วันที่ 30 กันยายน 2568 เวลา 18.40 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ห้องประชุมกรรมาธิการ CB 406 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง การมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบหรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (28 มกราคม 2563) ซึ่งมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบ หรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกา ที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา เช่น พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่าง พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ
เรื่องเดิม
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (28 มกราคม 2563) เห็นชอบมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ
ให้ความเห็นชอบ หรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกา ที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา เช่น พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ
พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
2. คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (18 กันยายน 2566) เห็นชอบให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563 ตามข้อ 1. ต่อไป ตามที่ สลค. เสนอ
3. คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (17 กันยายน 2567) เห็นชอบให้ถือปฏิบัติตาม มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563 ตามข้อ 1. ต่อไป ตามที่ สลค. เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
โดยที่ร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์ กับรัฐสภา
สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา เช่น พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่าง พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งในบางครั้งจะมีระยะเวลาดำเนินการค่อนข้างจำกัดตามกรอบระยะเวลาและขั้นตอนของกฎหมาย ประกอบกับเป็นเรื่องที่
มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนอยู่แล้ว คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติตามข้อ 1. มอบหมายให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบ หรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าวตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าวดำเนินไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จึงเสนอขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีตามข้อ 1. ต่อไป
2. เรื่อง การดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี
พ.ศ. 2548 มาตรา 4 วรรคสอง (มติคณะรัฐมนตรีที่มีลักษณะเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ยืนยันมติคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดเดิมที่มีลักษณะเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี จำนวน 25 มติ เพื่อถือปฏิบัติต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 4 วรรคสอง บัญญัติให้เมื่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้ออกคำสั่ง หรือมีมติตาม (12) หรือ (13) พ้นจากตำแหน่ง ให้ สลค. รวบรวมคำสั่งนายกรัฐมนตรีหรือมติคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดเดิมที่มีลักษณะเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ในการเสนอเรื่อง ต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีที่เข้าบริหารราชการชุดใหม่พิจารณายืนยันหรือยกเลิกภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา (คณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้วเมื่อวันที่ 29 – 30 กันยายน 2568 ซึ่งจะครบกำหนด 30 วัน ในวันที่ 28 ตุลาคม 2568)
2. สลค. ได้ตรวจสอบคำสั่งของนายกรัฐมนตรีและมติคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดเดิมที่มีลักษณะเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีแล้ว สรุปได้ ดังนี้
2.1 ไม่ปรากฏว่ามีคำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่มีลักษณะดังกล่าว
2.2 มีมติคณะรัฐมนตรีที่มีลักษณะเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นมติหลักการที่สมควรถือปฏิบัติต่อไป จำนวน 25 มติ
3. เรื่อง พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรี เขตเลือกตั้งที่ 4 แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. 2568
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรี เขตเลือกตั้งที่ 4 แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. 2568 ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ด้วยสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรี เขตเลือกตั้งที่ 4 แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ โดยแจ้งว่า เนื่องด้วยนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดกาญจนบุรี เขตเลือกตั้งที่ 4 ได้ลาออกจากพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิกเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 จึงเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 101 (3) และ (8) ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 105 วรรคหนึ่ง (1) บัญญัติให้ในกรณีที่ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งว่างลงเพราะเหตุอื่นใดนอกจากถึงคราวออกตามอายุของสภาผู้แทนราษฎร หรือเมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรให้ดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่างภายในสี่สิบห้าวัน (ภายในวันที่ 23 ตุลาคม 2568) โดยต้องมีการตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งและประกาศกำหนดหน่วยเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 25 วันก่อนวันเลือกตั้ง (ภายในวันที่ 23 กันยายน 2568)
โดยที่มาตรา 7 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ได้บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีอาจมอบหมายเป็นการทั่วไปให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบ หรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรีในบางเรื่องก็ได้ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
17 กันยายน 2567 มอบหมายให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบ หรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัด
รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นได้อาศัยอำนาจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 อนุมัติแทนคณะรัฐมนตรีในเรื่องการตราร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรี เขตเลือกตั้งที่ 4 แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. 2568 ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 และนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป ซึ่งบัดนี้ ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว และประกาศใช้บังคับในราชกิจจานุเบกษา ฉบับกฤษฎีกา เล่ม 142 ตอนที่ 59 ก วันที่ 14 กันยายน 2568 ด้วยแล้ว
เศรษฐกิจ-สังคม
4. เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาพิจารณาก่อนรับหลักการ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ถือปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาพิจารณาก่อนรับหลักการ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่
17 กันยายน 2567 ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ
1. เรื่องเดิม
คณะรัฐมนตรีได้มีมติวางแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาพิจารณาก่อนรับหลักการ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 จนถึงข้อบังคับฉบับปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2562 เพื่อให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาจากสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาก่อนรับหลักการเป็นไปด้วยความรอบคอบ โดยกำหนดส่วนราชการที่รับผิดชอบ ตลอดจนวิธีการในการพิจารณาของส่วนราชการดังกล่าว เพื่อให้การดำเนินการของคณะรัฐมนตรีทันเสนอสภาผู้แทนราษฎรภายในกำหนดเวลาที่คณะรัฐมนตรีขอรับร่างพระราชบัญญัติมาเพื่อพิจารณาก่อนรับหลักการสรุปได้ดังนี้
1.1 คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (27 พฤษภาคม 2523) ให้ถือเป็นหลักปฏิบัติดังต่อไปนี้
1.1.1 ในการเสนอสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาพิจารณาก่อนรับหลักการ โดยปกติให้ขอเวลาสำหรับพิจารณา มีกำหนดอย่างน้อย 45 วัน แต่ถ้าเป็นเรื่องเร่งด่วนให้ขอเวลาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 30 วัน
1.1.2 เมื่อสภาผู้แทนราษฎรอนุมัติตามข้อ 1.1.1 แล้ว ให้ สลค. ส่งร่างพระราชบัญญัตินั้น ๆ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) พิจารณาดำเนินการ โดยให้ สคก. เชิญผู้แทนกระทรวง ทบวง กรมที่เกี่ยวข้องกับร่างพระราชบัญญัตินั้น มาร่วมพิจารณาโดยด่วน ให้แล้วเสร็จและเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนครบกำหนดเสนอสภาผู้แทนราษฎร 15 วัน เพื่อให้สามารถเสนอสภาผู้แทนราษฎรได้ภายในกำหนดเวลาที่ขอรับมา
1.2 คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (16 สิงหาคม 2531) ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ถือปฏิบัติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาตามมติคณะรัฐมนตรีในข้อ 1.1 ตามเดิม
1.3 คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (19 กุมภาพันธ์ 2544) เห็นชอบหลักปฏิบัติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณา ก่อนรับหลักการ ตามมติคณะรัฐมนตรีในข้อ 1.1 และให้ส่วนราชการคงถือปฏิบัติต่อไป โดยในการพิจารณาของ สคก. ซึ่งเชิญส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมาพิจารณานั้น เพื่อให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแต่ละฉบับมีความสอดคล้องกับทิศทางนโยบายของคณะรัฐมนตรีและกรอบของงบประมาณ จึงขอให้ สคก. เชิญผู้แทนสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงบประมาณ (สงป.) ร่วมพิจารณาด้วยทุกครั้ง
1.4 คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (15 มีนาคม 2544) เห็นชอบให้ส่วนราชการต่าง ๆ ถือแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีในข้อ 1.1 และ 1.3 ต่อไปตามเดิม โดยให้ สลค. รวบรวมและปรับปรุงให้เป็นมติคณะรัฐมนตรีฉบับเดียวเพื่อความสะดวกในการถือปฏิบัติ ซึ่ง สลค. ได้ปรับปรุงแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ดังนี้
1.4.1 ในการเสนอสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาพิจารณาก่อนรับหลักการ โดยปกติให้ขอเวลาสำหรับพิจารณา มีกำหนดอย่างน้อย 45 วัน แต่ถ้าเป็นเรื่องเร่งด่วน ให้ขอเวลาอย่างน้อย ไม่ต่ำกว่า 30 วัน
1.4.2 เมื่อสภาผู้แทนราษฎรอนุมัติตามข้อ 1.4.1 แล้ว ให้ สลค. ส่งร่างพระราชบัญญัตินั้น ให้ สคก. พิจารณาดำเนินการ โดยให้ สคก. เชิญผู้แทนกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้องกับร่างพระราชบัญญัตินั้นมาร่วมพิจารณาโดยด่วนให้แล้วเสร็จและเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนครบกำหนดเสนอสภาผู้แทนราษฎร 15 วัน เพื่อให้สามารถเสนอสภาผู้แทนราษฎรได้ภายในกำหนดเวลาที่ขอรับมา ทั้งนี้เพื่อให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแต่ละฉบับมีความสอดคล้อง กับทิศทางนโยบายของคณะรัฐมนตรีและกรอบของงบประมาณ
จึงขอให้ สคก. เชิญผู้แทน สศช.และ สงป. ร่วมพิจารณาด้วยทุกครั้ง
1.5 คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (8 กรกฎาคม 2551) เห็นชอบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ศาลหรือองค์กรอิสระตาม รัฐธรรมนูญ และผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาพิจารณาก่อนรับหลักการ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ตามที่ สลค. เสนอ ดังนี้
1.5.1 ในการเสนอสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ศาลหรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ หรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาพิจารณาก่อนรับหลักการ โดยปกติให้ขอเวลาสำหรับพิจารณามีกำหนดอย่างน้อย 45 วัน แต่ถ้าเป็นเรื่องเร่งด่วนให้ขอเวลาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 30 วัน
1.5.2 เมื่อสภาผู้แทนราษฎรอนุมัติตามข้อ 1.5.1 แล้ว ให้ สลค. ส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นให้ สคก. พิจารณาดำเนินการ โดยให้ สคก. เชิญผู้แทนกระทรวง ทบวง กรมที่เกี่ยวข้องกับร่างพระราชบัญญัตินั้นมาร่วมพิจารณาโดยด่วนให้แล้วเสร็จและเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนครบกำหนดเสนอสภาผู้แทนราษฎร 15 วัน เพื่อให้สามารถเสนอสภาผู้แทนราษฎรได้ภายในกำหนดเวลาที่ขอรับมา ทั้งนี้ เพื่อให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแต่ละฉบับมีความสอดคล้องกับทิศทางนโยบายของคณะรัฐมนตรีและกรอบของงบประมาณ จึงขอให้ สคก. เชิญผู้แทน สศช. และ สงป. ร่วมพิจารณาด้วยทุกครั้ง
1.6 คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (25 สิงหาคม 2554) เห็นชอบเรื่อง การขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ศาลหรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญและผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาพิจารณาก่อนรับหลักการ ตามที่ สลด. เสนอ ดังนี้
1.6.1 ในการเสนอสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ศาลหรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ หรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาพิจารณาก่อนรับหลักการ โดยปกติให้ขอเวลาสำหรับพิจารณามีกำหนดอย่างน้อย 45 วัน แต่ถ้าเป็นเรื่องด่วนให้ขอเวลาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 30 วัน
1.6.2 เมื่อสภาผู้แทนราษฎรอนุมัติแล้ว ให้ สลค. ส่งร่างพระราชบัญญัตินั้น
ให้ สคก. พิจารณาดำเนินการ โดยให้เชิญผู้แทนกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้องกับร่างพระราชบัญญัตินั้นมาร่วมพิจารณาโดยด่วนให้แล้วเสร็จ และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนครบกำหนดเสนอสภาผู้แทนราษฎร15 วัน เพื่อให้สามารถเสนอสภาผู้แทนราษฎรได้ภายในกำหนดเวลาขอรับมา ทั้งนี้ เพื่อให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแต่ละฉบับมีความสอดคล้องกับทิศทางนโยบายของคณะรัฐมนตรีและกรอบของงบประมาณ จึงขอให้ สคก. เชิญผู้แทน สศช. และ สงป. ร่วมพิจารณาด้วยทุกครั้ง
1.7 คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (18 กุมภาพันธ์ 2558) เห็นชอบเป็นหลักการให้ดำเนินการสำหรับร่างพระราชบัญญัติที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอโดยให้ดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
1.7.1 ในการเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อขอรับร่างพระราชบัญญัติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติและสภาปฏิรูปแห่งชาติมาพิจารณาก่อนรับหลักการ โดยปกติให้ขอเวลาสำหรับพิจารณามีกำหนดอย่างน้อย 20 วัน
1.7.2 เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติอนุมัติแล้ว ให้ สลค. ส่งร่างพระราชบัญญัตินั้น ให้ สคก. พิจารณาดำเนินการ โดยให้ สคก. เชิญผู้แทนกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้องกับร่างพระราชบัญญัตินั้นมาร่วมพิจารณาโดยด่วนให้แล้วเสร็จและเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในกำหนดเวลาที่ขอรับมา และให้ สลค. แจ้งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแต่ละฉบับมีความสอดคล้องกับทิศทางนโยบายของคณะรัฐมนตรีและกรอบของงบประมาณ ให้ สคก. เชิญผู้แทน สศช. และ สงป. ร่วมพิจารณาด้วยทุกครั้ง
1.8 คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (2 มกราคม 2567) เห็นชอบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมาพิจารณา ก่อนรับหลักการ ตามที่ สลค. เสนอ ดังนี้
1.8.1 เมื่อสภาผู้แทนราษฎรอนุมัติให้คณะรัฐมนตรีรับร่างพระราชบัญญัติ
ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปพิจารณาก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะลงมติรับหลักการแล้ว ให้ สลค. ส่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้ สคก. พิจารณาดำเนินการ โดยให้ สคก. เชิญผู้แทนกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้องกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมาร่วมพิจารณาโดยด่วนให้แล้วเสร็จและเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรภายในกำหนดเวลาที่ขอรับมา ทั้งนี้ ให้ สลค. แจ้งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) ทราบด้วย
1.8.2 ให้ สคก. เชิญผู้แทน สศช. และ สงป. ร่วมพิจารณาด้วย เพื่อให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีความสอดคล้องกับทิศทางนโยบายของคณะรัฐมนตรี และกรอบของงบประมาณ
1.9 คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (17 กันยายน 2567) เห็นชอบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาพิจารณาก่อนรับหลักการ ตามที่ สลค. เสนอ ดังนี้
1.9.1 เห็นชอบให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2567 (เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาพิจารณาก่อนรับหลักการ) ต่อไป ตามที่ สลค. เสนอ
1.9.2 ให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติเป็นผู้ชี้แจง ผลการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะลงมติรับหลักการต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเป็นข้อมูลและเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
2. สาระสำคัญของเรื่อง
2.1 การวางหลักเกณฑ์ของคณะรัฐมนตรีในการดำเนินการตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในส่วนที่เกี่ยวกับการขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาพิจารณาก่อนรับหลักการนั้น เป็นการดำเนินการที่มีมาตั้งแต่ในอดีต โดยได้มีการวางหลักเกณฑ์ครั้งแรกตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2523 และคณะรัฐมนตรีชุดต่อ ๆ มาก็ได้มีการวางหลักเกณฑ์ในลักษณะเดียวกันเรื่อยมา โดยได้กำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในฐานะส่วนราชการที่มีอำนาจหน้าที่ในการให้ความเห็นทางกฎหมายแก่คณะรัฐมนตรีเป็นส่วนราชการที่รับผิดชอบในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีรับมาจากสภาผู้แทนราษฎรร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับร่างพระราชบัญญัตินั้นรวมทั้งต้องมีผู้แทนจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณ ร่วมพิจารณา เพื่อพิจารณาในประเด็นความสอดคล้องกับนโยบายของคณะรัฐมนตรีและกรอบของงบประมาณด้วย
2.2 แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาพิจารณาก่อนรับหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2567 และเมื่อวันที่17 กันยายน 2567 ตามข้อ 1.8 และข้อ 1.9 ที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเห็นสมควรให้ถือปฏิบัติต่อไปนั้น เป็นการกำหนดแนวทาง ที่สอดคล้องกับข้อ 118 วรรคหนึ่ง แห่งข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562ที่กำหนดให้คณะรัฐมนตรีอาจขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาพิจารณาก่อนรับหลักการได้ โดยการยึดถือแนวทางปฏิบัติดังกล่าวต่อไปจะส่งผลให้การดำเนินการภายหลังสภาผู้แทนราษฎรอนุมัติให้คณะรัฐมนตรีรับร่างพระราชบัญญัติไปพิจารณา ก่อนรับหลักการเป็นไปด้วยความรวดเร็ว โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีสามารถส่งเรื่องไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ทันทีหลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรได้แจ้งการอนุมัติมายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแล้ว รวมทั้งย่อมส่งผลให้การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีสามารถดำเนินการได้ทันเสนอสภาผู้แทนราษฎรภายในกำหนดเวลาที่คณะรัฐมนตรีขอรับร่างพระราชบัญญัติมาเพื่อพิจารณาก่อนรับหลักการ
