'รุจิระ'ชี้จุดตายท่องเที่ยวไทย ททท.ทุ่มเงินจ้าง'ลิซ่า'เป็นพรีเซ็นเตอร์ไร้ผล ถ้าไม่แก้นักท่องเที่ยวถูกเอาเปรียบ

'รุจิระ'ชี้จุดตายท่องเที่ยวไทย ททท.ทุ่มเงินจ้าง'ลิซ่า'เป็นพรีเซ็นเตอร์ไร้ผล ถ้าไม่แก้นักท่องเที่ยวถูกเอาเปรียบ

วันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 10.46 น.

"รุจิระ บุนนาค" คอลัมน์ "กฎ กติกา ธุรกิจ" หนังสือพิมพ์แนวหน้า ชี้จุดอ่อนสำคัญท่องเที่ยวไทยที่คนไทยมองข้ามคือปัญหาการ "เอาเปรียบ" นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะแท็กซี่ปฏิเสธกดมิเตอร์ ชี้พฤติกรรมนี้ถูกแชร์ว่อนเน็ต สร้างความเบื่อหน่าย และอาจเป็นสาเหตุสำคัญทำให้นักท่องเที่ยวลดลง แม้ ททท.จะทุ่มเงินจ้าง "ลิซ่า" เป็นพรีเซ็นเตอร์แล้วก็ตาม (คลิกอ่านต้นฉบับ)

วันที่ 24 ตุลาคม 2568 รุจิระ บุนนาค เจ้าของคอลัมนิสต์ "กฎ กติกา ธุรกิจ" ในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ได้เขียนบทความแสดงความคิดเห็นในหัวข้อ "ปัญหานักท่องเที่ยวต่างชาติในไทย" โดยตีแผ่ปัญหาหนักอกภาคท่องเที่ยวไทย แม้ไทยทำรายได้ 1,159,456 ล้านบาทจากนักท่องเที่ยว 25 ล้านคนตั้งแต่ 1 มกราคม - 12 ตุลาคม 2568 และ ททท.ทุ่มเงินใช้ "ลลิษา มโนบาล" หรือ "ลิซ่า" นักร้องหญิงชาวไทย ที่มีเสียงโด่งดังระดับโลกเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่รายได้กำลังลดลงอย่างน่ากังวล เหตุผลหลักไม่ใช่แค่ข่าวแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ไทยเป็นทางผ่าน หรือค่าครองชีพที่สูงลิ่ว แต่คือ"ปัญหาการถูกเอารัดเอาเปรียบ" โดยเฉพาะการโกงค่าโดยสารแท็กซี่แบบเหมาจ่ายที่ทำให้ชาวต่างชาติรู้สึกถูกดูหมิ่นและส่งต่อความเบื่อหน่ายในโลกออนไลน์ โดยในคอลัมน์มีเนื้อหาดังนี้


กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้แถลงถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประเทศไทย ช่วง1 ม.ค. – 12 ต.ค. 2568 มีจำนวนกว่า 25 ล้านคน ก่อให้เกิดรายได้เข้าประเทศไทย จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวสูงถึง 1,159,456 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ

ประเทศไทยได้เปรียบด้านการท่องเที่ยว เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นอีกหลายประเทศ เพราะมีศิลปวัฒนธรรมที่งดงาม มีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลาย ทั้งที่เป็นธรรมชาติที่สวยงามและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น เกาะภูเก็ต และเกาะพีพี ที่มีชื่อเสียงจากหาดทรายขาว น้ำทะเลใส และหน้าผาหินปูนที่สวยงาม

มีทะเลหาดชายที่สวยงามติดอันดับโลก  เช่น อ่าวมาหยา จังหวัดกระบี่ ที่ได้รับยกย่องให้เป็นชายหาดถ่ายรูปสวยที่สุดในโลก และเกาะกระดาน จังหวัดตรัง ที่ติดอันดับชายหาดที่ดีที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังมีหาดอื่นๆ เช่น หาดไร่เลย์ จังหวัดกระบี่, แหลมหาด เกาะยาวใหญ่จังหวัดพังงา, เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี, หาดกล้วย จังหวัดภูเก็ต และหาดบางเบ้า เกาะกูด

นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น เริ่มตั้งแต่การเข้าประเทศ โดยระบบการตรวจลงตราผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแบบใหม่ ที่เป็นระบบบัตรขาเข้าแบบดิจิทัล (Thailand Digital Arrival Card :TDAC) สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งเริ่มใช้มาตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นมา ทำให้ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ใช้เวลาในการตรวจคนเข้าเมืองสั้นลงมาก

ประเทศไทยยังมีระบบการขนส่งมวลชนสาธารณะที่มีความทันสมัยและรวดเร็วในเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น ระบบรถไฟฟ้า ระหว่างสนามบินกรุงเทพมหานคร และเชื่อมต่อไปยังปริมณฑล ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวรองได้อย่างสะดวกสบาย และราคาประหยัด

ยิ่งไปกว่านั้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ยังได้ให้ ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า นักร้องหญิงชาวไทย ที่มีเสียงโด่งดังระดับโลก เป็นพรีเซ็นเตอร์ ชักชวนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวในประเทศไทย แม้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่เธอ เป็นจำนวนที่ไม่น้อยทีเดียว แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่น่าจะทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประเทศไทยมากขึ้น สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยมากขึ้น เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยภาพรวม

ปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เข้ามาในประเทศไทยมากที่สุด เป็นนักท่องเที่ยว สัญชาติมาเลเซีย เป็นอันดับ 1 จำนวน 3,608,943 คน นักท่องเที่ยว สัญชาติจีน เป็นอันดับที่ 2 จำนวน 3,582,322 คน และนักท่องเที่ยว สัญชาติอินเดีย เป็นอันดับที่ 3 จำนวน 1,850,318 คน และนักท่องเที่ยว สัญชาติเกาหลีใต้ เป็นอันดับที่ 4 จำนวน 1,205,556 คน

ในช่วงหลังรายได้จากท่องเที่ยวและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง จนเป็นเรื่องน่ากังวล สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากข่าวที่ชาวต่างชาติถูกหลอกให้ไปทำงานกับแก๊งมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทย โดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน เป็นเหตุให้ชาวต่างชาติส่วนหนึ่งที่มีแผนจะมาเที่ยวเมืองไทย เกิดความกังวลใจว่า ประเทศไทยอาจไม่ปลอดภัย จึงเปลี่ยนไปเที่ยวประเทศอื่นแทน เช่น ประเทศเวียดนาม

สาเหตุอีกประการหนึ่ง อาจเป็นเพราะค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวในประเทศไทย มีราคาปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในบางจังหวัด เช่น เกาะภูเก็ต และเกาะสมุย สูงกว่าการท่องเที่ยวในบางประเทศเสียอีก เช่น เมืองเว้หรือ อ่าวฮาลองเบย์ ประเทศเวียดนาม

ปัญหาอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติลดจำนวนลง และคนไทยมองข้ามเรื่องนี้ไป คือ ปัญหาที่นักท่องเที่ยวต่างชาติถูกเอารัดเอาเปรียบ ทั้งที่คนไทยส่วนหนึ่งอาจมองว่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติมีกำลังเสียค่าใช้จ่ายแพงได้อยู่แล้ว

แต่ไม่คิดแบบ เอาใจเขา มาใส่ใจเรา เพราะแม้นักท่องเที่ยวต่างชาติจะสามารถเสียค่าใช้จ่ายแพงได้ แต่ไม่มีใครอยากให้ถูกหลอกอยู่ตลอดเวลา จนดูคล้ายเป็นคนโง่ หรือไม่ทันคน

ตัวอย่าง เช่น เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง จะมีรถแท็กซี่มิเตอร์จอดเรียงเข้าแถว เพื่อให้บริการอยู่ แต่เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติไปใช้บริการ กลับไม่ยอมกดมิเตอร์เรียกเก็บค่าบริการตามระยะทางและเวลาโดยมิเตอร์ แต่จะใช้วิธีเรียกเก็บเงินแบบเหมา ครั้งละหลายร้อยบาท ไม่ว่าจะเป็น300 บาท, 400 บาท, 500 บาท หรือแพงกว่านั้น ทั้งที่หากเรียกเก็บค่าบริการตามมิเตอร์จริง อาจจะเพียงแค่ 100 กว่าบาทเท่านั้น

คนขับแท็กซี่มิเตอร์ที่เอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวต่างชาติเหล่านั้น หากมีคนไทยพลัดหลงเข้ามาจะใช้บริการจะถูกปฏิเสธ และแม้แต่คนขับแท็กซี่มิเตอร์จากที่อื่นไม่ใช่คนในพื้นที่ที่รู้กัน จะถูกกีดกัน และโดนไล่ให้ไปหาลูกค้าที่อื่น

สิ่งที่เกิดขึ้นในลักษณะเช่นนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาในประเทศไทยและประสบกับเหตุการณ์ จะแสดงความคิดเห็นและส่งต่อกันทางอินเตอร์เนตในรูปแบบต่างๆ เป็นที่รับทราบ และรู้สึกเบื่อหน่าย จนถึงขั้นไม่อยากมาเที่ยวเมืองไทย

สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นปัญหาโดยตรงต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ต้องแก้จิตสำนึกของผู้ให้บริการคนไทยเป็นอันดับแรก มากกว่าที่ทางการของไทยจะหามาตรการใหม่ๆ ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top