเผชิญหน้าระหว่างพลเรือนกัมพูชา กับเจ้าหน้าที่รัฐของไทย ถือเป็นปัญหาละเอียดอ่อน ที่ผ่านมาพยายามใช้ความอดทนอดกลั้น ตอนแรกกังวลเรื่องภาพลักษณ์ในสายตาต่างประเทศ แต่ก็ยังพบว่าระดับต่างประเทศมีการสื่อสารข้อมูลคลาดเคลื่อน ไม่ใช่เฉพาะระดับผู้นำของมาเลเซีย แต่รวมถึงสำนักข่าวต่างประเทศ จากนี้จะใช้กลไกที่มีอยู่เชื่อมโยงข้อมูลที่ถูกต้อง ทั้งนี้ การใช้กำลังผลักดันชาวเขมรออกจากพื้นที่ ที่รุกล้ำอธิปไตย ไม่ต้องรอให้รัฐบาลไฟเขียว ดำเนินการได้ทันที เพียงแต่รอจังหวะเหมาะสม อย่างไร คนเขมรก็ต้องออกไปจากพื้นที่นี้ ยืนยันว่าไม่ได้เตรียมยาแรง เป็นการบังคับใช้กฎหมายตามปกติ แต่ต้องสื่อสารให้ได้ก่อนว่าพื้นที่นั้นดำเนินการได้อย่างชอบธรรม ซึ่งน่าจะมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าพื้นที่นั้นเป็นของเขมร เพราะนายกฯเขมรนำไปเผยแพร่เช่นนั้น จึงต้องให้ข้อมูลที่หักล้างส่วนนั้นให้ได้

ปัดคุยอันวาร์ปมเขมร-ลั่นยึดเกียรติภูมิปท.

ที่พรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการพูดคุยทางโทรศัพท์กับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียว่า นายอันวาร์ โทรมาหาตอน พร้อมกล่าวว่าหากเข้ารับตำแหน่งนายกฯเป็นทางการแล้ว หวังว่าจะได้พบกันเร็วที่สุด ซึ่งเป็นการเยือนประเทศมาเลเซียอย่างเป็นทางการในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ซึ่งตนพร้อมเดินทางไปอยู่แล้ว ไม่มีการพูดคุยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่บ้านหนองจานเลย ยืนยันว่ายังไม่สามารถพูดได้ เพราะยังไม่ได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ขณะนี้ยังมีรัฐบาลรักษาการอยู่ ตนจะรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการได้ก็ต่อเมื่อเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณเรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องนโยบายและข้อสั่งการต้องรอให้แถลงนโยบายต่อสภาก่อน ซึ่งยังมีอีกหลายขั้นตอน ขณะนี้เราก็เก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด ส่วนที่ฮุน มาเนต นายกฯเขมรโทรหานายกฯมาเลเซีย ให้เข้ามาแทรกแซงความขัดแย้งไทย-กัมพูชานั้น ไม่มีใครเข้ามาแทรกแซงอธิปไตยของประเทศไทยได้ เรื่องการพูดคุย ก็เป็นคนรู้จักกันทั้งนั้น แต่เมื่อมาถึงจุดที่เราต้องรักษาประโยชน์ ขอให้มั่นใจว่าเมื่อตนเข้ารับตำแหน่งแล้ว ต้องยึดประโยชน์ ศักดิ์ศรี อธิปไตย เกียรติภูมิของประเทศไทยเป็นหลักอยู่แล้ว ไม่มีใครเคลียร์ได้

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top