‘มงคลกิตติ์’ขอทบทวนเส้นทางการเมือง หลังลาออกสมาชิกปชป. เหตุผู้เคารพรักไม่ไปต่อ ย้ำยังติดหนี้บุญคุณของประชาชนที่ฝากความหวังในการแก้ไขปัญหา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ ได้กล่าวถึงอนาคตทางการเมืองหลังจากที่ได้ลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์มาแล้วว่า ขณะนี้ตนมีอายุ 44 ปี และได้สัมผัสถึงรสชาติทางการเมืองมาถึง 18 ปี
ซึ่งตนก็ผ่านอะไรมามาก ทั้งสิ่งที่ทำสำเร็จและภูมิใจ รวมทั้งความล้มเหลว ผิดพลาดเกือบติดคุก และตัวเองก็ยังมีคดีความ และเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับตนมากมาย เกือบหมดแรงใจที่จะไปต่อ แต่ทุกวันนี้ ตนยังคิดว่า ขณะนี้ประชาชนยังมีปัญหาที่รอให้ตนดำเนินการแก้ไข และยังมีประชาชนอีกจำนวนมากที่ชื่นชอบการทำงานของตน เพราะฉะนั้น ชีวิตของตนต่อไปจากนี้ มีทางเลือกอยู่ไม่มาก ทางแรกก็คือ ตัดสินใจลาออกทิ้งการเมือง ทิ้งความฝัน ทิ้งอุดมการณ์ ตั้งแต่วัยเด็ก ปลีกตัวมาทำงานภาคเอกชน ดูแลครอบครัว ดูลูกโตมีอนาคต จวบจนสิ้นอายุขัย ไม่ยุ่งเกี่ยวข้องทางการเมืองอีก และทางที่ 2 ก็คือ ร่วมตั้งพรรคการเมือง เป็นครั้งที่ 2 เพราะตนเองก็ไม่ได้มีคุณลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ หรือจะเข้าพรรคการเมืองใหญ่ สานต่ออุดมการณ์เดิมที่เป็นความฝัน ความหวัง ในวัยเด็ก ทำจนสำเร็จและภาคภูมิใจ ไม่กลัวสิ่งใดๆทั้งสิ้น พร้อมถอดเกียร์ถอยหลังออก พร้อมใส่เกียร์ห้าเดินหน้าเพื่อประชาชนจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ลำบากใจ เพราะเวลาในการตัดสินใจที่มีอย่างจำกัด ซึ่งจะต้องตอบให้ได้ก่อนที่จะมีการยุบสภา ในช่วงประมาณปลายเดือนมกราคม 2569 นี้
“ชีวิตผมมีความฝันที่จะทำงานทางการเมืองมาตลอดชีวิต ตั้งแต่การทำงานในองค์กรที่มีจุดประสงค์ในการต่อต้านการทุจริต ซึ่งสามารถหยุดยั้งการทุจริตได้หลายๆ โครงการ ถือเป็นการปกป้องเงินประมาณและรักษาคุณภาพชีวิตของประชาชน จากนั้น ผมก็ได้เดินเข้าสู่เส้นทางทางการเมืองในหลายบทบาท ตั้งแต่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในปี 2550 สั่งสมประสบการณ์จากหน้าที่ต่างๆ ในสภาผู้แทนราษฎร และสภาที่ตั้งขึ้นในช่วงหลังการรัฐประหารปี 2557 ต่อมา ผมก็ได้รวบรวมคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน จัดตั้ง พรรคไทยศรีวิไลย์ ขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2562 จนกระทั่งประชาชนได้ให้ความไว้วางใจให้ผมเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ซึ่งผมมีบทบาทมากมายจนเป็นที่จับจ้องของบรรดาสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป แล้วผมก็มีความฝันอย่างยิ่งใหญ่ว่า จะผลักดันให้พรรคไทยศรีวิไลย์ เป็นตัวแปรในการจัดตั้งรัฐบาล จึงได้มีการเดินหน้าหาสมาชิกในการเลือกตั้งปี 2566 แต่เมื่อไม่ถึงความฝันที่ตั้งไว้ ก็เลยตัดสินใจที่จะทบทวนบทบาททางการเมืองของตนเอง จึงได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเกือบ 2 ปี ที่ได้เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ผมก็ได้เรียนรู้ถึงการทำงานของพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันจริงๆ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่หาไม่ได้จากพรรคการเมืองอื่นๆ รวมทั้ง แววตาของประชาชนที่ยังรักและศรัทธาในพรรคประชาธิปัตย์ ยังประทับในจิตใจผมอยู่เสมอ แต่ในเมื่อบุคคลที่ผมเคารพรักในพรรคลาออกไปแล้ว ผมก็ได้ตัดสินใจลาออกตาม เพราะถือเป็นการตอบแทนบุญคุณที่บุคคลผู้นั้นได้ให้โอกาสผมมา และในวันนี้ ผมก็ต้องกลับมาพิจารณาบทบาทของชีวิตตัวเองอีกครั้ง ว่าจะไปในทิศทางใด ทั้งนี้ ผมยังพอมีเวลาที่จะตัดสินใจอยู่ ซึ่งผมจะพยายามคิดให้รอบด้านก่อนตัดสินใจว่า จะไปทางไหน เพราะผมยังติดหนี้บุญคุณของประชาชนที่ฝากความหวังกับผมในการแก้ไขปัญหาประชาชนตลอดมาด้วย” นายมงคลกิตติ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี