มติศาลรธน.เสียงข้างมาก 6 ต่อ 2 สั่งเดินหน้าวินิจฉัยสถานะ “ทวี-ภูมิธรรม” ปมยุ่งฮั้วเลือกสว.ต่อ แม้พ้นจากตำแหน่งแล้ว อ้างการพิจารณาคดีต่อไปจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ด้านดีเอสไอขยายผล “คนกลุ่มใหม่” พัน สว.ตัวจริง 138 ราย กก.บห.พรรคภูมิใจไทย และเครือข่ายพรรค 91 ราย
วันที่ 30 ก.ย.68 คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 24/2568 กรณีตรวจสอบขบวนการอั้งยี่ ฟอกเงิน สว. เปิดเผยว่า มีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้ไปสมัครวุฒิสภา (สว.) แต่กลับไม่ได้ลงคะแนนให้ตัวเอง และไปเลือกลงคะแนนให้บุคคลอื่นที่จัดตั้งขึ้น หรือเรียกว่าเป็นการพลีชีพ หรือการเป็นเพียงโหวตเตอร์ จึงต้องสอบสวนมาให้ได้ซึ่งข้อเท็จจริง
อย่างไรก็ดี ภาพรวมการสอบสวนปากคำพยานตอนนี้ยังคงไม่ครบเสร็จสิ้นทั้ง 1,200 ราย แต่ก็ยังเดินหน้าทยอยสอบปากคำต่อเนื่อง จนกว่าจะถึงขั้นตอนพิจารณาออกหมายเรียกผู้ต้องหา เนื่องด้วยในการสอบปากคำพยานที่ผ่านมา ก็มีพยานบางส่วนยอมรับสารภาพให้การซัดทอดเป็นประโยชน์ต่อสำนวนคดี พนักงานสอบสวนจึงต้องรวบรวมถ้อยคำให้การทั้งหมดมาประกอบการพิจารณากับพยานหลักฐาน
นอกจากนี้ ยังต้องดูในส่วนของ กกต. ที่อยู่ระหว่างดำเนินการสำนวนคดีฮั้ว สว. ควบคู่ไปด้วย เพราะว่าก็มีผลเชื่อมโยงกันกับคดีอาญาที่เป็นมูลฐานมาจากกฎหมายเลือกตั้งดังกล่าว ทั้งนี้ ในส่วนของสำนวนคดีฮั้ว สว.ของ กกต. เองทราบว่าที่ผ่านมาก็มีการเรียกสอบสวนปากคำเพิ่มเติม
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เผยอีกว่า ส่วนกรณีที่ ร.ต.อ.ชนินทร์ น้อยเล็ก รองเลขาธิการ กกต. มีหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 4 ก.ย.68 ส่งถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อขอรับการสนับสนุนเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน โดยได้มีการส่งเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ 3 ราย (เดิม) ไปร่วมนั้น ก็เพื่อดำเนินการไต่สวนเรื่องคัดค้านการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับประเทศ กรณีมีการกล่าวหาว่ามีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (1) โดยครั้งนี้จะไม่ใช่การสอบสวนผู้ถูกกล่าวหากลุ่มเดิมก่อนหน้านี้ 229 ราย ได้แก่ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ตัวจริง จำนวน 138 ราย กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย และเครือข่ายของพรรค จำนวน 91 ราย ซึ่งจะเป็นคนกลุ่มใหม่ที่ทาง กกต. ขยายผลพบเจอว่ามีลักษณะการฮั้ว สว.เช่นเดียวกัน ซึ่งก็เป็นอำนาจการพิจารณาของ กกต. ว่าจะดำเนินการสอบสวน “คนกลุ่มใหม่” เข้าสู่สำนวนกฎหมายเลือกตั้งอย่าง ไร โดยจะตั้งเป็นเรื่องใหม่ หรือเรื่องต่อเนื่องกับสำนวน 229 รายแรกหรือไม่
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวอีกว่า สำหรับสำนวนคดีอาญา อั้งยี่-ฟอกเงิน สว. ที่ดีเอสไอดำเนินการนั้น ก็ต้องดูประกอบกับสำนวนคดีฮั้ว สว. ตามกฎหมายเลือกตั้งที่ กกต. ดำเนินการอยู่ด้วย และก็ต้องรับฟังพนักงานอัยการประกอบกันด้วย เพราะทั้งคดีอาญาที่ดีเอสไอดำเนินการ กับคดีกฎหมายการเลือกตั้งที่ กกต. ดำเนินการมันมีความเกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว
ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการพิจารณาในคำร้องที่ประธานวุฒิสภาส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ขณะนั้นรวมทั้งพันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรมในขณะนั้นสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรม นูญ มาตรา 170วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160(4) จากกรณีผู้ถูกร้องทั้งสองมีมติให้การกระทำความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง (2) เป็นการแทรก แซงหรือครอบงำหน้าที่ และอำนาจของ กกต. โดยใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภา อันเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และครอบงำสมาชิกวุฒิสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติ ธรรม จึงถือได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสองไม่มี ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้งสอง สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160(4) และ (5) หรือไม่
โดยศาลฯเห็นว่าในขณะที่คดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลงตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรม นูญที่ 17/2568 เป็นผลให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง ต่อมามีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายน พุทธศักราช 2568 และมีพระบรมราชโอง การโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งรัฐมนตรีชุดใหม่ ตามประกาศลงวันที่ 19 กันยายน 2568 โดยไม่ปรากฏรายชื่อผู้ถูกร้องทั้งสองได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี และวันพุธที่ 24กันยายน พุทธศักราช 2568
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณ ทำให้ผู้ถูกร้องทั้งสองพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติโดยเสียงข้างมาก 6 ต่อ 2 วินิจฉัยว่า การพิจารณาคดีต่อไปจะเป็นประโยชน์ ต่อสาธารณะตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 51 ตุลาการศาลรัฐ ธรรมนูญเสียงข้างมาก จำนวน 6 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายจิรนิติ หะวานนท์ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ
ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 2คน คือ นายวิรุฬห์ แสงเทียน และนายนภดล เทพพิทักษ์ เห็นว่าเมื่อผู้ถูกร้องทั้งสองพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี กรณีไม่มีเหตุที่จะต้องวินิจฉัยคดีต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 51
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี