ครม.ไฟเขียว‘คนละครึ่งพลัส’ เช็คสิทธิ์ด่วนที่นี่-เริ่มใช้ 29 ต.ค.นี้

ครม.ไฟเขียว‘คนละครึ่งพลัส’ เช็คสิทธิ์ด่วนที่นี่-เริ่มใช้ 29 ต.ค.นี้

วันอังคาร ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 15.11 น.

ครม.อนุมัติงบ 44,000 ล้านบาท ทำโครงการ"คนละครึ่งพลัส"ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายจำนวนไม่เกิน 20 ล้านคน เริ่มเปิดลงทะเบียนร้านค้า 15 ตุลาคม ประชาชนลงทะเบียน 20 ตุลาคม เริ่มใช้ 29 ตุลาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ให้สิทธิคนละ 2,000 บาท คนจ่ายภาษีได้เพิ่ม 2,400 บาท ใช้จ่ายได้ 200 บาทต่อวัน

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบโครงการคนละครึ่งพลัส โดยใช้เงินงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ จำนวนไม่เกิน 44,000 ล้านบาท สำหรับกลุ่มเป้าหมายจำนวนไม่เกิน 20 ล้านคน เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในช่วงปลายปี 2568 มากขึ้น


สำหรับการดำเนินโครงการฯ กำหนดระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 โดยเปิดรับลงทะเบียนร้านค้าตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม ถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2568 จากนั้นจะเปิดรับลงทะเบียนประชาชนตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม ถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2568 (เวลา 06.00 - 22.00 น.) โดยประชาชนผู้ได้รับสิทธิสามารถใช้สิทธิโครงการฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 (เวลา 06.00 - 23.00 น.)

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ สำหรับการซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วม โครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตั้ง" สามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 (เวลา 06.00 - 21.00 น.)

นายเอกนิติ กล่าวว่า กลุ่มเป้าหมายโครงการคนละครึ่งพลัสครั้งนี้ แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ 1.เพิ่มสิทธิให้ประชาชนผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีเงินได้กรณีทั่วไป (ภ.ง.ด.90) แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีเงินได้จากการจ้างแรงงานตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ประเภทเดียว (ภ.ง.ด.91) หรือแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ได้รับสิทธิลดอัตราภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.95) ของปีภาษี 2567 ตามฐานข้อมูลของกรมสรรพากร ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 และ 2.ประชาชนทั่วไป

ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายทั้ง 2 กลุ่ม ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ 1) เป็นผู้มีสัญชาติไทย 2) มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน 3) มีบัตรประจำตัวประชาชน 4) ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามฐานข้อมูล ของกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2568 และ 5) ไม่เป็นผู้ที่ถูก สศค.ระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืน ในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 1 - 5

นายเอกนิติ กล่าวว่า การใช้จ่ายเงินในโครงการภาครัฐสนับสนุนเงินร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนด ให้แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายจำนวนไม่เกิน 20 ล้านคน ในอัตราร้อยละ 50 ทั้งนี้ ไม่เกิน 200 บาทต่อคนต่อวัน แต่ไม่เกินจำนวนวงเงินสิทธิที่กำหนด โดยประชาชนผู้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 , ภ.ง.ด.91 หรือ ภ.ง.ด.95 ในปีภาษี 2567 จะได้รับวงเงินสิทธิ ไม่เกิน 2,400 บาทต่อคน และประชาชนทั่วไปจะได้รับวงเงินสิทธิไม่เกิน 2,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาใช้จ่ายของโครงการฯ

ทั้งนี้ ประชาชนกลุ่มเป้าหมายสามารถใช้สิทธิในโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" เพื่อซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ หรือซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มจากร้านค้า ที่เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ โดยรับชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน "ถุงเงิน" ซึ่งกระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางจะดำเนินการโอนเงินในส่วนที่ภาครัฐ ร่วมจ่ายให้แก่ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ภายในระยะเวลาที่กำหนดต่อไป

นายเอกนิติ กล่าวว่า รัฐบาลตั้งเป้าหมายการผลักดันมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ให้ขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 2.2% โดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายไตรมาสที่ 4 ซึ่งจากนี้ไปรัฐบาลจะพยายามออกมาตรการกระตุ้นด้านต่างๆ ออกมาทุกสัปดาห์ หลังจากมีการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมีโครงการคนละครึ่งพลัสออกมาแล้ว

ทั้งนี้ รัฐบาลประเมินการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในช่วงปลายปี 2568 ว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 จะขยายตัวได้ตามเป้าหมาย ภายหลังจากได้อนุมัติการเติมเงินลงไปยังบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนละ 2,000 บาท โดยเพิ่มวงเงินลงไปในบัตรอีกคนละ 850 บาท รวม 2 เดือน คือเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2568 ครอบคลุมผู้มีรายได้น้อยจำนวน 13.4 ล้านคน ซึ่งใช้วงเงินงบประมาณรวม 22,780 ล้านบาท