2.3 ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวของคณะรัฐมนตรีเป็นไปด้วยความรอบคอบในทุกด้าน ซึ่งรวมถึงประเด็นเกี่ยวกับความสอดคล้องกับนโยบายของคณะรัฐมนตรีและกรอบของงบประมาณ ตลอดจนเป็นการเร่งรัดส่วนราชการต่าง ๆ ทราบถึงกฎหมายสำคัญ ที่อยู่ในความสนใจของฝ่ายนิติบัญญัติและภาคประชาชนซึ่งจำเป็นต้องนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของรัฐสภาโดยเร็ว นอกจากนี้ การกำหนดแนวทางปฏิบัติดังกล่าวยังสอดคล้องกับการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมาซึ่งได้กำหนดแนวทางในลักษณะเดียวกันไว้ด้วยเช่นกันตามข้อ 1 จึงเห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาพิจารณาก่อนรับหลักการตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
5. เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระและแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ ดังนี้
1. แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระ
2. แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาและให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
สลค. เห็นว่า มาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระประกอบด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้เสนอมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะ เป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับมาตรการและกลไกที่มีประสิทธิภาพการปรับปรุงการปฏิบัติราชการ การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรม อันเนื่องมาจากหน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นเรื่องที่ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการต่อไปโดยเร็วหรือมีเงื่อนเวลากำกับตามกฎหมายส่วนญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเป็นการดำเนินการตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2562 และข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้อเสนอแนะในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตามมาตรการ ความเห็นและข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระ และญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงเห็นควรวางแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
1. แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการ ความเห็นและข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระ
1.1 เมื่อ สลค. ได้รับมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระให้ สลค. พิจารณาดำเนินการ ดังนี้
(1) ในกรณีที่มีมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระเกี่ยวกับส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐใด ให้เสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบมาตรการ ความเห็นและข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระ และมอบหมายให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระในเรื่องใดได้หรือไม่ประการใดก่อน
(2) ในกรณีที่มีมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์อิสระมีส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเกี่ยวข้องหลายแห่งให้พิจารณาว่าส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐใดสมควรเป็นหน่วยงานหลัก แล้วให้เสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบตามมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระ และมอบหมายให้มีหน่วยงานหลักในการรวบรวมผลการดำเนินการดังกล่าวของส่วนราชราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาสรุปเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ทั้งนี้ โดยให้เสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และหากไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่นให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีตามที่เสนอ
1.2 ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐแจ้งผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการตามข้อ 1.1 (1) หรือข้อ 1.1 (2) ให้ สลค. ทราบ ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
1.3 เมื่อ สลค. ได้รับผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการตามข้อ 2.1.2 แล้ว ให้ สลค.นำผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และหากไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่นให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีตามที่เสนอ
ทั้งนี้ กรณีเป็นมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ต้องดำเนินการก่อนครบ 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.
2. แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
2.1 เมื่อ สลค. ได้รับญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ให้ สลค. พิจารณาดำเนินการ ดังนี้
(1) ในกรณีที่ญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเกี่ยวข้องกับส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐใด ให้รายงานนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐนั้น เพื่อพิจารณาสั่งการให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาในเรื่องใดได้หรือไม่ประการใดก่อน
(2) ในกรณีที่ญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา มีส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเกี่ยวข้องหลายแห่งให้พิจารณาว่าส่วนราชการหน่วยงานของรัฐใดสมควรเป็นหน่วยงานหลัก แล้วให้รายงานนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการหน่วยงานหลักนั้น เพื่อพิจารณาสั่งการให้มีหน่วยงานหลักในการรวบรวมผลการดำเนินการดังกล่าวของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาสรุปเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
2.2 ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐแจ้งผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการตามข้อ 2.1 (1) หรือข้อ 2.1 (2) ให้ สลค. ทราบ ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
2.3 เมื่อ สลค. ได้รับผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการตามข้อ 2.2.2 แล้ว ให้ สลค.
นำญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาพร้อมผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และหากไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่นให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีที่เสนอ
6. เรื่อง ขอขยายระยะเวลาการประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เสนอ ดังนี้
1. รับทราบสรุปผลการประเมินพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ในเขตพื้นที่อำเภอยี่งอ อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส อำเภอยะหริ่ง อำเภอไม้แก่น อำเภอกะพ้อ อำเภอมายอ อำเภอแม่ลาน อำเภอปะนาเระ และอำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี อำเภอเบตง อำเภอกาบัง อำเภอกรงปินัง อำเภอยะหา และอำเภอรามัน จังหวัดยะลา และอำเภอนาทวี อำเภอจะนะ อำเภอเทพา และอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา เพื่อประกอบการพิจารณาขอขยายเวลาการประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551
2. อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในเขตพื้นที่อำเภอยี่งอ อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้งและอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส อำเภอยะหริ่ง อำเภอไม้แก่น อำเภอกะพ้อ อำเภอมายอ อำเภอแม่ลาน อำเภอปะนาเระ และอำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี อำเภอเบตง อำเภอกาบัง อำเภอกรงปินัง อำเภอยะหา และอำเภอรามัน จังหวัดยะลา และอำเภอนาทวี อำเภอจะนะ อำเภอเทพา และอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2569
3. ให้ความเห็นชอบ
3.1 ร่างประกาศ เรื่อง พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
3.2 ร่างประกาศ เรื่อง การให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 เป็นเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย
3.3 ร่างประกาศ เรื่อง กำหนดลักษณะความผิดอันมีผลกระทบ ต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551
3.4 ร่างข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551
สาระสำคัญของเรื่อง
1. การแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ชายแดนภาคใต้ ได้มีการใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา ครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2548 (รวม 33 อำเภอ) และได้มีการขยายระยะเวลาจนถึงปัจจุบัน รวม 81 ครั้ง (ปัจจุบันมี 17 อำเภอ) โดยมีระยะเวลาการใช้บังคับครั้งละ 3 เดือน ตามมาตรา 5 วรรคสอง แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ซึ่งกำหนดให้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินมีระยะเวลาต้องไม่เกิน 3 เดือนนับแต่วันประกาศ และให้ขยายระยะเวลาการใช้บังคับออกไปอีกเป็นคราว ๆ คราวละไม่เกิน 3 เดือน
ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง หรือแก้ไขเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงภายในที่ยังไม่จำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแต่เหตุการณ์นั้นมีแนวโน้มจะมีอยู่ต่อไปเป็นเวลานานโดยมีกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเป็นหน่วยปฏิบัติงานหลักรับผิดชอบ บูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานของรัฐ ภาคประชาชน และประชาชนในพื้นที่ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ความมั่นคงให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นเอกภาพ โดยเริ่มมีการประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2552 ในพื้นที่ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา ได้แก่ อำเภอนาทวี อำเภอจะนะ อำเภอเทพา และอำเภอสะบ้าย้อย โดยมีระยะเวลาการบังคับใช้เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งได้มีการขยายระยะเวลาและเพิ่มพื้นที่ที่ได้ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินมาไว้ในประกาศนี้แทนมาอย่างต่อเนื่องทุกปีจนถึงปัจจุบัน
2. ที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายที่จะมุ่งปรับลดการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และพิจารณานำเครื่องมือทางกฎหมายหรือมาตรการอื่นทดแทน เพื่อคืนพื้นที่เข้าสู่การบริหารงานภายใต้กลไกปกติ โดยตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2553 - 2568 ได้มีการปรับลดพื้นที่บางอำเภอในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวม 16 อำเภอ (จากทั้งหมด 33 อำเภอ) [จังหวัดนราธิวาส 4 อำเภอ : อำเภอยี่งอ อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดปัตตานี 7 อำเภอ : อำเภอยะหริ่ง อำเภอไม้แก่น อำเภอกะพ้อ อำเภอมายอ อำเภอแม่ลาน อำเภอปะนาเระ และอำเภอทุ่งยางแดง และจังหวัดยะลา 5อำเภอ : อำเภอเบตง อำเภอกาบัง อำเภอกรงปินัง อำเภอยะหา และอำเภอรามัน] ออกจาก พื้นที่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เพื่อนำพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 มาบังคับใช้แทน ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนภายใต้แผนปฏิบัติการปรับลดพื้นที่การประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ห้วงปี พ.ศ. 2566 - 2570 (ฉบับแก้ไข) ปัจจุบันจึงยังมีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้รวม 17 อำเภอ (จากทั้งหมด 33 อำเภอ) และมีพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในพื้นที่สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวม 20 อำเภอ (4 อำเภอ ในจังหวัดสงขลา และ
16 อำเภอในจังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา)
3. การประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ข้างต้น ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 มิได้กำหนดกรอบระยะเวลาไว้ ดังเช่นกรณีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ซึ่งกำหนดให้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินมีระยะเวลาต้องไม่เกิน 3 เดือนนับแต่วันประกาศ และให้ขยายระยะเวลาการใช้บังคับออกไปอีกเป็นคราว ๆ คราวละไม่เกิน 3 เดือน ซึ่งที่ผ่านมาในการประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อปี พ.ศ. 2552
ในพื้นที่ 4 อำเภอ ในจังหวัดสงขลา ได้แก่ อำเภอนาทวี อำเภอจะนะ อำเภอเทพา และอำเภอสะบ้าย้อย กำหนดระยะเวลาการบังคับใช้เป็นเวลา 1 ปี และได้มีการประกาศพื้นที่อื่น ๆ ในจังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา รวมเข้าด้วยอีก 16 อำเภอ โดยได้มีการขยายระยะเวลามาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาทุกปีจนถึงปัจจุบัน รวม 19 ครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม หากเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สิ้นสุดลงหรือสามารถดำเนินการแก้ไขได้ตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบตามปกติ นายกรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศให้อำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรที่ได้รับมอบหมายสิ้นสุดลงได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 15 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551
4. โดยที่ประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในเขตพื้นที่อำเภอยี่งอ อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส อำเภอยะหริ่ง อำเภอไม้แก่น อำเภอกะพ้อ อำเภอมายอ อำเภอแม่ลาน อำเภอปะนาเระ และอำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี อำเภอเบตง อำเภอกาบัง อำเภอกรงปินัง อำเภอยะหา และอำเภอรามัน จังหวัดยะลา และอำเภอนาทวี อำเภอจะนะ อำเภอเทพา และอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา (รวม 20 อำเภอ) จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 กันยายน 2568 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรพิจารณาแล้วเห็นว่าแนวโน้มสถานการณ์ในพื้นที่ดังกล่าวแม้กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงไม่สามารถกระทำได้อย่างเสรี เนื่องจากมีการจับกุมผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการได้เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม สมาชิกผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ยังไม่สามารถติดตามจับกุมได้หรือหลบหนีออกนอกพื้นที่ ยังคงมีความพยายามสร้างสถานการณ์ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และอาจกลับเข้ามาสร้างสถานการณ์หรือก่อเหตุความไม่สงบต่อเป้าหมายที่อ่อนแอหรือเป้าหมายที่ไม่มีการระวังป้องกันในพื้นที่ได้ ดังนั้น ยังมีความจำเป็นต้องใช้มาตรการแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ดังกล่าวต่อไป (พื้นที่คงเดิม) เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถบริหารจัดการพื้นที่และสามารถดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนในพื้นที่ได้อย่างต่อเนื่องและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งยังมีความจำเป็นต้องใช้มาตรการตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาที่กระทำความผิดเพราะหลงผิดหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์แต่กลับใจเข้ามอบตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยให้เข้ารับการอบรมตามคำสั่งศาลและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนดแทนการดำเนินคดีอาญา ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้นั้นกลับตัวอันจะเป็นประโยชน์ต่อการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จึงสมควรให้ขยายระยะเวลาการประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในเขตพื้นที่ 20 อำเภอดังกล่าว ออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2569 โดยเป็นการขยายระยะเวลาการประกาศฯ ครั้งที่ 20
7. เรื่อง ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น จำนวน 35,960,000,000 บาท ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลดยอดลูกหนี้รอการชดเชยของรัฐบาลให้แก่ ธ.ก.ส. โดยเบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น โดยเมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้แก่ ธ.ก.ส. แล้ว ให้สำนักงบประมาณอนุมัติเงินจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ไปยัง ธ.ก.ส. โดยสอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามที่กำหนดในระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 ต่อไป ทั้งนี้
การดำเนินการดังกล่าวจะทำให้ ธ.ก.ส. มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นและสามารถมีเงินหมุนเวียนในการให้ความช่วยเหลือประชาชนและเกษตรกรที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น
ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจต่อไป
8. เรื่อง มาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาท ตลอดสายตามนโยบายรัฐบาล สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดงสายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์ - ตลิ่งชัน) และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์ - รังสิต) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอดังนี้
1. ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 เรื่อง มาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ 2) โดยทบทวนมติดังกล่าว ซึ่งระบุว่า “ให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 เรื่อง มาตรการอัตราค่าโดยสาร สูงสุด 20 บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์ - ตลิ่งชัน) และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์ - รังสิต) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย จากเดิมสิ้นสุดมาตรการวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 เป็นสิ้นสุดมาตรการวันที่ 30 กันยายน 2568” ให้ดำเนินตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 เรื่อง มาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์ - ตลิ่งชัน) และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์ - รังสิต) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ตามกรอบเวลาสิ้นสุดมาตรการถึงวันที่
30 พฤศจิกายน 2568 ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้คราวนั้น
2. การดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ 2) เมื่อร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติตั๋วร่วมพ.ศ. .... ประกาศใช้เพื่อรองรับการดำเนินงานที่เหมาะสมและชัดเจนแล้ว ให้กระทรวงคมนาคมรวบรวมข้อมูล ทั้งหมดเพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
3. ให้กระทรวงคมนาคมประเมินผลการดำเนินมาตรการโดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ปริมาณผู้โดยสารและรายได้ ซึ่งจะส่งผลต่อภาระการชดเชยจากภาครัฐ และคำนึ่งถึงความสะดวกสบายในการเดินทางและการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน เป็นต้นเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาการดำเนินมาตรการดังกล่าวต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 รัฐบาลได้กำหนดนโยบายสำคัญที่จะเป็นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศ เพื่อคืนความเชื่อมั่นและความสุขให้กับพี่น้องคนไทย โดยในด้านเศรษฐกิจ จะสร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนในชีวิตประจำวัน อาทิ ค่าพลังงาน ค่าน้ำดื่มสะอาด ค่าโดยสาร ค่าผ่านทาง เพื่อให้มีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยขณะนี้กรมการขนส่งทางรางและสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรอยู่ระหว่างเร่งผลักดันกฎหมาย ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติตั๋วร่วม พ.ศ. .... ประกาศใช้โดยเร็วเพื่อเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนการดำเนินมาตรการลดค่าโดยสารระบบขนส่งมวลชนทางรางให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ในการนี้กระทรวงคมนาคมเห็นควรให้มีการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์ - ตลิ่งชัน) และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์ - รังสิต) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และรถไฟฟ้ามหานครสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาลอันจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
แต่งตั้
9. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2568 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี