ไม่สนฟ้องIOT-ปมไทยเปิดเครื่องเสียง
ทัพภาค1เมิน‘กัมพูชา’
ทหารยืนกรานเปิดในเขตไทย
ตรึงกำลังชายแดนสระแก้ว
ลุยกู้ระเบิดหนองหญ้าแก้ว
ซ้อมอพยพปชช.4อำเภอ
‘สระแก้ว’ซ้อมแผนอพยพประชาชนแนวชายแดน เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ขณะที่ผบ.กกล.บูรพาไม่สนไม่แคร์เขมรร้องเรียนคณะ IOT เรื่อง ไทยเปิดเครื่องเสียง ลั่น “จะฟ้องก็ฟ้องไป ผมทำในแผ่นดินไทยของผม” ทภ.1 เมิน เขมร ฟ้อง IOT ปมไทยเปิดเครื่องเสียง เผย ใช้ฉายสารคดีเปิดค่ายอพยพ รับเขมรหนีภัยสงครามกลางเมืองในอดีต ควบคู่แจ้งบังคับโทษผู้บุกรุก พร้อมซักซ้อมอพยพประชาชน4อำเภอไปศูนย์พักพิง10แห่ง ทหารช่างกู้ระเบิดพบเพิ่ม 2 ทุ่นที่ ”หนองหญ้าแก้ว” คืนพื้นที่ปลอดภัยโซนแรกได้ 15,042 ตร.ม เตรียมเคลียร์ต่อที่”บ้านหนองจาน”คิวต่อไป ส่วน“มทภ.2” ขออภัยคนไทยจัดการเขมร ไม่ทันใจ ย้ำ ต้องรอบคอบ เหตุเขมรเล่ห์เหลี่ยมเยอะ ยันจะไม่ยอมให้เสียอธิปไตยแม้แต่ตร.ซม.เดียว เผยลงพื้นที่ดูแลกำลังพล สั่งเตรียมพร้อม 24 ชม. ย้ำปราสาทตาควาย-ปราสาทคนาอยู่เขตไทย พร้อมเมื่อไหร่เอาคืนแน่
เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พล.ต.ธรรมนูญ ไม้สนธิ์โฆษกกองอำนายการรักษาความมั่นคงภายใน (โฆษก กอ.รมน.) เปิดเผยว่า พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสธ.ทบ./เลขาธิการ กอ.รมน.เน้นย้ำการนำนโยบายที่ได้รับมอบจากพล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ./รอง ผอ.รมน. ในการปฐมนิเทศผู้บริหาร กอ.รมน. ประจำปี 2569 ให้เร่งขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติในพื้นที่ ในการให้ กอ.รมน.จังหวัดชายแดนเตรียมพร้อมการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงและหน่วยงานปกครองในท้องถิ่น เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติในพื้นที่ส่วนหลัง
กอ.รมน.ย้ำนำนโยบายสู่การปฏิบัติ
โฆษก กอ.รมน.กล่าวต่อว่วันนี้ เวลา 10.00 น. ผู้ว่าฯสระแก้ว ในฐานะ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสระแก้ว ลงพื้นที่อ.อรัญประเทศ พร้อมประชุมร่วมกับผู้นำชุมชน เพื่อเตรียมซ้อมแผนอพยพประชาชนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา การซักซ้อมครั้งนี้ให้ความสำคัญกับ กลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย ติดเตียง และเด็กเล็ก ให้ได้รับการอพยพเป็นลำดับแรก พร้อมกำหนด เส้นทางและจุดรวมพลชัดเจน จัดตั้ง โรงพยาบาลสนาม รองรับเหตุฉุกเฉิน ตรวจสอบอุปกรณ์และความพร้อมอย่างรอบด้าน มุ่งเน้น ความปลอดภัยของประชาชนเป็นลำดับแรก นอกจากนี้ ผู้ว่าฯสระแก้ว ในฐานะ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสระแก้ว ยังได้กล่าวว่า “ไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นเมื่อใด แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือการเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า”
กอ.รมน. ขอแสดงความยืนหยัดเคียงข้างประชาชน พร้อมบูรณาการหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มกำลัง และส่งกำลังใจให้ประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้ทุกคนมั่นใจในความปลอดภัยและความพร้อมรับมือเมื่อเกิดสถานการณ์
ไม่ปกติ
‘สระแก้ว’ซ้อมอพยพ4อ.พร้อมรับเหตุฉุกเฉิน
