วันอาทิตย์ ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2568
'อนุทิน'บินไปมาเลเซีย
ลงนามสัมพันธ์ไทย-เขมร
“นายกฯอนุทิน” บินไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย เป็นเช้าวันที่ 26 ตุลาคม ด้าน “บิ๊กเล็ก” ยืนยันนายกฯ จะเป็น ผู้ลงนาม “คำประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา” ขณะที่สถานการณ์ แนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.สระแก้ว ยังคงอยู่ในภาวะเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดของทหารทั้ง 2 ฝ่าย
เมื่อเช้าวันที่ 25 ต.ค.68 ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีการปรับกำหนดการเดินทางเยือนประเทศมาเลเซียอย่างเป็นทางการ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ระหว่างวันที่ 25 - 28 ต.ค. 2568
เดิมนายกรัฐมนตรีมีกำหนดเดินทางในวันที่ 25 ต.ค.นี้ แต่เนื่องจากมีภารกิจเร่งด่วนในการเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษเพื่อวางกรอบการจัดพระราชพิธีถวายความอาลัย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่เสด็จสวรรคต จึงเลื่อนการเดินทางเยือนประเทศมาเลเซียอย่างเป็นทางการออกไปโดยจะออกเดินทางในวันที่ 26 ต.ค.เวลา 08.00 น.เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 25 -28 ต.ค. 2568
ส่วนการเดินทางเยือนเมืองคย็องจู สาธารณรัฐเกาหลี เข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคสมัยที่ 32 และการประชุมที่เกี่ยวข้องนั้น นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางเข้าร่วมประชุมแทน
ลงนามสัมพันธ์ไทยเขมร
ด้าน พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เปิดเผยก่อนเข้าร่วมประชุม ครม.นัดพิเศษ ถึงความคืบหน้าของการลงนามสันติภาพ หรือคำประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ที่จะมีขึ้นในการประชุมอาเซียนที่มาเลเซียว่า เรื่องดังกล่าวจะยังคงเดินหน้าต่อไป โดยยืนยันว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้เดินทางไปลงนามด้วยตนเองตามกำหนดการเดิม
ส่วนสถานการณ์บริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชาโดยเฉพาะพื้นที่ จ.สระแก้ววันที่ 25 ต.ค.68 ยังคงอยู่ในภาวะเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ขณะที่หน่วยงานความมั่นคงเร่งสร้างความพร้อมและดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนตามแนวชายแดน
มี รายงานจากศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) โดยกองกำลังบูรพา (กกล.บูรพา) ระบุว่า สถานการณ์ด้านความมั่นคงชายแดน จ.สระแก้ว ฝ่ายไทยบ้านหนองจาน มีมวลชนและกลุ่มสื่อมวลชน ประมาณ 15-20 คน ปักหลักทำกิจกรรมแสดงออกถึงความรักชาติหวงแหนอธิปไตย ส่วนบ้านหนองหญ้าแก้ว ประชาชนในพื้นที่ยังใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ ส่วนฝั่งตรงข้าม ฝ่ายกัมพูชา ยังคงมีการตรึงกำลังและจัดกำลังเฝ้าระวังสลับเปลี่ยนเวรยามอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชม.เพื่อเฝ้าติดตามสถานการณ์และความเคลื่อนไหวของฝ่ายไทยอย่างใกล้ชิด สถานการณ์ทั่วไปปกติ ส่วนในพื้นที่บ้านโจกเจย พบความเคลื่อนไหวของทหาร ตำรวจ สื่อมวลชน และประชาชนกัมพูชาประมาณ 30–40 คน รวมตัวและแฝงตัวอยู่ในพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อสังเกตความเคลื่อนไหวของฝ่ายไทย และบ้านเปรยจัน ส่วนใหญ่เป็นทหารและตำรวจ ปฏิบัติหน้าที่เวรยาม 24 ชม. และไม่มีท่าทีที่จะมีการอพยพออกจากพื้นที่แต่อย่างใด
สระแก้วสร้างหลุมหลบภัย
การปฏิบัติการที่สำคัญ กกล.บูรพา โดย ช.พัน.2 ได้ดำเนินการจัดสร้างบังเกอร์และหลุมหลบภัยประชาชน ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สระแก้ว ภายใต้โครงการสนับสนุน “กองทุนหทัยทิพย์” กองทัพบก ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ 21 ต.ค.68 ที่ผ่านมา ในการสร้างหลุมหลบภัยจำนวน 3 จุด และบังเกอร์ จำนวน 10 จุด ปัจจุบันได้ดำเนินการก่อสร้างคืบหน้าไปแล้ว ประมาณร้อยละ 28 และได้เริ่มดำเนินการสร้างบังเกอร์เพิ่มเติมตามแผน อีก 62 จุด โดยเริ่มต้นก่อสร้างในพื้นที่ ต.ป่าไร อ.อรัญประเทศ เป็นลำดับแรก
ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 1 โดยศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 ขอยืนยันความพร้อมในการปกป้องผืนแผ่นดินอธิปไตยของชาติในทุกมิติ บริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สระแก้ว โดย กกล.บูรพาและทุกภาคส่วน มีความพร้อมที่จะปฏิบัติการตามแผนรองรับสถานการณ์และการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น รวมทั้งการดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนในพื้นที่อย่างสุดกำลังความสามารถ
จับ 9 คนไทย 5 ชาวเขมรลักลอบเข้าไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าเมื่อเวลา 04.00 น.ของวันที่ 25 ต.ค.68 กองร้อยทหารพรานที่ 1204 ชุดควบคุมกรมทหารพรานที่ 12 ควบคุมตัวคนไทย 9 คน และคนกัมพูชา 5 คน ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยสามารถคุมตัวได้ที่จุดตรวจที่ 64-65 อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
ทั้งนี้ กลุ่มคนไทยผู้ถูกจับกุมเล่าว่าไปเจองานที่สนใจในเฟซบุ๊กจึงได้ทักไปคุยกับแอดมิน มีการตกลงค่าจ้างกันที่ 15,000 บาทต่อเดือน โดยต้องเดินทางไปที่กัมพูชา มีการจ้างรถมารับ ขณะข้ามฝั่งบางคนเดินข้ามน้ำ บางคนนั่งเรือข้ามฟากไป เพราะไปในช่วงเวลาที่ต่างกัน พอไปถึงกัมพูชาเขาก็ให้นั่งดูงาน เป็นงานแอดมินทั่วไป บางคนมีการสแกนหน้า 4-5 ครั้ง เปิดเป็นบัญชีม้า ถ้าไม่ทำตามจะถูกข่มขู่และทำร้ายร่างกาย
ในวันที่จะต้องส่งตัวกลับจะมีการแจ้งว่าจะส่งกลับกี่คน และมีรถมารับ โดยที่ไม่มีใครได้ค่าตอบแทนกลับมา และยังต้องเสียค่าหัวคนละ 8,000 บาท และที่ได้กลับมาเพราะเขาจะย้ายที่ทำงานไปที่ประเทศลาว ส่วนคนกัมพูชา สาเหตุที่ต้องเข้ามาในไทย เพราะต้องเข้ามาทำงานที่ตลาดโรงเกลือ เสียค่าหัวคิวคนละ 5,000 บาท ส่วนคนที่นำพาเข้ามาเป็นคนกัมพูชา และทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเป็นการทำงานใช้หนี้ให้พ่อ ทำมา 4 ครั้งไม่เคยโดนจับ เพราะหนีทัน
ทภ.2 ลุยพัฒนาชายแดน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 24 ต.ค.68 ที่ผ่านมา พล.ต.กิตติศักดิ์ ถาวร ผู้บัญชาการกองพลพัฒนา 2 เป็นผู้แทนแม่ทัพภาคที่ 2 ให้การต้อนรับคณะจากศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก (ศปส.ทบ.) ซึ่งนำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่บริเวณภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อเยี่ยมชมและถ่ายทำกิจกรรมการพัฒนาในพื้นที่ตามแนวชายแดน ประกอบด้วยการเยี่ยมชมเส้นทางยุทธวิธีที่พัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพการใช้งานของกำลังพลและยานพาหนะในพื้นที่ชายแดน การปรับปรุงแหล่งน้ำ และระบบส่งน้ำเพื่อรองรับประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ให้มีแหล่งน้ำที่มั่นคงและใช้งานได้จริง และการจัดแสดงวัตถุระเบิดที่ตรวจพบในพื้นที่ชายแดน ซึ่งสะท้อนถึงความทุ่มเทของกองทัพภาคที่ 2 ในการดูแลพื้นที่ชายแดน ทั้งด้านความมั่นคงและความปลอดภัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์ตามแนวชายแดนให้กับสื่อมวลชน พร้อมสร้างความเข้าใจที่ดีต่อบทบาทของกองทัพในการปฏิบัติภารกิจ คือการป้องกันประเทศ และช่วยเหลือประชาชนไปพร้อมกัน
พร้อมกันนี้ ชมรมพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร กองทัพภาคที่ 2 (ชมรม พสบ.ทภ.2) ได้ร่วมเดินทางและปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ดังกล่าวโดยได้มอบสิ่งของและอุปกรณ์สำหรับปรับปรุงที่พักของกำลังพล เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งพลังสำคัญจากเครือข่ายมวลชนของกองทัพภาคที่ 2 ที่พร้อมสนับสนุนภารกิจของกองทัพอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ คณะฯ ยังได้เยี่ยมชมโครงการก่อสร้างหลุมหลบภัยขนาดความจุ 40 คน ณ บ้านภูมิซรอล ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากโครงการกองทุนหทัยทิพย์ ภายใต้ มูลนิธิจุฬาภรณ์ ซึ่งดำเนินการภายใต้พระดำริของ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความมั่นคง ขวัญกำลังใจ และความปลอดภัยให้กับทั้งกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่และพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนอย่างแท้จริง
การดำเนินงานทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความมุ่งมั่นของกองทัพภาคที่ 2 ในการปฏิบัติภารกิจเพื่อความมั่นคงของชาติ และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดน พร้อมเดินหน้าพัฒนาควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่า ทุกภารกิจของกองทัพภาคที่ 2 ดำเนินไปเพื่อประโยชน์ และความมั่นคงของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี