'กต.'จ่อหารือครม.เศรษฐกิจ ปมผลกระทบเอกชนไทยในกัมพูชาสัปดาห์หน้า ยันไร้ข้อเสนอเปิดด่าน

'กต.'จ่อหารือครม.เศรษฐกิจ ปมผลกระทบเอกชนไทยในกัมพูชาสัปดาห์หน้า ยันไร้ข้อเสนอเปิดด่าน

วันศุกร์ ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 19.19 น.

'กต.'หารือผู้แทนภาคเอกชนไทยในกัมพูชา พร้อมรับฟังปัญหาอุปสรรคจากผลกระทบชายแดน จ่อชงผลหารือเข้าครม.เศรษฐกิจสัปดาห์หน้า ยันไร้ข้อเสนอเปิดด่าน ย้ำไทยยึดสันติวิธี

เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2568 นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวภายหลัง นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (รมว.กต.) และผู้บริหารของ กต.ที่เกี่ยวข้อง ได้พบหารือกับผู้แทนภาคเอกชนไทยที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในกัมพูชา เพื่อรับฟังปัญหาและอุปสรรคของภาคเอกชนไทยในกัมพูชา ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งจะได้นำข้อมูลดังกล่าวนี้ไปใช้กำหนดนโยบายเพื่อหาทางแก้ไข เยียวยา ลดผลกระทบและเสริมสร้างขีดความสามารถให้กับภาคเอกชนไทยในกัมพูชา


โดยในการหารือครั้งนี้มีผู้แทนจากภาคส่วนต่างๆ เข้าร่วมประมาณ 90 คน ทั้งผู้แทนจากภาครัฐ ได้แก่กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงการคลัง กรมศุลกากร รวมถึงธนาคาร เช่น เอ็กซิมแบงค์ รวมถึงผู้แทนจากภาคเอกชน หลายกลุ่มธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นภาคการเงินการธนาคาร การเกษตรและปศุสัตว์ พลังงาน การก่อสร้าง การค้าปลีก ค้าส่ง สายการบิน ภาคบริการ บันเทิง ท่องเที่ยว โลจิสติกส์ โรงพยาบาล ตลอดจนสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย  สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา  สมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา และหอการค้าประจำจังหวัดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมี 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา 

นายนิกรเดช กล่าวต่อว่า เป็นการหารือที่ครอบคลุมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด จึงเป็นโอกาสสำคัญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้รับฟังและเห็นภาพที่เกิดขึ้นจริงกับภาคเอกชนด้วยตนเอง โดยได้เชิญผู้แทนจากภาคส่วนต่างๆ ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเล่าให้ฟังถึงปัญหา

นายนิกรเดช กล่าวว่า ถึงข้อมูลความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจ ทางด้านการค้าการลงทุน การท่องเที่ยวระหว่างไทยกับกัมพูชา ก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ความตึงเครียดขึ้น ว่า ทางด้านการค้าก่อนเกิดสถานการณ์ความตึงเครียดไทยเป็นคู่ค้าอันดับที่4 ของกัมพูชา ในปี 2567 มูลค่าการค้าระหว่างกันอยู่ที่ประมาณหนึ่งหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และสองประเทศได้ตั้งเป้าที่จะให้ยอดการค้าสูงขึ้นเป็นหนึ่งหมื่นห้าพันดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2570 โดยการค้าชายแดนมีอัตราส่วนสูงถึง 50 % ของมูลค่าการค้ารวม อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมูลค่าการค้าลดลงอย่างมาก โดยเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีตัวเลขเพียง 10 ล้านบาท ขณะที่สินค้าไทย หลายรายการโดยเฉพาะสินค้าประเภทอุปโภคบริโภค และธุรกิจบันเทิงที่เคยเข้าถึงชีวิตประจำวันของชาวกัมพูชา ได้ทยอยกันสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดในกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ในด้านการลงทุน ไทยเป็นผู้ลงทุนอันดับ 9 ของกัมพูชา โดยเมื่อปี 2567 มูลค่าการลงทุนอยู่ที่ประมาณ หนึ่งพันหนึ่งร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ  ในส่วนของการท่องเที่ยว เมื่อปี 2567 นักท่องเที่ยวกัมพูชา เดินทางมาประเทศไทยจำนวน 550,000 คน  ในขณะที่นักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปกัมพูชา ประมาณ 2,000,000 คน ถือเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ อันดับหนึ่งของกัมพูชา 

