‘เพื่อไทย’ดันร่างแก้รธน.ของพรรคเป็นหลัก ลดเสี่ยงส.ส.ร.ติดล็อก-สกัดฮั้ว

‘เพื่อไทย’ดันร่างแก้รธน.ของพรรคเป็นหลัก ลดเสี่ยงส.ส.ร.ติดล็อก-สกัดฮั้ว

วันอาทิตย์ ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 12.06 น.

‘เพื่อไทย’รับหลักการ 3 ร่างแก้รัฐธรรมนูญ จ่อเสนอใช้ร่างพรรคเป็นร่างหลัก หวั่น‘ส.ส.ร.จัดตั้ง’ไม่ยึดโยงประชาชน-ลดความเสี่ยงถูกยื่นศาล รธน.ตีความ

12 ตุลาคม 2568 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรค พท. แถลงถึงการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมมาตรา 256 แก้ไขเพิ่มเติมหมวด 15/1 ทั้ง 3 ร่าง ได้แก่พรรค พท. พรรคประชาชน (ปชน.) และพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ในวันที่ 14-15 ตุลาคมนี้ ว่า พรรคพท.ยืนยันว่าเพื่อให้การแก้ไขรัฐ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ราบรื่นมากที่สุด เรายินดีที่จะเปิดทางและรับหลักการในวาระหนึ่งทุกฉบับ เพื่อเร่งรัดให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แม้ว่าในการรับหลักการทั้ง 3 ร่างนั้นจะไม่มีปัญหา แต่พรรค พท. ยังมีข้อกังวลและข้อห่วงใยต่อรายละเอียดต่อร่างของพรรค ภท. เป็นอย่างมากเนื่องจากที่มาของส.ส.ร. มีจุดอ่อนเรื่องการยึดโยงกับประชาชน คือการที่ผู้เสนอตัวเป็นส.ส.ร. สามารถเข้าสู่การเลือกของสมาชิกรัฐสภาได้เลย โดยไม่ต้องผ่านกลไกการกลั่นกรองหรือการเลือกโดยพี่น้องประชาชน ผ่านการเลือกตั้งทางตรง ซึ่งสิ่งนี้อาจนำไปสู่ส.ส.ร. จัดตั้งที่สิทธิ์เข้ามาร่างรัฐธรรมนูญ ผ่านกระบวนการฮั้วกัน โดยไม่ต้องสนใจคุณสมบัติหรือความเหมาะสมในสายตาประชาชนแต่อย่างใด


นายชนินทร์ กล่าวต่อว่า ขณะที่ร่างของพรรค ปชน. ที่ปัจจุบันแม้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของส.ส.ร. ให้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ยังมีโครงสร้างของสภาที่ปรึกษาการยกร่าง ซึ่งมีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ฉะนั้น จึงกังวลว่าในอนาคตจะมีผู้ที่หวังจะขัดขวางกระบวนการและหยิบเรื่องนี้ไปเป็นประเด็นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความว่ามีการเลือกตั้งทางตรงหรือไม่ ซึ่งอาจทำให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกทอดเวลาหรือถูกยื่นระยะเวลาออกไป

นายชนินทร์ กล่าวอีกว่า ฉะนั้น เราจึงเห็นว่าในชั้นรับหลักการ หากสมาชิกรัฐสภาลงมติรับการทั้ง 3 ร่าง พรรค พท.จะเสนอขอให้ใช้ร่างของพรรค พท.เป็นร่างหลักในการพิจารณาต่อในชั้นคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ เพื่อให้ร่างที่จะออกมามีความยึดโยงกับประชาชน และลดความเสี่ยงที่จะถูกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความในอนาคต โดยรายละเอียดของร่างพรรค พท. ในเรื่องที่มาส.ส.ร. เรามีการจัดตั้งส.ส.ร.ทั้งหมด 151 คน โดยไม่ได้เป็นส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งทางตรง แต่เป็นการเลือกทางอ้อม ประกอบกับการแต่งตั้งจากตัวแทนของกลุ่มองค์กรต่างๆ ซึ่งรูปแบบนี้อาจจะมองว่าเป็นรูปแบบที่เป็นตรงกลาง และมีความสอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ สามารถทำให้การขับเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยส.ส.ร. เกิดขึ้นได้จริง

นายชนินทร์ กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวทางการได้มาซึ่งส.ส.ร. ฉบับของพรรค พท. แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1.การเลือกตั้งทางอ้อมจำนวน 100 รายชื่อ ซึ่งจะใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง เราจะคำนวณจากประชากรในแต่ละจังหวัดว่าจังหวัดนั้นจะมีสัดส่วนของและส.ส.ร.กี่คน โดยที่กระบวนการการเลือกผู้ที่ประสงค์จะเป็น ส.ส.ร. จะเริ่มจากการเดินเข้าไปสมัครที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้งนี้ ในขั้นตอนแรกจะเปิดให้ประชาชนเลือกตั้งผู้เสนอตัวเป็น ส.ส.ร. ในทุกจังหวัดทั่วประเทศจำนวน 3 เท่าของส.ส.ร.ที่พึงมีในแต่ละจังหวัด รวมทั้งประเทศ 300 คน จากนั้น กกต.จะประกาศรับรองรายชื่อ ก่อนจะส่งรายชื่อมาให้รัฐสภาเลือกต่อไป เช่น ในกรุงเทพมหานครที่มีจำนวนประชากรมาก อาจจะมี ส.ส.ร. ได้ 8 คน ซึ่งผู้มีสิทธิเลือกตั้งก็จะเลือกผู้เสนอตัวได้ 1 สิทธิ์ 1 คน และเมื่อนับคะแนนเสร็จ ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด 24 คนแรก กกต.จะรับรองและส่งให้รัฐสภาทำการออกเสียงเลือกอีกครั้ง ซึ่งผู้ที่มีคะแนนเสียงจากการเลือกของสมาชิกรัฐสภา ลำดับที่ 1-8 ก็จะเป็นผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็น ส.ส.ร. กรุงเทพมหานคร โดยจะออกเสียงเลือกทีละจังหวัดจนได้ ส.ส.ร. ครบทั้งหมด

2. ส.ส.ร.ที่รัฐสภาเป็นผู้แต่งตั้ง แต่เป็นการแต่งตั้งโดยการเสนอชื่อขององค์กรอิสระ จำนวน 51 รายชื่อ ประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎร เสนอ 15 คน วุฒิสภา เสนอ 5 คน ศาลฎีกา เสนอ 1 คน ศาลปกครองสูงสุด เสนอ 1 คน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกรูปแบบ เสนอ 3 คน ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยของรัฐ เสนอ 2 คน คณบดีคณะนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรัฐ เสนอ 2 คน. สมาคมวิชาชีพด้านกฎหมาย รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ เสนอ 3 คน สภานักศึกษา มหาวิทยาลัยรัฐทุกแห่ง เสนอ 2 คน องค์กรเศรษฐกิจและภาคประชาชนหลัก 8 แห่ง เสนอรวม 8 คน (สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาเกษตรกรแห่งชาติ สภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาองค์กรของผู้บริโภค และมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย) สมาคมวิชาชีพสื่อมวลชน เสนอ 2 คน แพทยสภาและสภาวิชาชีพด้านสุขภาพ เสนอ 1 คนองค์กรสิทธิมนุษยชนและกฎหมาย (NGO) เสนอ 1 คน

“เราหวังว่าร่างที่เสนอไปจะได้รับหลักการจาก สส. และ สว. เพื่อให้นำไปแปรญัตติต่อในชั้นกรรมาธิการ และคาดหวังว่าร่างนี้จะเป็นร่างหลัก ที่เป็นร่างตรงกลางสามารถยอมรับได้จากทุกฝ่าย นำมาซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างเป็นธรรม เราเชื่อว่า ภายใต้ข้อจำกัดจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ห้ามให้ประชาชนเลือก ส.ส.ร. โดยตรงนั้น แนวทางของพรรคเพื่อไทยจะเป็นแนวทางที่เป็นไปได้จริง ได้ ส.ส.ร.ที่ยึดโยงกับประชาชน สะท้อนถึงเจตนารมณ์ของทุกฝ่ายในทางการเมือง การฮั้วกันทำได้ยาก และไม่มีฝ่ายใดสามารถผูกขาดความเป็นเสียงข้างมากได้ และหากดีล หรือ MOA ระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทยนั้น มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้าง เราก็คาดหวังว่า การนับหนึ่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในครั้งนี้จะได้รับความเห็นชอบจาก สว. ด้วย และต้องไม่เปิดช่องเป็น ส.ส.ร.ฮั้ว หรือมวยล้มต้มคนเชียร์ ล้มทับกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อย่างที่ประชาชนกังวลกัน” นายชนินทร์ กล่าว

-005

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top