เมื่อรวมกับโครงการคนละครึ่งพลัส ที่ผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายจำนวนไม่เกิน 20 ล้านคน ซึ่งใช้งบประมาณอีก 44,000 ล้านบาท ในส่วนของรัฐบาล และเมื่อรวมเงินของประชาชนที่จะเพิ่มเข้าไปอีกครึ่งคือ 44,000 ล้านบาท จะทำให้มีวงเงินในโครงการนี้รวมกัน 88,000 ล้านบาท และเมื่อรวมทั้งสองโครงการเข้าด้วยกันจะทำให้ในช่วงปลายปี 2568 มีเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจรวมกัน อย่างน้อย 1.1 แสนล้านบาท

"ในช่วงไตรมาสที่ 4 คิดว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ติดหล่ม เพราะเงินจากโครงการคนละครึ่งพลัส และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะมีผลต่อ GDP ขั้นต่ำประมาณ 0.6% และจากนี้ไปรัฐบาลจะมีมาตรการอื่นตามมา โดยพยายามจะให้ออกทุกกสัปดาห์ตามมาตรการ Quick Big Win ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสที่ 4 น่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 1% จากมาตรการที่ออกมา" นายเอกนิติ ระบุ

ขณะที่ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีการพิจารณาโครงการคนละครึ่งพลัส ตามนโยบายรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้

1.เห็นชอบโครงการคนละครึ่งพลัส (โครงการฯ) และกรอบวงเงินงบประมาณจำนวนไม่เกิน 44,000 ล้านบาท โดยมอบหมาย กค.โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขรายละเอียดที่ไม่ขัดกับหลักการโครงการฯ เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเกิดประสิทธิภาพ

2.เห็นชอบให้ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวนไม่เกิน 25,000 ล้านบาท และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวนไม่เกิน 25,000 ล้านบาท โดยจัดสรรให้แก่ สศค.และอนุมัติให้ สศค.เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการฯ

3.เห็นชอบให้ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนไม่เกิน 19,000 ล้านบาท โดยจัดสรรให้แก่ สศค.สำหรับการดำเนินโครงการฯ ทั้งนี้ สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนไม่เกิน 19,000 ล้านบาท กค.โดย สศค.จะได้ดำเนินการขอรับจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามขั้นตอนและวิธีการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

4.มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้

(1) กค.โดยกรมบัญชีกลางทำหน้าที่เบิกจ่ายเงินแทนกัน

(2) กระทรวงมหาดไทย (มท.) โดยกรมการปกครองตรวจสอบคุณสมบัติและคัดกรองกลุ่มเป้าหมายด้านการทะเบียนราษฎรโครงการฯ และหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ ตามที่ กค.โดย สศค.กำหนด

(3) สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กรมการค้าภายใน กรมการขนส่งทางบก กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กรมการพัฒนาชุมชน สนับสนุนข้อมูลร้านค้าให้ สศค.เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติร้านค้าเป็นร้านค้าในโครงการฯ

(4) มท.และกรุงเทพมหานครดำเนินการยืนยันการประกอบกิจการจริงของร้านค้าที่ประสงค์สมัครเข้าร่วมโครงการฯ

5.เห็นชอบให้ สศค.มอบอำนาจให้หน่วยงานในสังกัด มท.ที่ได้รับมอบหมายดำเนินการทางกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ แทน สศค.โดยให้ร่วมกันจัดทำบันทึกข้อตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการมอบอำนาจต่อไป

6.เห็นชอบในหลักการการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ได้รับสิทธิตามโครงการฯ และมอบหมาย กค.โดยกรมสรรพากรพิจารณาดำเนินการยกร่างกฎหมายและเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

"โครงการคนละครึ่งพลัส เป็นโครงการตามนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจถึงระดับฐานราก โดยภาครัฐให้การสนับสนุนเงินร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดให้แก่ประชาชนผู้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อเพิ่มอุปสงค์การบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อยทุกระดับมีรายได้จากการขายสินค้าและให้บริการ เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพในชีวิตประจำวันแก่ประชาชนให้มีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ตลอดจนเพิ่มการบริโภค สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนโนระบบ กระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศในช่วงปลายปี 2568 ได้อย่างรวดเร็ว โดยกระทรวงการคลังประมาณการว่าการดำเนินโครงการฯ จะทำให้มีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวนประมาณ 88,000 ล้านบาท และช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.21 - 0.22 ในปี 2568 เมื่อเทียบกับไม่มีโครงการฯ รวมทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะเอื้อให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีอากรได้เพิ่มขึ้นในระยะต่อไป โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 และได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วนแล้ว" โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ

- 006

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top