นายนิกรเดช กล่าวถึงสาระสำคัญจากการประชุมในวันนี้  ว่า ที่ประชุมได้มีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบด้านการค้าการส่งออกและธุรกิจอื่นๆ รวมทั้งแนวทางการปรับตัวของภาคธุรกิจไทยในกัมพูชาในห้วงที่ที่ผ่านมา ซึ่งนายสีหศักดิ์ รมว.กต. ก็ได้กล่าวขอบคุณภาคเอกชนไทยในกัมพูชาที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยและส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ  แต่ด้วยสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ได้มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในมิติอื่นๆ เกือบทุกมิติ โดยเฉพาะมิติเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระดับประชาชน การค้าชายแดนได้ชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่มาตรการต่างๆของฝ่ายกัมพูชา เช่น การห้ามนำเข้าน้ำมัน ห้ามนำเข้าผักและผลไม้จากไทย ห้ามฉายหนังและละครไทย ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจหลายกลุ่ม และกระแสต่อต้านสินค้าไทยในกัมพูชาก็รุนแรงขึ้น อันเนื่องมาจากการสนับสนุนของผู้บริหารระดับสูงของกัมพูชา ก็ได้ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าไทยในกัมพูชา

ทั้งหมดนี้ สะท้อนถึงสิ่งที่รัฐบาลไทย ไม่ประสงค์จะให้เกิด นั่นก็คือการขยายตัวของปัญหาความขัดแย้ง ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนรวมถึงภาคธุรกิจของทั้งสองฝ่าย ประเทศไทยเราย้ำมาโดยตลอดว่าปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาระหว่างรัฐ ไม่ควรให้เป็นปัญหาที่น้องประชาชนจะต้องเดือดร้อน ซึ่งการดำเนินการของฝ่ายไทยที่ผ่านมาเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะจุด มิได้มีเป้าโจมตีประชาชนแต่อย่างใด แต่ฝ่ายกัมพูชายังคงดำเนินมาตรการต่างๆโดยตั้งใจและจงใจให้ประชาชนได้รับผลกระทบไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม 

ในวันนี้ท่านรัฐมนตรีสีหศักดิ์ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับฟังอุปสรรค ความท้าทายของภาคเอกชนไทย รวมทั้งประเด็นที่ต้องการรับการสนับสนุนจากภาครัฐ รวมถึงได้มีการแชร์ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์จากผู้แทนหอการค้า 7 จังหวัดชายแดนไทย เพื่อแก้ไขปัญหา ทั้งในระยะเร่งด่วน ระยะ ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งรัฐบาลจะนำข้อเสนอเหล่านี้ ไปพิจารณากำหนดมาตรการสนับสนุนและเยียวยาที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งการหารือของรัฐบาลก็ไปเกิดขึ้นใน ครม.เศรษฐกิจ หรือ คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นรองประธาน 

สำหรับการดำเนินการขั้นต่อไป สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพของหน่วยงานไทย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้แนวคิดทีมไทยแลนด์ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างรอบด้านและยั่งยืน โดยกระทรวงการต่างประเทศจะประสาน และหารืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมหาทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย 

การดำเนินการแก้ไขปัญหาสำหรับภาคเอกชนไทย นี้ก็สอดคล้องกับนโยบายที่เราได้แถลงต่อรัฐสภาไป เรื่องนโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก ที่กระทรวงการต่างประเทศผู้ขับเคลื่อนเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับภาคธุรกิจไทย ทั้งในด้านการค้า การลงทุน การขยายตลาดใหม่ไปยังภูมิภาค ที่มีศักยภาพ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพ สามารถปรับตัวท่ามกลางความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ และเท่าทันต่อมาตรการทางการค้าระหว่างประเทศที่อาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้ 

นายนิกร กล่าวยืนยันว่า ประเทศไทยมุ่งมั่น ที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งกับกัมพูชา โดยสันติวิธี ไทยได้เลือกเดินบนเส้นทางแห่งสันติภาพและความร่วมมือ และหวังว่ากัมพูชา จะร่วมเดินทางบนเส้นทางเดียวกับไทย เพื่อความสงบสุขและเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของพี่น้องประชาชน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ผู้ประกอบการภาคเอกชนที่ทำธุรกิจในกัมพูชา สะท้อนปัญหาอะไรมาเป็นปัญหาหลัก ที่อยากให้รัฐบาลช่วยเยียวยา หรือธุรกิจมีปัญหาอุปสรรคอะไร หลังจากที่กัมพูชา ยืนยันแบรนด์สินค้าไทย นายนิกรเดช กล่าวว่า ข้อเสนอมีหลายข้อเสนอ มาตรการที่อยากจะให้ภาครัฐนำไปพิจารณา เช่น มาตรการภาษี มาตรการทางการเงิน วงเงินสินเชื่อ การช่วยเหลือด้านค่าไฟ ฯลฯ ซึ่งทางกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กต. ก็จะนำข้อเสนอเหล่านี้รวบรวมไปเสนอเข้าครม. เศรษฐกิจ แล้วคลอดออกมาเป็นนโยบาย ที่จะช่วยเหลือภาพเอกชนได้ตามข้อเสนอข้อเรียกร้อง ส่วนผลกระทบก็มีหลายๆเรื่องของการค้าชายแดนที่ปิดตัวลง ซึ่งทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบกันหมดจากการรณรงค์ไม่ให้บริโภคสินค้าไทย ซึ่งรงนี้ก็ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า  เช่น ธุรกิจพลังงาน  กาแฟอเมซอน ที่อยู่ใน ปตท. และลุกลามไปถึงธุรกิจอาหาร โรงแรม บริการ โรงพยาบาล ร้านสะดวกซื้อ ซีพี ธุรกิจเล็ก ใหญ่ได้รับผลกระทบหมด สาเหตุมาจากคนไม่ต้องการบริโภคสินค้าไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราพยายามไม่ให้เกิด เพราะเป็นเรื่องระหว่างรัฐต่อรัฐ แต่ตอนนี้มีเรื่องของความรู้สึก ต้องการจะบอยคอร์ดสินค้าไทย บริการไทยในภาพรวม ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไปว่าจะแก้ไขกันอย่างไร 

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า มีภาคเอกชน ได้สื่อสารออกมาไหมว่าได้รับผลกระทบจากการปิดพรมแดนลากยาวนี้มากน้อยเท่าไหร่ และภาคเอกชนมีแผนปรับตัวจะมีการย้ายฐานการผลิตหรือไม่อย่างไร นายนิกรเดช กล่าวว่า ตัวเลขสถิติไม่มีการพูดในที่ประชุม แต่เป็นสถิติของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์ได้แลกเปลี่ยนกันอยู่แล้ว ซึ่งภาครัฐเราทราบอยู่แล้ว โดยเฉพาะสถิติที่ไม่ได้เปิดการค้าชายแดน เราทราบว่ามีการค้าชายแดน 50% ของมูลค่าการค้ารวม ดังนั้นหายไปค่อนข้างมากถึง 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ส่วนมาตรการหรือแผนที่ภาคเอกชนมองว่าจะทำอย่างไรนั้น ซึ่งตอนนี้เป็นมาตรการชั่วคราว เช่นกันการไม่ขนส่งสินค้าทางบก ไปใช้ทางเรือแทน เป็นต้น หรือทางอากาศ ซึ่งยังไม่ใช่มาตรการถาวร ซึ่งทุกฝ่ายก็ยังรอดูว่าการที่เราเริ่มเข้าสู่กระบวนการเจรจาทวิภาคี ผ่านกลไกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น จีบีซี เจบีซี อาร์บีซี ข้อตกลงหยุดยิง จะนำไปสู่สันติภาพที่ถาวรได้หรือไม่ ดังนั้น ทุกคนก็รอดูตรงนี้ และเราเองก็ยังมีความเชื่อมั่นในการเจรจาทวิภาคีว่าจะนำไปสู่ข้อยุติข้อตกลงได้จะช้าหรือจะเร็วเท่านั้นเอง เราได้บอกไปแล้วว่าเงื่อนไขมีอยู่ไม่กี่อย่างที่จะพิสูจน์ว่าประเทศเพื่อนบ้านของเราจะมีความจริงใจในการเจรจาหรือไม่ เมื่อมีความชัดเจนตรงนั้น สถานการณ์ก็น่าจะค่อยเยียวยาตนเองเข้าไปได้ระดับหนึ่ง ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ถึงได้มีการประชุมในวันนี้ โดยเชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมดมาหารือพูดคุยกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ภาคเอกชน ได้ขอให้มีการเปิดด่านการค้าทางบกหรือไม่ และทางกระทรวงการต่างประเทศ จะเสนอเข้าครม.เศรษฐกิจ ในวันที่ 14 ตุลาคมนี้หรือไม่ นายนิกรเดช กล่าวว่า ถ้าเอกชนไม่มีเสนอในที่ประชุมว่าจะขอให้เปิดด่าน ยืนยันว่าไม่ได้มีข้อเสนอนี้ แต่มีคำถามว่าแล้วด่านจะกลับมาเปิดได้อีกเมื่อไหร่ ตนเชื่อว่าภาคเอกชนไทยทุกคนก็ทราบดีว่าเพราะเหตุใดด่านถึงปิดลง ไม่ใช่เหตุผลด้านการค้าเลย เป็นเหตุผลด้านความปลอดภัยตามแนวชายแดน ดังนั้นเอกชนก็แสดงความเข้าอกเข้าใจ ส่วนเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศจะนำผลการประชุมนี้เข้าครม.เศรษฐกิจ ในโอกาสแรก เป็นไปได้ว่าจะเข้าในสัปดาห์หน้าเลย หากไม่ใช่อาทิตย์หน้าด้วยวาระเต็ม ก็อาจจะเป็นอาทิตย์ถัดไป แต่เข้าภายในเดือนตุลาคมนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการพูดถึง ที่ชาติมหาอำนาจ ขอเข้ามาช่วยเป็นตัวกลางในการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา อาจวิเคราะห์ได้ว่าเกิดจากความสนใจในรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ถ้าหากเขาไม่ได้รางวัลนี้แล้วความสนใจที่จะเข้ามาเป็นตัวกลาง เราประเมินว่าน้อยลงหรือไม่ นายนิกรเดช กล่าวว่า ถ้าหมายถึงสหรัฐฯ ตนก็บอกไม่ได้ว่าความสนใจของประเทศนั้นจะลดลงหรือไม่ เรามองว่าเป็นการกระทำที่หวังดี ที่ต้องการให้มีสันติภาพ เราก็ขอขอบคุณในความหวังดีนั้นไปแล้ว ตนคิดว่าด้วยความหวังดีตรงนั้น การได้โนเบลหรือไม่ได้โนเบล ความหวังดีนั้นก็คงจะมีต่อไป และเราก็กล่าวผลไปแล้ว อย่างไรก็ดีเราก็ขอให้ประเทศมหาอำนาจนั้นช่วยเราด้วยว่าเรามีสิ่งที่เราขอสาม-สี่อย่าง จากฝ่ายกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถอนอาวุธหนัก เก็บกู้ทุ่นระเบิด การจัดการกับบริเวณชายแดน เรื่องคอลเซ็นเตอร์ ก็ช่วยอธิบายให้ฝั่งกัมกัมพูชาร่วมมือกับเราด้วย และเราก็พร้อมอยู่แล้วที่จะมีสันติภาพ 
 

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top