อนุสัญญาต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ ไทยจะร่วมมือหรือให้โลกประณาม?

อนุสัญญาต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ ไทยจะร่วมมือหรือให้โลกประณาม?

วันศุกร์ ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 15.31 น.

'วิโรจน์'แนะจับตา ครม.มีมติลงนามแสดงเจตนา ร่วมอนุสัญญาต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์หรือไม่

วันที่ 17 ตุลาคม 2568 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ "จับตาดูมติ ครม. 21 ต.ค. UNCC2024 คือบทพิสูจน์ รัฐบาลจะร่วมมือกับโลกปราบสแกมเมอร์ หรือยอมให้โลกประณาม"


นายวิโรจน์ ระบุว่าจากการประชุมคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2568 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความคืบหน้าในการให้สัตยาบันอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ (UN Convention against Cyber Crime 2024 หรือ UNCC2024) นั้น ต้องยอมรับว่า ในปัจจุบันเครือข่ายสแกมเมอร์สามารถปฏิบัติการหลอกลวงออนไลน์ และเลือกหลอกลวงเหยื่อได้จากทุกที่ในโลกอย่างไร้พรมแดน

ดังนั้น การที่ประเทศไทยให้สัตยาบันกับ UNCC2024 จะเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ประเทศของเราต้องมีการปรับปรุงกฎหมายภายใน และขั้นตอนการบังคับใช้กฎหมายให้สอดคล้องกับหลักสากล ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ประเทศไทยสามารถผสานความร่วมมือกับนานาอารยประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลเส้นทางการเงิน ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรมไซเบอร์ การบังคับใช้กฎหมายร่วมกัน การยึดและอายัดทรัพย์สิน การขยายผลการจับกุม รวมถึงการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมารับโทษตามกฎหมาย

ท้ายที่สุด การเข้าร่วมอนุสัญญานี้จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติได้อย่างจริงจัง ยุติภัยไซเบอร์ที่คุกคามประชาชนให้หมดสิ้น และยังทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันสำคัญ ไม่ให้เครือข่ายอาชญากรไซเบอร์หรือขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ กล้าลักลอบเคลื่อนย้ายเงินสกปรกเข้ามาฟอกภายในประเทศของเราอีกด้วย

ที่ผ่านมาเคยมีมติ ครม. ในเรื่องนี้อยู่ 3 ครั้ง ได้แก่

11 ม.ค. 2565:

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ไทยส่งคณะผู้แทนเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐ เพื่อจัดทำร่างอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ (ICT เพื่อวัตถุประสงค์ทางอาชญากรรม) สมัยที่ 1 ซึ่งจัดขึ้นวันที่ 17–28 ม.ค. 2565 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก คณะผู้แทนไทยประกอบด้วยหน่วยงานหลักด้านการต่างประเทศ กฎหมาย ความมั่นคง และเทคโนโลยี อาทิ กระทรวงการต่างประเท สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) กระทรวงยุติธรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในฐานะผู้สังเกตการณ์) โดยให้อัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาตินำคณะ และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศทำหน้าที่ประสานงานหลัก รวมทั้งจัดทำสรุปผลการประชุมเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณะตามข้อเสนอของคณะกรรมการกฤษฎีกา

23 ม.ค. 2567:

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ไทยเข้าร่วมเจรจาจัดทำร่างอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ โดยอนุญาตให้คณะผู้แทนไทยใช้ดุลยพินิจในการเจรจาและปรับแก้ร่างในประเด็นที่ไม่กระทบสาระสำคัญหรือผลประโยชน์ของชาติ โดยไทยยังไม่ผูกพันต้องเข้าเป็นภาคีทันที จนกว่าจะมีความพร้อม การเจรจาจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 ม.ค.-9 ก.พ. 2567 ณ นครนิวยอร์ก โดยกรอบท่าทีของไทยจะต้องสอดคล้องกับกฎหมายภายในและพันธกรณีระหว่างประเทศ ครอบคลุมทั้งอาชญากรรมไซเบอร์โดยตรง (cyber-dependent crimes) และอาชญากรรมที่ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ (cyber-enabled crimes) รวมถึงกลไกติดตามและยึดคืนทรัพย์สินจากการกระทำผิด พร้อมทั้งย้ำว่าความร่วมมือระหว่างประเทศต้องมีขอบเขตชัดเจน ไม่ขัดต่อกฎหมายไทย เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน

11 มี.ค. 2568

คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมจัดทำอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ และเห็นชอบให้มอบหมายกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) เป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลัก ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาความเหมาะสมในการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ พร้อมยกระดับมาตรฐานการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ของไทย

ประเด็นที่ประชาชนต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดในวันที่ 21 ต.ค. 2568:

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้รายงานต่อที่ประชุมว่า ในวันที่ 21 ต.ค. 2568 จะมีการเสนอเรื่องนี้เข้าสู่วาระการประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อขอมติให้ประเทศไทยเดินทางไปลงนามแสดงเจตนาเบื้องต้น ในวันที่ 25 ต.ค. 2568 ที่จะถึงนี้ ว่าประเทศไทยเห็นชอบในหลักการ และมีแนวโน้มจะเข้าร่วมอนุสัญญาฉบับนี้ ดังนั้น ประชาชนคนไทยทุกคนจึงควรจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่า เรื่องนี้จะถูกบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมหรือไม่ และคณะรัฐมนตรีจะมีมติอย่างไรต่อการแสดงเจตนาเข้าร่วมอนุสัญญาระหว่างประเทศที่สำคัญฉบับนี้ ซึ่งมีการประมาณการว่า หลังจากการลงนามแสดงเจตนาแล้ว ประเทศไทยอาจต้องใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 1 ปี ในการปรับปรุงกฎหมายภายในอย่างน้อย 4 ฉบับ ได้แก่ ประมวลกฎหมายอาญา กฎหมายเกี่ยวกับเด็ก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ จะติดตามแผนงาน กำหนดการ และความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยยกระดับขึ้นเป็นศูนย์กลางในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งนอกจากจะเป็นการปกป้องคุ้มครองประชาชนคนไทยจากภัยสแกมเมอร์ข้ามชาติแล้ว ยังจะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกัน ไม่ให้เครือข่ายอาชญากรไซเบอร์กล้าที่จะเข้ามากล้ำกรายประเทศไทยของเรา

และหากเราสามารถดำเนินการได้สำเร็จ ประเทศไทยจะมีศักยภาพสูงขึ้นในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนที่สุจริตให้เข้ามาในประเทศ อันจะนำไปสู่การพัฒนา Supply Chain ของอุตสาหกรรมนวัตกรรมและธุรกิจสร้างสรรค์ ตลอดจนการสร้างงานให้กับแรงงานทักษะสูงในอนาคต

เราต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า มติ ครม. ในวันที่ 21 ต.ค. 2568 จะสะท้อนเจตจำนงของประเทศไทยอย่างไร ว่าเราจะเลือกยืนอยู่ข้างความร่วมมือของประชาคมโลก เพื่อร่วมปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติ หรือจะปล่อยให้ประเทศตกเป็นเป้าหมายของเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทั่วโลก ว่าไทยกำลังปล่อยให้กลุ่มการเมืองสามานย์ และกลุ่มทุนโสมม ได้รับประโยชน์จากเงินสกปรกที่มาจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นี่ไม่ใช่เพียงมติธรรมดา หากแต่เป็นบทพิสูจน์ว่า ประเทศไทยจะเลือกยืนหยัดเพื่อเกียรติภูมิและความปลอดภัยของประชาชน หรือจะยอมให้ภาพลักษณ์ชาติถูกลดทอนจากข้อครหาในสายตาโลก

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top