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.สระแก้วว่า จ.สระแก้ว จัดการฝึกซ้อมแผนอพยพประชาชนจากพื้นที่ชายแดน ไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวในพื้นที่ปลอดภัย เพื่อเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการภาวะวิกฤตและสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น โดยมีหน่วยงานทุกภาคส่วนทั้งทหาร ปกครอง ตำรวจ อปพร. ผู้นำชุมชน หน่วยกู้ภัย และอาสาสมัคร เข้าร่วมบูรณาการฝึกซ้อมอย่างพร้อมเพรียง
การซ้อมแผนครั้งนี้เป็นการจำลองสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดน อ.โคกสูง ซึ่งนำไปสู่การอพยพประชาชนจาก 4 อำเภอ ได้แก่ อ.ตาพระยา,โคกสูง, วัฒนานคร และคลองหาด ไปยังศูนย์พักพิงจังหวัดสระแก้ว มีหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่นร่วมควบคุมการเคลื่อนย้าย
และดูแลความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด โดยเริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 09.00 น. ด้วยการเปิดสัญญาณเตือนภัยความไม่สงบ ประชาชนอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัยที่จังหวัดกำหนด มีผู้นำชุมชน รวบรวมชาวบ้านที่ศาลากลางบ้าน ก่อนอพยพโดยรถขององค์การบริหารส่วนตำบลไปยังพื้นที่ปลอดภัยตามแผน นอกจากนี้ยังบริหารจัดการภายในศูนย์พักพิงชั่วคราวอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การลงทะเบียนผู้พักพิง การจัดพื้นที่พักอาศัย การดูแลด้านสาธารณสุข อาหาร และน้ำดื่ม รวมถึงการถอดบทเรียน และประเมินผลการปฏิบัติงาน เพื่อสรุปจุดแข็ง จุดอ่อน ปัญหาอุปสรรค และแนวทางพัฒนาแผนอพยพประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สำหรับการฝึกซ้อมครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของนายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ที่มุ่งยกระดับความพร้อมของจ.สระแก้วในการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดนว่าภาครัฐและทุกภาคส่วน มีศักยภาพและความพร้อมสูงสุดในการคุ้มครองความปลอดภัยประชาชน
เตือนรบ.เปิดเสียงผีระวังระวังผิดอนุสัญญาCAT
จากกรณี นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวช หรือ “กัน จอมพลัง” นำรถแห่ขนเครื่องเสียงเข้าไปเปิดเสียงเฮลิคอปเตอร์ เสียงเครื่องบิน F-16 และเสียงผี ที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว เพื่อข่มขวัญ ชาวกัมพูชาที่ไม่ยอมออกจากพื้นที่อธิปไตยของไทยนั้นนางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์เฟซบุ๊กเตือนว่า ช่วงความขัดแย้ง/สงคราม การปล่อยให้ อินฟลู หรือกลุ่มบุคคลเข้าไปกระทำการเพื่อสร้างความกดดันหรือความหวาดกลัว ถือเป็นความท้าทายอย่างมากต่อรัฐบาลโดยเฉพาะ รมต.ต่างประเทศ ถึงแนวทางการแก้ปัญหาเพื่อหาทางออกร่วมกัน รัฐบาลไทยควรตระหนักว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นถูกรายงานไปยังองค์การสหประชาชาติ วานนี้ (11 ตุลาคม) Keo Remy ประธาน
คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา (Cambodia Human Rights Committee) ได้มีหนังสือถึงข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชน สหประชาชาติ ระบุว่า
“คณะกรรมาธิการได้รับรายงานที่เชื่อถือได้จากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและพลเรือนที่ได้รับผลกระทบในหมู่บ้านเปรย์จัน และจ็อกเจย์ ตำบลโอเบย์จอน อำเภอโอจรอว์ จังหวัดบันเตียเมียนเจย ระบุว่า หน่วยทหารแห่งราชอาณาจักรไทยได้กระจายเสียงที่มีลักษณะคล้ายเสียงโหยหวนของภูตผีผ่านลำโพงขนาดใหญ่ ตั้งแต่เวลา 22.44 น. จนถึงเวลา 00.04 น. จากนั้นได้เปิดเสียงเครื่องยนต์อากาศยานต่อเนื่อง ตั้งแต่เวลา 03.22 น. ถึงเวลา 03.53 น. โดยจงใจส่งเสียงไปยังชาวบ้านกัมพูชาในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งมีเจตนาเพื่อรบกวนและข่มขวัญ เสียงเหล่านี้ ซึ่งถูกอธิบายว่าเป็นเสียงดังแหลมสูงและต่อเนื่องเป็นเวลานาน ได้สร้างความเดือดร้อนในการนอนหลับก่อให้เกิดความวิตกกังวลและสร้างความไม่สบายทางร่างกายในหมู่ชาวบ้าน รวมถึงสตรี เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และคนพิการการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์และยั่วยุในลักษณะเช่นนี้ไม่เพียงเป็นอันตรายต่อสุขภาพกายและใจของพลเรือนกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่การยกระดับความตึงเครียดระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน การกระทำดังกล่าวไม่มีในสังคมอารยะใดๆ และขัดแย้งกับหลักการกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งยึดมั่นในสันติภาพ สิทธิมนุษยชน และการเคารพอธิปไตยซึ่งกันและกันระหว่างประเทศ การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่อเจตนารมณ์ของ ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและไทย เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2025 และบันทึกข้อตกลง 13 ข้อของการประชุมคณะกรรมการชายแดนร่วม (GBC) สมัยวิสามัญระหว่างกัมพูชาและไทย เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2025”
นางอังคณากล่าวอีกว่า รัฐบาลควรตระหนักว่า การกระทำใดๆ ที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวหรือส่งผลกระทบต่อจิตใจของพลเรือนแม้จะเป็นคู่ขัดแย้งในสงคราม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาจเข้าข่ายการทรมานทางจิตวิทยา (Psychological Torture) ตามอนุสัญญา CAT ที่ประเทศไทยเป็นภาคี อยากฟังว่ารัฐบาลจะชี้แจงเรื่องนี้อย่างไรในเวทีระดับโลก
ย้ำRBCล้มเพราะเขมรปัดตก4เงื่อนไข
ด้านพล.ต.เบญจพล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพากล่าวถึงกรณีการประชุม RBC ของฝั่งกองทัพภาคที่ 1 ว่า ตอนนี้ยังไม่เกิดขึ้น เพราะแม่ทัพภาคที่ 1 ยื่นข้อเสนอไปให้ประชุมช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แต่กัมพูชาไม่ตอบรับข้อเสนอที่เราต้องการ จึงเป็นที่มาที่ไปของการล้มกระดาน ทำให้การประชุมยังไม่เกิดขึ้น
ทหารไม่สนลุยกู้ทุ่นระเบิดเปิดพื้นที่ให้คนไทย
พล.ต.เบญจพลกล่าวต่อว่า กองกำลังฯดำเนินการทุกอย่างจริงจังมาตลอด สร้างสภาพเกื้อกูลให้ทุกเรื่อง รวมไปถึงการอพยพประชาชน ก็ได้รับความร่วมมือกับทางจังหวัด และจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ให้การสนับสนุนทุกเรื่อง ทำงานด้วยความร่วมมืออย่างจริงจังส่วนการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เมื่อวันที่ 11 ตุลาคมก็เจอทุ่นระเบิด 3 ทุ่น หมายความว่ายังมีเหลือตกค้างในพื้นที่ และเป็นที่น่าเสียใจที่อีกฝ่ายพยายามขัดขวางในเรื่องการ
ดำเนินการ แทนที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยร่วมกัน แต่ไทยไม่สนใจ เพราะทำหนังสือแจ้งไปตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม และเป็นปฏิบัติการในแผ่นดินไทย ถึงแม้อีกฝ่ายปฏิเสธ แต่ถือว่ายังไงก็เป็นบ้านเรา
“ทหารทำมีความเสี่ยง แต่ในอนาคตประชาชนปลอดภัย จะได้ทำมาหากิน อย่างน้อยที่สุดประชาชนได้ประโยชน์ ซึ่งตอนนี้ผมมอบหมายให้พันเอก ชัยณรงค์ กาสี ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจที่ 12 ว่า จากนี้ไปหากประชาชนต้องการจะทำมาหากินในพื้นที่ดังกล่าวให้ดูแลอย่าให้มีปัญหาในลักษณะที่เข้าไปทำกินไม่ได้ ซึ่งตอนนี้พยายามเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์”พล.ต.เบญจพลกล่าว
ไม่แคร์เขมรแห่ฟ้องIOTไทยเปิดเสียงผี
และว่า ส่วนกรณีการเปิดเสียงผี เสียงเครื่องรบรบที่บ้านหนองจานแล้วเขมร ไปร้องเรียนคณะ IOT พล.ต.เบญจพลกระบุ อยากจะร้องก็ร้องไป ตนทำในแผ่นดินไทยของตน มีพี่น้องทหารที่เข้าเวรเฝ้ายามอยู่ ก็มีความเหนื่อยล้า ตนก็ช่วยให้พี่น้องทหารตื่น แล้วทำไม ไม่เห็นต้องเดือดร้อน
เลย เพราะทำในบ้านตนแผ่นดินของตน อยากจะฟ้องอะไรก็ฟ้องไป ตนไม่แคร์ เรื่องนี้ส่วนเรื่องการผลักดันกัมพูชาหลังจากนี้ ยืนยันจะไม่มีการเจรจาแล้ว แต่หากเขาจะขอเจรจา ก็ขอให้จริงใจ ที่ผ่านมาเขาทำหนังสือมาแบบคลุมเครือขอประชุมแต่ไม่รู้เรื่องอะไร หากคุยเรื่องที่เราเสนอไปแต่แรกก็จบแล้ว มาเชิญไปประชุมแต่ไม่แจ้งเรื่อง จึงกลัวว่าหากไปแล้วจะเสียเที่ยวเหมือนทุกครั้ง และไม่ได้ประโยชน์ เราจะเดินหน้าต่ออย่างไร
เขมรนำIOTดูข้อเท็จจริงเสียงหลอน
ก่อนหน้านั้น สำนักข่าวเฟรชนิวส์ของกัมพูชารายงานว่า พลโทมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชาเผยว่า เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม เวลา 23.00 น. กระทรวงกลาโหมกัมพูชาร่วมมือ กับ คณะผู้สังเกตการณ์เฉพาะกิจ หรือ IOT ลงพื้นที่ตรวจสอบในหมู่บ้านจ๊กเจย
และหมู่บ้านเปรยจัน ตำบลโอไบจวน อำเภอโอเจริว จังหวัดบันเตียเมียนเจย การตรวจเยี่ยมพื้นที่ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเกตการณ์ ตรวจสอบและจัดทำรายงานข้อเท็จจริง หลังจากได้รับข้อมูลแจ้งว่า มีการเปิดเสียงจากลำโพงขนาดใหญ่ฝั่งประเทศไทย ซึ่งส่งเสียงรบกวนที่ทำให้รู้สึกหลอกหลอนไปยังฝั่งกัมพูชาในช่วงเวลากลางคืน ทั้งนี้ เสียงที่เผยแพร่มามีลักษณะคล้ายเสียงหลอนของผี เสียงสุนัขเห่า และสุนัขหอน ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อชาวบ้าน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้พิการ
แห่ฟ้องยูเอ็นคุกคามจิตใจคนชายแดน
ขแมร์ไทม์สรายงานว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา (CHRC) ได้ยื่นคำร้องเร่งต่อสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHCHR) เพื่อประณามสิ่งที่ CHRC เรียกว่า เป็นการใช้เสียงรบกวนที่น่าหวาดกลัวและก่อให้เกิดความรำคาญโดยกองทัพไทย ที่ถือเป็นการข่มขู่และคุกคามทางจิตใจต่อพลเรือนชาวกัมพูชา ที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน กัมพูชา-ไทย ในจดหมายที่ส่งถึงนายโวลเกอร์เติร์ก
ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ CHRC ระบุว่า ได้รับรายงานที่น่าเชื่อถือจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเปรยจัน และจุ๊กเจย ตำบลโอไบจวน อำเภอโอเจริว จังหวัดบันเตียเมียนเจย ว่าหน่วยงานของกองทัพไทยได้เผยแพร่เสียงหลอน คล้ายเสียงวิญญาณครวญครางผ่านลำโพงขนาดใหญ่ตั้งแต่เวลา 22.44 น. จนถึง 00.04 น. และต่อมามีการเปิดเสียงเครื่องยนต์อากาศยานอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เวลา 03.22-03.53 น. โดยจงใจหันลำโพงและเสียงเหล่านั้นไปยังหมู่บ้านชาวกัมพูชา
CHRC ระบุว่า การกระทำดังกล่าว ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านตามแนวชายแดน ทำให้เกิดความวิตกกังวล รบกวนการนอนหลับ สร้างความตื่นกลัว โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้หญิง เด็ก และผู้สูงอายุ
เชิญสนง.ข้าหลวงใหญ่ฯลงพื้นที่สอบสวน
“การกระทำเช่นนี้ไม่มีที่ยืนในสังคมที่อารยะ และขัดต่อหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งยึดมั่นในสันติภาพ สิทธิมนุษยชน และการเคารพอธิปไตยของแต่ละประเทศ” แถลงการณ์ของ CHRC ระบุ
CHRCได้เรียกร้องให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เร่งสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวทันที เพื่อแน่ใจว่าต้องมีผู้รับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเรียกร้องให้ยุติการข่มขู่คุกคามทางจิตใจทุกรูปแบบต่อพลเรือนชาวกัมพูชา นอกจากนี้ คณะกรรมการยังเชิญสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ ส่งคณะร่วมสังเกตการณ์ในพื้นที่ชายแดนกัมพูชา-ไทย โดยให้คำมั่นว่าจะให้ความร่วมมือและการสนับสนุนด้านการประสานงานและการจัดการด้านโลจิสติกส์อย่างเต็มที่ CHRCยังยืนยันถึงความมุ่งมั่นของกัมพูชาต่อ
สันติภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่ก็เตือนอย่างชัดเจนว่าการกระทำที่ก้าวร้าวและการคุกคามพลเรือนอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ยอมทนและจะไม่ไม่มียอมรับอย่างเด็ดขาด
ตรึงกำลังเข้มหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว
วันเดียวกัน กองทัพภาคที่ 1(ทภ.1) โดยศูนย์ปฏิบัติการกองทัพ ภาคที่ 1 รายงานสรุปสถานการณ์ประจำวันที่ 12 ตุลาคม 2568 จนถึงเวลา 15.00 น. ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สระแก้ว ดังนี้ พื้นที่บ้านหนองจาน ฝ่ายไทยมีมวลชนเข้าพื้นที่ พ่อค้าแม่ค้ารวมทั้งนักข่าวประมาณ 150 คน และมูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้ นำตู้คอนเทนเนอร์ 20 ตู้ มาวางบริเวณ จต.ส.40 พื้นที่ฝั่งตรงข้าม ฝ่ายกัมพูชา พบความเคลื่อนไหวประชาชนสื่อมวลชนทหารและตำรวจ คอยติดตามความเคลื่อนไหวและการปฎิบัติของฝ่ายไทย ประมาณ 30-40 คน สถานการณ์ทั่วไปเป็นปกติ การปฏิบัติการที่สำคัญ กกล.บรูพา โดย ฉก.อรัญประเทศ ฉก.ตาพระยา, ตำรวจตระเวนชายแดน, ทหารพราน, และชุดควบคุมฝูง ยังคงตรึงกำลังเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรการจากเบาไปหาหนัก
พื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ฝ่ายไทยมีมวลชนจำนวนหนึ่งในพื้นที่ ยังไม่มีความเคลื่อนไหวสำคัญ พื้นที่ฝั่งตรงข้ามฝ่ายกัมพูชา พบความเคลื่อนไหวประชาชน มวลชนและผู้สื่อข่าว จำนวน ประมาณ 30-40 คน ในวัดเปรยจันเป็นจุดศูนย์กลางแสดงจุดยืนการประชาสัมพันธ์
แจ้งขาวสารเป็นพื้นที่รับ-ส่ง เสบียงสิ่งของสัมภาระ และสิ่งของอุปโภค-บริโภค สถานการณ์ทั่วไปเป็นปกติ ปฏิบัติการที่สำคัญ กกล.บูรพา โดยฉก.อรัญประเทศ ฉก.ตาพระยา, ตำรวจตระเวนชายแดน, ทหารพราน, และชุดควบคุมฝูง ยังคงตรึงกำลังเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรการจากเบาไปหาหนัก
ใช้เครื่องเสียงฉายสารคดีช่วยอพยพ
กรณีฝ่ายกัมพูชา นำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) ลงพื้นที่ไปยังหมู่บ้านโจกเจยและหมู่บ้านเปรยจัน เพื่อสังเกตการณ์ ตรวจสอบ การ
ปิดเครื่องเสียงผ่านลำโพงของฝ่ายไทย อ้างเป็นการข่มขู่และคุกคามทางจิตใจและสร้างความรำคาญแก่ชาวกัมพูชาในพื้นที่ ทั้งนี้ ทีมงานฝ่ายไทย ได้ทำการกระจายเสียงเกี่ยวกับสารคดีประวัติศาสตร์ในค่ายอพยพ เมื่อประชาชนกัมพูชาหนีภัยสงครามกลางเมืองมาพึ่งพาอาศัยในพื้นที่ประเทศไทย และเกี่ยวกับประชาสัมพันธ์แจ้งให้ผู้บุกรุกชาวกัมพูชาในพื้นที่อธิปไตยไทย ในข้อหาบุกรุกและครอบครองพื้นที่ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 ซึ่งมีโทษสูงสุดคือจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 100,000 บาท ถือเป็นส่วนหนึ่งการปฏิบัติการจิตวิทยา ตามแผนจากเบาไปหาหนักของฝ่ายพลเรือนนอกจากนี้ ฝกร.ศปก.ทภ.1 ร่วมกับจังหวัดสระแก้ว กกล.บูรพา และมทบ.19 ซ้อมแผนอพยพประชาชน จากพื้นที่ 4 อำเภอชายแดน ได้แก่ อ.ตาพระยา,อ.โคกสูง,อ.อรัญประเทศ และอ.คลองหาด โดยเป็นการซักซ้อมอพยพประชาชนเข้าพื้นที่พักพิงชั่วคราว ตามแผนอพยพของ จ.สระแก้ว 10 แห่ง มีผู้ว่าราชการ จังหวัดสระแก้ว และ ผบ.กกล.บูรพา ร่วมให้คำแนะนำการปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของประชาชน
ลุยกู้ทุ่นระเบิดต่อเนื่องที่หนองหญ้าแก้ว
สำหรับภารกิจการเก็บกู้ระเบิด กกล.บูรพา ยังเดินหน้าตรวจสอบค้นหาวัตถุระเบิดที่คาดว่าตกค้างในพื้นที่บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว โดยหน่วยได้จัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์พร้อมอุปกรณ์ตรวจค้น รถถากถางหุ้มเกราะ D5, เครื่องจักร GCS-200, จนท.หน่วย ช.สนาม 7 ชุด และได้รับการสนับสนุนจากศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (ศทช.) ร่วมปฏิบัติการเพื่อคืนพื้นที่ปลอดภัยครอบคลุมอธิปไตยของไทยทั้งหมด หากพบตรวจพบทุ่นระเบิดเพิ่มเติมจะแจ้งให้ทราบต่อไปทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 1 ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือในทุกภารกิจ ขอบคุณกำลังใจจากพี่น้องประชาชน ที่เข้าใจและให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานของฝ่ายความมั่นคงขอให้เชื่อมั่นว่าจะดำเนินการร่วมกับ ทุกภาคส่วน เพื่อทวงคืนพื้นที่อธิปไตยของไทยอย่างเต็มกำลังความสามารถ
พบเพิ่ม2ทุ่นระเบิดที่หนองหญ้าแก้ว
ช่วงบ่ายวันเดียวกัน กองกำลังบูรพาโดย ฉก.12 รายงานการตรวจพบทุ่นระเบิดในพื้นที่ปฏิบัติการ บ้านหนองหญ้าแก้ว ประจำวันที่ 12 ตุลาคมว่า พบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิดระเบิดอยู่กับที่ PMN จํานวน 2 ทุ่น ในลักษณะพร้อมใช้งาน เจ้าหน้าที่เก็บกู้ตามขั้นตอนเรียบร้อย สรุปการปฏิบัติภารกิจ ตั้งแต่ 10 ต.ค. - ปัจจุบัน ตรวจพบ ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลรวม 5 ทุ่น ชนิดระเบิดอยู่กับที่ PMN สภาพพร้อมใช้งาน ทั้ง 5 ทุ่น
พันโทศราวุธ สระทองเทียน ผู้บังคับกองพันทหารช่างที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจ 12 กองกำลังบูรพา ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 ระบุ แผนดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่หนองหญ้าอำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว เจ้าหน้าที่ถางป่าหญ้าเพิ่มเติม และใช้กำลังเจ้าหน้าที่เดินตาม คาดว่าจะทําให้พบทุ่นระเบิดที่ตกค้างเพิ่มเติม
เหลือพื้นที่สีแดงกว่าแสนตร.ม.
สําหรับพื้นที่ไม่ปลอดภัยที่หนองหญ้าแก้ว ที่จํากัดวงเป็นพื้นที่สีแดงมีประมาณ 102,874 ตารางเมตร ในจํานวนนี้แบ่งเป็น 4 โซน ซึ่งโซนเอมีอยู่ประมาณ 29,726 ตารางเมตร ในการตรวจค้นทุ่นระเบิดและทําพื้นที่ให้ปลอดภัย ปัจจุบันคืนพื้นที่ได้เรียบร้อยแล้ว 15,042 ตารางเมตร ส่วนที่เหลือคาดว่า จะใช้ระยะเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ เนื่องจากมีอุปสรรคของสภาพอากาศเป็นปัจจัยสําคัญในการทำงาน ซึ่งการดําเนินการทั้งหมด ต้องอยู่ภายใต้ความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ด้วย
พ.อ.ภิชฌ์ยุทธ พรหมโท รองเสนาธิการกองทัพภาค1 ระบุว่า พื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ที่เก็บกู้วัตถุระเบิดตกค้างนั้น เป็นแผนประจําปีของนปท. หรือ หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดทางด้านมนุษยธรรม เป็นหนึ่งในแผนปฏิบัติการเก็บกู้ระเบิดด้านมนุษยธรรมของไทย ซึ่งเราส่งแผนไปที่ออตตาวาอยู่แล้ว แต่ในหลายปีที่ผ่านมา ไทยไม่สามารถปฏิบัติการพื้นที่ดังกล่าวได้ โดยถูกกัมพูชาขัดขวางมาตลอด แต่พอฝ่ายความมั่นคงไทยสามารถยึดคืนพื้นที่ดังกล่าวกลับขึ้นมาได้ ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ถึงเพิ่งเข้ามาเคลียร์พื้นที่ อุปสรรคสําคัญคือ ฝน ที่ส่งผลต่อการทํางาน หากจะให้ครบทั้ง 4 โซน คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่ง สัปดาห์ ส่วนพื้นที่บ้านหนองจานอยู่ในแผนต่อไปหลังเสร็จในพื้นที่หนองหญ้าแก้วแล้ว
แฉเขมรขัดขวางตลอดยันพื้นที่ของไทย
ผู้สื่อข่าวถามว่าภารกิจครั้งนี้ถือเป็นการคืนพื้นที่อธิปไตยไทยได้หรือไม่ พันเอก ภิชฌ์ยุทธระบุว่า ถือว่าได้ เป็นการนับหนึ่ง และเป็นไปตามขั้นตอน ขณะเดียวกันก็เห็นว่าจังหวัดเริ่มซักซ้อมแผนอพยพแล้วเช่นเดียวกัน ส่วนทุ่นระเบิดที่พบยืนยันได้หรือไม่ว่าที่ผ่านมากัมพูชาไม่เคยดําเนินการตามข้อตกลง. รองเสนาธิการกองทัพภาค1 ระบุว่า เป็นส่วนหนึ่ง ทั้งนี้ พื้นที่อธิปไตยไทยของเรา เราทำได้เลย โดยไม่ต้องขออนุญาต เราแค่ทําหนังสือแจ้งเท่านั้น เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด แต่ที่ผ่านมาเขมรจะอ้างว่าเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ ที่ผ่านมาฝ่ายไทยก็ไม่อยากให้มีปัญหา แต่ตอนนี้เราเห็นว่าทําได้ เราก็ทําทันที .
มทภ.2ยันไม่ยอมเสียแผ่นดินแม้แต่ตร.ซม.
ด้านพล.ท.วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) เผยว่า เดินทางลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่จังหวัดสุรินทร์ เพื่อตรวจเยี่ยมความเป็นอยู่กำลังพล และเตรียมความพร้อมต่อสถานการณ์สู้รบตลอดแนวชายแดน 24 ชั่วโมง ยืนยันกำลังพลทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เตรียมพร้อม และมีขวัญกำลังใจที่ดี ซึ่งกองทัพวางแผนดูแลรอบด้าน ทั้งเรื่องอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งของจำเป็นต่อการสู้รบ มีเสบียงเพียงพอ ไม่ขาดแคลนเสบียงอาหารน้ำดื่มตามที่มีการเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์
พล.ท.วีรยุทธกล่าวต่อว่า กำลังพลทุกนายยังมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่เพื่อปกป้อง อธิปไตยของชาติและประชาชน ด้วยความมุ่งมั่นเต็มกำลัง ตนขอยืนยันว่าเราจะไม่เสียแผ่นดินไทยให้ใครแม้แต่ตารางเซนติเมตรเดียว การเข้ามาก่อกวนของคนเขมร และมีการถ่ายคลิปส่งเข้าระบบโซเชียลมีเดีย และนำออกไปเผยแพร่นั้น เราต้องใช้ความละเอียดรอบครอบในการตรวจสอบ เพราะบางพื้นที่ ที่อยู่ห่างไกลกันกับฐานปฏิบัติการ เป็นพื้นที่ล่อแหลม แต่ทหารมีวงรอบออกลาดตระเวนสม่ำเสมอทุกสัปดาห์ ซึ่งบางจุดเราใช้เครื่องมือเทคโนโลยี ช่วยเฝ้าตรวจเสริมการวางกำลัง แต่บางสถานการณ์จุดที่วางเครื่องมือเฝ้าตรวจ ยังไม่ใช่จังหวะที่เราลาดตระเวนไปเห็นทหารเขมรที่เข้ามาลอบวางกับระเบิดหรือมาตัดรั้วลวดหนาม
ขอโทษทำไม่ทันใจปชช.ย้ำต้องรอบคอบ
"ผมยืนยันว่า ให้กำลังพลทุกนายตอบโต้คนที่มีอาวุธและลุกล้ำธิปไตยของไทยเข้ามา เพราะผมมอบนโยบายให้ไปแล้ว หากทหารกัมพูชาถืออาวุธเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทยและมาทำลายข้าวของในประเทศไทย เรารับไม่ได้ทุกกรณี และพร้อมตอบโต้ตามกฎการใช้กำลังตามเหตุการณ์ กัมพูชามีเล่ห์เหลี่ยม ขาดความจริงใจ และพยายามทำคอนเทนท์สร้างสถานการณ์แล้วโพสต์เข้าระบบโชเชียลมีเดีย เพื่อให้คนไทยได้ดูได้เห็นแล้วกระตุ้นอารมณ์ให้ตอบโต้ด้วยความโกรธหรือเกลียดชัง ซึ่งทหารเราก็เห็นเช่นกัน แต่ในทุก สถานการณ์ เราเร่งเข้าไปเลยก็ไม่ได้ เพราะสิ่งที่กัมพูชาทำเช่นนี้ แสดงว่ามีเจตนาล่อให้กำลังทหารของเราเข้าไปถูกกับระเบิด หรือทุ่นระเบิดได้ เราจึงต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ เพื่อลดการสูญเสียที่ไม่จำเป็น ทำให้บางครั้งอาจไม่ทันใจประชาชนไปบ้าง ก็ต้องขออภัยด้วย แต่ชีวิตกำลังพลก็มีความสำคัญที่เราต้องให้ความปลอดภัยสูงสุดเช่นกัน" แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว
ตาควาย-คนาอยู่เขตไทย-พร้อมเอาคืน
ผู้สื่อข่าวถามว่า แนวนโยบายดูแลอธิปไตยไทยเป็นอย่างไร พล.ท.วีรยุทธกล่าวว่า ตนยึดถือตามนโยบายรัฐบาล , รมว.กลาโหม , รมช.กลาโหม และผบ.ทบ. ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของตน ในการรักษาธิปไตยและยึดถือในแผนที่ 1:50000 ที่จะไม่ยอมให้เสียแผ่นดินไทยไปแม้แต่ตารางเซ็นติเมตรเดียวซึ่งเป็นสิ่งที่ตนยึดมั่นมาตลอดชีวิตรับราชการทหาร ว่าเราต้อง "ปกป้องชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ และประชาชน"
ถามว่า ปราสาทตาควาย และปราสาทคนา ที่กัมพูชาเข้าไปยึดไว้จะดำเนินการอย่างไร พล.ท.วีรยุทธ กล่าวว่า ทั้ง 2 ปราสาทอยู่ในพื้นที่ของประเทศไทย ตามแผนที่ 1:50000 ชัดเจน ฉะนั้นเราต้องนำกลับคืนแน่นอน ปัจจุบันวางแผนไว้แล้ว และจะปฏิบัติในจังหวะการรบที่เหมาะสมกับช่วงเวลาตามสถานการณ์
ฉะเขมรลอบกัดแบบโจรป่าไม่ใช่นักรบ
"ด้วยอัตลักษณ์ของเขมร มักหาพื้นที่ตรงไหนที่เป็นที่ว่างและไม่มีกำลังของเราเฝ้าอยู่ มันก็จะเข้ามายึดไว้เพื่อที่จะให้ได้เปรียบเรา ซึ่งเราไม่ได้ทำแบบนั้น เพราะทหารโดยทั่วโลกที่เขาเป็นสุภาพบุรุษ จะไม่ทำพฤติกรรมแบบนี้ เพราะไม่ต่างอะไรจากการกระทำของโจรป่า ถ้าจะรบก็ว่ากันมาเลย ไม่ใช่คืบคลานเข้ามาแล้วก็มาวาง ทุ่นระเบิดเพื่อทำร้ายเราแบบโจรป่า ไม่ใช่วิสัยทหารนักรบ " แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี