สิ่งที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยเกิดขึ้นในทางการเมืองประเทศไทยก็ได้เห็นกันแล้ว และทุกอย่างจะกลายเป็นบันทึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะกับสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ หลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรโหวตเลือกให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ด้วยเสียงท่วมท้น 311ต่อ 152 จากเสียง 146 สส.พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล"เสียงข้างน้อย"พร้อมด้วย 143 เสียงสนับสนุน ส.ส.พรรคประชาชน โดยไม่มีแตกแถว นอกจากนี้พบ สส.นอกกลุ่ม เทคะแนนโหวตให้อีก 25 เสียง
จากวันเลือกนายกฯเมื่อวันที่ 5 กันยายน จนถึงวันที่ 19 กันยายน ก็ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เป็นที่เรียบร้อย และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณในวันที่ 24 กันยายนนี้ จากนี้ไปก็รอนายกฯอนุทิน นำรัฐบาลชุดนี้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ก็ได้เวลาบริหารประเทศอย่างเต็มทางการต่อไป ซึ่งจะเริ่มนับถอยหลังตามกรอบเวลา 4 เดือนทันที
แต่ขอย้อนไปในวันนั้น นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวอภิปรายปิดท้ายในการสนับสนุนนายอนุทินเป็นนายกฯคนที่ 32 โดยพูดถึงเป้าหมายชัดเจนว่า เราไม่ได้เลือกนายอนุทินบริหารประเทศ เราเลือกนายอนุทิน เพื่อให้มายุบสภา ภายใต้กรอบที่ตกลงกัน 4 เดือน และเปิดทางสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ยืนยันว่าการตัดสินใจนี้ เป็นไปเพื่อหาทางออกให้ประเทศและผ่าทางตันทางการเมือง ไม่ใช่การสนับสนุนฝ่ายอนุรักษนิยมและพรรคประชาชน จะทำหน้าที่ฝ่ายค้านโดยไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี
สิ่งสำคัญ ผู้นำฝ่ายค้านฯ ได้ประกาศเชิญชวนพรรคเพื่อไทยให้มาร่วมมือทำหน้าที่เป็น"ฝ่ายค้านข้างมาก"
ในช่วงเวลา 4-6 เดือนต่อจากนี้ สภาฯชุดนี้จะเป็นชุดในประวัติศาสตร์การเมือง ที่ฝ่ายค้านเข้มแข็งมากที่สุด ตราบที่ ปชน.และเพื่อไทย ยืนยันทำหน้าที่ฝ่ายค้านตรงไปตรงมา เรามี 280 กว่าเสียง ทำไมเดินหน้าทางออกของประเทศยุบสภาฯ แก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ เพื่อตรวจสอบรัฐบาล และผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญ
“เรากำลังเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง แก้รัฐธรรมนูญ พวกเรามีแค่ 143 เสียงทำเองไม่ได้ ผมต้องทำร่วมกับท่าน คือพรรคเพื่อไทย ที่เราต้องทำร่วมกันจริงๆ”นายณัฐพงษ์ ระบุ
ยืนยันอีกครั้งว่าการตัดสินใจของพรรคปชน.หาทางออกให้การเมืองไทย เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง เปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้ตนคาดหวังว่า รัฐบาลที่จะเข้ามาทำหน้าที่เปิดประตูสู่การเลือกตั้งใหม่ พิจารณาตามความเหมาะสมที่จะมีการยุบสภาฯโดยเร็ว
ก่อนหน้านี้ นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรผู้แทนราษฎร(วิปฝ่ายค้าน)ให้ความเห็นถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย จะไม่ร่วมเป็นฝ่ายค้านว่า ขอให้ผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยวางอัตตาลงสักนิดนั้น
ต่อมา กลับมีท่าทีระดับแกนนำพรรคเพื่อไทยออกมาตอบโต้ทันควัน อย่าง นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้วและเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ถึงประเด็นดังกล่าว เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2568 ว่า เขาอาจจะคุยกับบางคน ขอยืนยันว่าไม่เกี่ยว ไม่ใช่เรื่องของผู้ใหญ่ แต่เป็นเรื่องของคนในรุ่นเดียวกัน ที่มีความคิดเห็นคล้ายกัน
โดยยืนยันว่า สส.ในพรรคมีการพูดคุยกันและมีมติว่าจะไม่ตั้งใครเข้าไปเป็นวิปฝ่ายค้าน และย้ำอีกว่า“ไม่อยากร่วมเป็นวิปฝ่ายค้าน แต่การทำงานในสภาฯอะไรที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนเราพร้อมให้ความร่วมมืออยู่แล้ว แต่ในการที่จะไปร่วมเป็นวิปฝ่ายค้านนั้นเราไม่สามารถทำได้ เพราะเจตนารมณ์คนละเจตนารมณ์กัน”
แล้วนายสรวงศ์ยังออกตัวด้วยว่าหากมีกฎหมายสำคัญเข้าก็พร้อมที่จะประสานงานกับพรรคประชาชนแน่นอน ที่ผ่านมาเราก็เป็นองค์ประชุม และโหวตผ่านให้ตลอด อะไรที่พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์และอะไรที่ต้องตรวจสอบรัฐบาล เราทำงานเต็มที่ ไม่ต้องห่วง ขอย้ำว่า สิ่งที่พรรคพูดคุยกัน คือ เราไม่สามารถส่งใครเข้าไปร่วมงานในการเป็นวิปฝ่ายค้านอย่างเป็นทางการได้
เมื่อถูกถามว่าในอนาคตหากมีการจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล จะมีปัญหาในการประสานงานกับพรรคประชาชนหรือไม่ นายสรวงศ์ ตอบว่า ในการประสานงานและประชุมกัน เราสามารถทำได้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหา เพราะเรามีตัวแทนของพรรคเพื่อไทยที่จะไปคุยกับตัวแทนพรรคปชน.แต่การที่เราจะไปทำงานในวิปฝ่ายค้านนั้น เราต้องดูจุดยืนของเราด้วย
“จุดยืนของเราชัดเจนคือไม่สนับสนุนในการที่จะให้เขาเป็นรัฐบาลแต่เมื่อพรรคประชาชนในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้านไปทำเช่นนั้น เราไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรก แต่ยืนยันว่าเราจะทำงานในฐานะฝ่ายค้านเต็มตัว ไม่ได้งอแงอะไร”
สิ่งสำคัญพรรคเพื่อไทย ได้ประกาศชัดๆคือ ขอเป็น“ฝ่ายค้านในระบบรัฐสภา”และไม่ยอมเป็น“พรรคร่วมฝ่ายค้าน MOA” ซึ่งเกิดมาไม่เคยเห็นการเมืองไทย จะไปไกลถึงขนาดนี้ ต่างตั้งแง่ ชิงเล่นเกมในการทำหน้าที่ฝ่ายค้านกันอย่างนี้ นึกภาพไม่ออกว่าในเวทีสภา 2 พรรคฝ่ายค้านใหญ่ จะทำหน้าที่กันอย่างไร ให้เข้าตาประชาชน
และล่าสุด นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นไม่สนใจกรณีพรรคเพื่อไทยประกาศไม่เข้าร่วมคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) ยืนยัน พรรคพร้อมเดินหน้าทำงานเป็นฝ่ายค้านเข้มแข็ง ต้องบอกว่าเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้สรรพกำลังของฝ่ายค้านลดลง แต่อาจทำให้กลไกในการตรวจสอบ อาจไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าที่ควร กลไกฝ่ายค้านเน้นวิปเป็นหลัก แต่ยืนยัน เราเป็นฝ่ายค้านเสียงข้างมากอยู่ พรรคประชาชน จะทำหน้าที่ฝ่ายค้านเต็มที่
อย่างไรก็ดี ไม่น่าเชื่อว่าการเมืองไทย มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร แข่งกันกันทำหน้าที่ฝ่ายค้าน โดยไม่ร่วมเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน แยกบทบาทในการทำงานชัดเจน ซึ่งต่างฝ่ายต่างมีเหตุผล จากนี้ไปก็จะต้องโฟกัสการทำหน้าที่ในสภาของทั้งสองพรรคฝ่ายค้านใหญ่จะเป็นอย่างไร แน่นอนทั้งสองพรรคคงต้องสร้างผลงานแข่งกันอย่างเต็มที่
และเมื่อรัฐบาลเสียงข้างน้อย ภายใต้การนำของ นายกฯหนู อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จสิ้น เริ่มบริหารประเทศ มีอำนาจเต็มรูปแบบหลัง ทุกพรรคเร่งทำงานและเดินหน้าเตรียมจัดทัพคัดผู้สมัครลงเลือกตั้ง เริ่มนับถอยหลังไปเวลา 120วัน เมื่อครบ 4 เดือน จะมีการยุบสภา จะต้องพร้อมลงสนามเลือกตั้งใหญ่ในช่วงต้นปี 2569
หากพรรคการเมืองไหนที่สร้างผลงานเรียกศรัทธาและความเชื่อมั่นกับประชาชนได้มากก็จะได้เปรียบมากที่สุด ถึงวันกาบัตรเลือกตั้ง ก็มีโอกาสได้รับความไว้วางใจ จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งประเทศ จะเป็นผู้ชี้ขาดเลือกให้เข้ามาเป็นผู้แทนประชาชนอีกครั้ง ไม่มีอะไร แน่นอน 4 เดือน หรือ ต่ออีก4 ปีก็ต้องวัดใจประชาชนเท่านั้น
- ทีมข่าวแนวหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี