'ธรรมนัส'ลั่นโคราชคือรั้วหน้าบ้านอีสาน ถ้าไม่พัฒนา อีก 19 จังหวัดไปต่อไม่ได้ ลุยโครงการผันน้ำลำตะคอง เร่งแก้วิกฤตแล้ง พร้อมเคลียร์หนี้สหกรณ์ให้เกษตรกร ทั่วประเทศ
เมื่อวันที่ 5 ต.ค.2568 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจราชการใน จ.นครราชสีมา โดยเดินทางไปยังโรงเรียนมัธยมด่านขุนทด และ โรงเรียนห้วยแถลงพิทยาคม โดยมี นายรชตะ ด่านกุล สส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย,นายปรีดา บุญเพลิง และ นายกฤดิทัช แสงธนโยธิน สส.บัญชีรายชื่อ,น.ส.กาญจนา จังหวะ สส.ชัยภูมิ รวมถึง นายมารุต ชุ่มขุนทด คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้การต้อนรับ
โดยร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า จังหวัดนครราชสีมา มักประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ซึ่งได้รับผลกระทบทุกปี ส่งผลให้ประชาชนและเกษตรกรได้รับความเดือดร้อน ขณะเดียวกัน พื้นที่ต้นน้ำลำตะคองกลับประสบปัญหาภัยแล้งในฤดูร้อน โคราชเป็นหัวใจของอีสาน ถ้าโคราชไม่เจริญ อีก 19 จังหวัดในภาคอีสานก็ยากจะพัฒนาได้ โคราชเปรียบเสมือนประตูสู่อีสาน หากเปรียบบ้านคือประเทศไทย โคราชคือ รั้วหน้าบ้าน ที่สะท้อนความมั่นคงของภูมิภาค ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง จึงต้องได้รับการพัฒนาอย่างจริงจัง ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการน้ำ และการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
ซึ่งรัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เป็นรัฐบาลที่มุ่งเน้นการทำงานเชิงรุก โดยท่านได้มอบหมายให้ตนกำกับดูแล 4 กระทรวงหลัก รวมถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงท่องเที่ยว และกระทรวงพัฒนาความมั่งคงของมนุษย์ ซึ่งมีความสำคัญต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกระดับ ตนขอให้ข้าราชการทุกกรมถือว่าการสั่งการในครั้งนี้เป็นคำสั่งของเจ้ากระทรวงโดยตรง เพราะปัญหาของเกษตรกรเป็นเรื่องที่ต้องเร่งแก้อย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงการรับฟังแล้วผ่านไป
สำหรับ ปัญหาใหญ่ของภาคเกษตรไทยขณะนี้เกษตรกรจำนวนมากต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นทุกปี แต่ราคาผลผลิตกลับไม่ขยับตาม เนื่องจากปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง น้ำมัน และไฟฟ้า อยู่ในมือของกลุ่มทุนรายใหญ่ ทำให้เกษตรกรตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและขาดความสามารถในการแข่งขัน ทุกปีประเทศไทยผลิตข้าวได้ประมาณ 30 ล้านตัน ส่งออกได้ราว 10 ล้านตัน อีก 7-8 ล้านตันเป็นการบริโภคในประเทศ ที่เหลือกว่า 13 ล้านตัน กลายเป็นสต๊อกล้นตลาด ราคาข้าวจึงตกต่ำ พ่อค้าคนกลางกดราคา ชาวนาจึงขาดทุนซ้ำซาก ทางออกของปัญหานี้คือ กระทรวงเกษตรฯ จะใช้ศักยภาพของสหกรณ์ทั่วประเทศเป็นฐานสำคัญ โดยสั่งให้เร่งจัดตั้งโครงการผลิตปุ๋ยในระบบสหกรณ์ เพื่อจำหน่ายในราคาต่ำกว่าท้องตลาด เพื่อลดการพึ่งพากลุ่มทุน และลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกรโดยตรง
“ผมได้เถียงในสภาฯเรื่องพืชตัดต่อพันธุกรรม (Genetically Modified Organism) หรือ GMOs กับ การปรับปรุงพันธุกรรมพืช Genome Editing หรือGEd ผมยืนยันว่า เราไม่เอาการตัดต่อพันธุกรรม GMOs เด็ดขาด แต่การปรับปรุงพันธุกรรมพืช GEd เป็นการปรับปรุงพันธุกรรมในพืชหรือสิ่งมีชีวิตเดียวกันให้มีความเข้มแข็ง อย่างเช่น โรคใบด่างในมันสำปะหลัง ซึ่งต้องชื่นชมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ที่สามารถวิจัยเอายีนส์ที่ด้อยของมันสำปะหลังออก และนำยีนส์ที่แข็งแรงใส่เข้าไป ทำให้สามารถแก้โรคใบด่างได้กว่า 90 %“ ร.อ.ธรรมนัสกล่าว
ร.อ.ธรรมนัส บอกอีกว่า ในส่วนการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรยืนยันว่า รัฐบาลจะไม่ทอดทิ้งลูกหนี้ภาคเกษตร แต่จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการหนี้อย่างเป็นระบบ ผ่านกลไกของสหกรณ์ทั่วประเทศ วันนี้ลูกหนี้เกษตรกรไม่ได้ขออะไรมาก เขาแค่อยากมีโอกาสตั้งตัว ตนจะดำเนินการให้เกษตรกรชำระหนี้ 50 % ส่วนที่เหลือภาครัฐจะเข้ามาช่วยรับภาระ รัฐบาลของท่านอนุทินจะไม่ทอดทิ้งใคร ทัังนี้ ร.อ.ธรรมนัส ได้กำชับให้กรมส่งเสริมสหกรณ์เร่งจัดทำระเบียบแนวทางรองรับ เพื่อใช้รูปแบบคล้ายกองทุนฟื้นฟูหนี้สหกรณ์ ให้เกิดผลในทางปฏิบัติจริง ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะมีการประชุมกำหนดทิศทางที่ชัดเจนในวันพฤหัสบดีที่ 9 ต.ค.นี้
ขณะที่การจัดการบริหารทรัพยากรน้ำนี้นเบื้องต้นตน ได้สั่งการให้เร่งเดินหน้าโครงการผันน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มาสู่ลำตะคอง โดยใช้ระบบท่อใต้ดินและท่อลอย เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและพื้นที่เกษตร และเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งให้ชาวโคราชซึ่งโครงการนี้จะช่วยให้โคราชมีน้ำใช้ตลอดปี ทั้งเพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนได้ลงพื้นที่สำรวจแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และจะนำงบประมาณโครงการนี้บรรจุในงบปี 2570ในวันนี้ถือเป็นการประชุมหัวหน้าส่วนราชการของกระทรวงเกษตรฯ นอกสถานที่ เพื่อรับฟังปัญหาด้านการเกษตรและหารือแนวทางแก้ไขร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกร โดยจะนำข้อสรุปที่ได้จากการประชุมดังกล่าวไปขับเคลื่อนแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรในระยะเร่งด่วน โดยได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับเรื่องไปดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ส่วนการแก้ปัญหานมล้นตลาดและราคาตกต่ำ เตรียมตรวจสอบทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
อาทิ ปริมาณนมที่ผลิตได้ในประเทศสอดคล้องกับความเป็นจริงหรือไม่ มีการบริหารจัดการการนำเข้าอย่างไร โดยจะนำข้อมูลเหล่านี้มาปรับโครงสร้างนมทั้งระบบ โดยเฉพาะโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ที่จะบูรณาการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ เคลียร์สต็อกนมคงค้างให้หมดไปใน 6 เดือน โดยเล็งเพิ่มวันให้เด็กนักเรียนได้ดื่มนมมากขึ้น รวมทั้งให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ที่ต้องการส่งเสริมกิจการโคนมในประเทศไทยเพื่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมมีรายได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ การแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรทั้งด้านพืช ประมง และปศุสัตว์ ได้เตรียมหารือร่วมกับภาคเอกชน และภาคอุตสาหกรรมต่อไป ขณะเดียวกัน อาสาสมัครเกษตร (อกม.) ต้องได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม เพราะเป็นตัวแทนของหน่วยงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระดับหมู่บ้านที่เชื่อมโยงภาครัฐและเกษตรกร เพื่อแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรในระดับหมู่บ้าน ซึ่งจะนำเข้า ครม. และผลักดันให้บรรจุในปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ให้ได
ทั้งนี้ ร.อ.ธรรมนัส ได้กล่าวขอบคุณประชาชนในจังหวัดนครราชสีมา พร้อมย้ำว่า การทำงานของรัฐบาลต้องยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่แบ่งฝ่ายการเมือง ไม่ว่าจะเป็น สส.พรรคใดก็เป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งตนไม่เคยถามว่า ใครมาจากพรรคไหน เพราะเราคือผู้แทนของพี่น้องประชาชน สุดท้ายขอฝากชาวโคราชว่า ทุกคะแนนเสียงมีค่า ขอให้เลือกคนที่ตั้งใจทำงาน ไม่ใช่คนที่สวย หล่อ พูดเก่ง แต่ทำอะไรไม่ได้
จากนั้นร.อ.ธรรมนัส พร้อมคณะได้มีการมอบ โฉนดเพื่อการเกษตร ท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง เมล็ดพันธุ์พืชผัก พันธุ์อ้อยคั้นสด ต้นหม่อนพันธุ์ดี และปัจจัยการผลิต อื่น ๆ แก่เกษตรกรด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี