เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม รศ.ดร.สุริยะใส กตะศิลา รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร และคณบดีวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม ได้โพสต์เฟสบุ๊ค หัวข้อ "โอกาสประเทศไทย : พลิกเกมชนะโดยไม่ต้องรบ"

รศ.ดร.สุริยะใส ระบุว่า สถานการณ์ล่าสุดระหว่างไทย–กัมพูชาเริ่มร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง เมื่อสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตก รวมถึงเกาหลีใต้ ออกมาตรการกดดันต่อรัฐบาลกัมพูชา ภายหลังตรวจพบเครือข่าย “สแกมเมอร์คริปโต” (Crypto Scam) และการค้ามนุษย์ข้ามชาติที่โยงกับบุคคลใกล้ชิดสมเด็จฮุนเซน มีการอายัดบิตคอยน์มูลค่านับหมื่นล้านดอลลาร์ และประกาศคว่ำบาตรต่อหลายบัญชีในระบบโลกดิจิทัล ท่ามกลางแรงกดดันรอบด้าน ไทยกลับมี “พื้นที่ทางยุทธศาสตร์” ที่จะพลิกสถานการณ์นี้ให้เป็นโอกาส ไม่ใช่ด้วยการแข่งหรือรบ แต่ด้วยการ “ใช้ความร่วมมือเป็นอาวุธ” และ “ใช้ความน่าเชื่อถือเป็นเกราะ”
 
1. พลิกจากคู่แข่งเป็นตัวกลางแห่งภูมิภาค
ไทยสามารถเสนอให้จัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานอาชญากรรมไซเบอร์และการฟอกเงินอาเซียน” โดยมีไทยเป็นเจ้าภาพกลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับสหรัฐฯ เกาหลีใต้ และสหราชอาณาจักร ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็น “ตัวกลางที่ทุกฝ่ายต้องพึ่ง” ในขณะที่กัมพูชายังถูกจับตาและตกเป็นจำเลยโลก

2. ใช้การทูตเชิงสร้างสรรค์ แทนการกดดัน
ไทยควรเลือก “พูดน้อย แต่ขยับจริง” ด้วยการทำงานเชิงเทคนิค เช่น การตรวจสอบธุรกรรมคริปโต การช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติ และการแลกข้อมูลข่าวกรอง จะได้เครดิตทางการทูต โดยไม่ถูกมองว่าแทรกแซงอธิปไตยเพื่อนบ้าน

3. เปิดประตูเศรษฐกิจใหม่จากภัยไซเบอร์
ในระยะกลาง ไทยมีโอกาสดึงดูดการลงทุนจากบริษัทฟินเทค ความปลอดภัยไซเบอร์ และระบบตรวจจับการฟอกเงิน (AML / Blockchain Forensics) ทำให้ไทยเป็น “ฮับเทคโนโลยีตรวจสอบทางการเงิน” ของภูมิภาค ขณะเดียวกันยังยกระดับระบบการจ้างงานและคุ้มครองแรงงาน นักท่องเที่ยวต่างชาติ

4. เสริมภาพลักษณ์ประเทศในสายตาโลก
การสื่อสารสาธารณะต้องเน้นว่า ไทย “ร่วมมือเพื่อสันติภาพและความมั่นคง” ไม่ใช่กดดันใคร ไทยยืนอยู่บนหลักการของอาเซียนแต่ปรับวิธีคิดสู่ยุคดิจิทัล ที่ความมั่นคงทางไซเบอร์คือความมั่นคงของรัฐ

นี่คือช่วงเวลาที่ไทยสามารถ “ชนะโดยไม่ต้องรบ”  ชนะด้วยปัญญา การทูต และการร่วมมือ เพราะในโลกที่ความขัดแย้งไม่ได้อยู่บนสนามรบ แต่อยู่บนระบบข้อมูล การเงิน และเทคโนโลยี “ผู้ที่มองเห็นเร็วกว่า ย่อมเป็นผู้กำหนดเกม”