วันจันทร์ ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2568
‘อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม’ชำแหละ State Capture เมื่อทุนอาชญากรรม‘ซื้ออำนาจรัฐ’ ปล่อยผ่าน‘สิ่งผิดปกติ’อาจกลายเป็น‘เรื่องปกติ’
27 ตุลาคม 2568 ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม โพสต์เฟซบุ๊ก Kittipong Kittayarak เรื่อง State Capture: เมื่อทุนอาชญากรรม “ซื้ออำนาจรัฐ” ระบุว่า...
State Capture: เมื่อทุนอาชญากรรม “ซื้ออำนาจรัฐ”
คำถามสำคัญที่สังคมไทยต้องเผชิญในยุคนี้ คือ
“เราจะยอมปล่อยให้ทุนจากอาชญากรรม ‘ซื้ออำนาจรัฐ’ หรือไม่?”
นี่ไม่ใช่ถ้อยคำเกินจริง หากแต่เป็นคำถามเชิงยุทธศาสตร์ที่หลายประเทศเคยมองข้ามในจุดเริ่มต้น และต้องเผชิญความเสียหายในระดับ “โครงสร้างรัฐและความเชื่อมั่นของประชาชน” ในเวลาต่อมา ประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยจากนานาประเทศสะท้อนตรงกันว่า หากรัฐปล่อยให้ความชอบธรรมของกติกาสังคมถูกซื้อหรือบิดเบือนได้ ความเสื่อมถอยของหลักนิติธรรม ประชาธิปไตย และธรรมาภิบาลจะเกิดขึ้น และต้องใช้เวลาอีกยาวนานกว่าที่จะฟื้นกลับมาได้ หรือสำหรับบางประเทศ อาจไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้อีกเลย
1. อาชญากรรมยุคดิจิทัล: จากอาชญากรรมรายคดี สู่ภัยคุกคามโครงสร้างรัฐ
ในอดีต สังคมคุ้นชินกับการมอง “ยาเสพติด” เป็นอาชญากรรมที่สร้างความเสียหายที่สุด เพราะทำลายชีวิตและชุมชน อีกทั้งมีทุนมหาศาลและทำงานเป็นองค์กรอาชญากรรม แต่ปัจจุบัน ภูมิทัศน์อาชญากรรมได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ โลกดิจิทัลเปิดพื้นที่ใหม่ให้อาชญากรรมพัฒนาเป็น “ระบบเศรษฐกิจใต้ดิน” ที่ซับซ้อน เชื่อมโยงระหว่างประเทศ และหมุนเวียนด้วยเม็ดเงินมหาศาล โดยเฉพาะ 3 ฟันเฟืองสำคัญ ได้แก่
• การหลอกลวงออนไลน์ (Scam)
• การค้ามนุษย์รูปแบบใหม่ (Human Trafficking)
• การฟอกเงิน (Money Laundering)
ต่างจากภาพจำในอดีต เครือข่ายอาชญากรรมยุคนี้ไม่ได้ใช้ศูนย์กลางกำลังคนและอาวุธแบบเดิม หากแต่ใช้เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่องโหว่ของกฎหมาย และการเงินไร้พรมแดนเป็นเครื่องมือในการดำเนินงาน
การหลอกลวงออนไลน์ (Scam) ได้พัฒนาเป็นอุตสาหกรรมผิดกฎหมายเต็มรูปแบบ เข้าถึงเหยื่อได้กว้างและลึกกว่ายาเสพติด ใช้เทคโนโลยีสร้างตัวตนเสมือนจริง ลอกเลียนเสียง หน้าตา และข้อมูลส่วนบุคคลจนประชาชนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อ เมื่อรายได้เติบโต ขบวนการจำเป็นต้องหาแรงงานจำนวนมาก — และนี่คือจุดที่เชื่อมไปสู่อาชญากรรมค้ามนุษย์รูปแบบใหม่ ผู้คนจำนวนไม่น้อยถูกหลอกให้เดินทางไปทำงาน ก่อนถูกยึดหนังสือเดินทางและบังคับให้ทำหน้าที่ “หลอกคนอื่น” ซ้ำ เป็นอาชญากรรมที่สร้างบาดแผลทั้งทางกาย จิตใจ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
หัวใจสำคัญที่สุดที่ทำให้ระบบนี้เติบโตได้อย่างยั่งยืน คือ การฟอกเงิน (Money Laundering) เพราะไม่ว่าอาชญากรรมจะทำเงินได้มากเพียงใด หากเงินเหล่านั้นไม่สามารถกลับมาใช้ได้ในระบบเศรษฐกิจปกติ เครือข่ายก็จะเติบโตต่อไม่ได้
เทคโนโลยีการเงินยุคใหม่ — ตั้งแต่ e-Wallet, คริปโตเคอร์เรนซี, แพลตฟอร์มโอนเงินข้ามพรมแดน, บริษัทนอมินี จนถึงการแบ่งธุรกรรมเป็นนับพันรายการ — ทำให้การติดตามเงินสกปรกยากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เงินผิดกฎหมายสามารถ “หลุดจากเรดาร์” และกลับเข้าสู่ระบบในรูปของทรัพย์สินสะอาดได้ภายในเวลาไม่นาน
และเมื่อเงินเติบโตจนเกินจุดหลบซ่อน เครือข่ายจะไม่หยุดอยู่ที่การแสวงหากำไรอีกต่อไป แต่จะเริ่มลงทุนเพื่อซื้อความคุ้มกัน — ซื้ออำนาจ — และ ซื้อกติกาใหม่ให้ตนเอง
นี่คือจุดเริ่มต้นของ State Capture หรือ “การซื้ออำนาจรัฐ”
2. จากการฟอกเงินสู่ State Capture: เส้นทางลึกของการซื้ออำนาจรัฐ
State Capture หรือ “การซื้ออำนาจรัฐ” ไม่ใช่เพียงการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐรายบุคคล แต่หมายถึงการที่ทุนหรือกลุ่มผลประโยชน์สามารถเข้าไปบิดเบือน ควบคุม หรือกำหนดกติกา กฎหมาย นโยบาย หรือสถาบันของรัฐให้เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตนเหนือสาธารณะ จนประชาชนสูญเสียอำนาจในการกำหนดทิศทางประเทศอย่างแท้จริง
จากประสบการณ์นานาประเทศ กระบวนการนี้ค่อย ๆ ขยายรากลึกตามขั้นตอนสำคัญ ได้แก่:
1) แปลงทุนผิดกฎหมายให้กลายเป็นอิทธิพลที่ดูชอบธรรม
เงินที่ฟอกแล้วถูกนำไปลงทุนในธุรกิจจริง ผู้ผลิตสื่อ มูลนิธิ หรือกิจกรรมสาธารณะ เพื่อสร้างภาพ “ผู้ทำประโยชน์ให้สังคม” ทำให้การตรวจสอบยากขึ้น
2) ซื้อความคุ้มกันเชิงสถาบัน
ผ่านระบบกฎหมาย การเมือง และวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง เช่น นักกฎหมาย นักการเงิน นักบัญชี ผู้ตรวจสอบ ผู้รับจดทะเบียนบริษัท เกิด “เกราะคุ้มกันทางกฎหมาย” ให้ทุนสีเทาเติบโตโดยไม่ถูกแตะต้อง
3) ดัดแปลงกติกาและการบังคับใช้กฎหมายให้เอื้อประโยชน์
มาตรการกำกับถูกผ่อนปรน การตีความกฎหมายเปลี่ยนทิศ หรือมีการโยกย้ายบุคลากรในตำแหน่งสำคัญ นำไปสู่การบังคับใช้แบบเลือกปฏิบัติ
4) สร้างพื้นที่สีเทาให้เป็น “เขตปลอดภัย” ของทุนผิดกฎหมาย
เมื่อระบบตรวจสอบอ่อนแรง พื้นที่บางส่วนของเศรษฐกิจหรือสถาบันรัฐจะกลายเป็นฐานปฏิบัติการให้ทุนสีเทารีไซเคิลเงินและเพิ่มอำนาจของตนอย่างต่อเนื่อง
กระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้หลายประเทศรู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อระบบรัฐถูก “ซื้อ” ไปแล้ว
3. บทเรียนจากต่างประเทศ: หลักนิติธรรมคือจุดชี้ชะตา
บทเรียนจากหลายประเทศชี้ว่า State Capture ไม่ได้เริ่มจากอาชญากรรมครั้งใหญ่ครั้งใดครั้งหนึ่ง แต่เกิดจากการปล่อยให้ หลักนิติธรรมอ่อนลงทีละเล็กทีละน้อย จนกลายเป็นช่องว่างให้ทุนและเครือข่ายผลประโยชน์เข้าครอบงำกลไกรัฐ
จุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่พบร่วมกัน ได้แก่:
ประการแรก – หลักนิติธรรมถูกบิดเบือนและบังคับใช้ไม่เสมอหน้า
ความเชื่อมั่นของประชาชนจะสึกกร่อนทันที เมื่อเห็นว่ากฎหมาย “ไม่ใช่ของทุกคน” แต่เลือกใช้กับบางคนและยกเว้นให้บางกลุ่ม
ประการที่สอง – ประชาธิปไตยไร้หลักค้ำยันจากหลักนิติธรรมและการตรวจสอบ
การเลือกตั้งโดยลำพังไม่สามารถป้องกันการซื้ออำนาจรัฐได้ หากกลไกถ่วงดุลอ่อนแอ เสรีภาพสื่อหายไป หรือประชาชนตั้งคำถามได้ไม่ปลอดภัย
ประการที่สาม – ขาดความโปร่งใสและข้อมูลเจ้าของผลประโยชน์ที่แท้จริง
เมื่อสังคมไม่รู้ว่า “ใครเป็นเจ้าของผลประโยชน์ที่แท้จริง” (Beneficial Owner) ของทรัพย์สิน บริษัท หรือกิจกรรมทางการเมือง (Political Financing) ทุนสีเทาย่อมมีช่องทางในการสวมรูปทางการ (Legitimate Front) และแทรกซึมเข้าสู่สถาบันรัฐได้ง่ายโดยแทบไม่ถูกมองเห็น ช่องว่างนี้ทำให้การตรวจสอบความเชื่อมโยงของผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) ทำได้จำกัด และเปิดโอกาสให้ทรัพยากรของรัฐถูกใช้ตอบสนองกลุ่มเฉพาะ มากกว่าประโยชน์สาธารณะ
บทเรียนสำคัญคือ การสร้างความเข้มแข็งของหลักนิติธรรม คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการหยุดยั้งวงจร State Capture
4. บริบทภูมิภาคและสัญญาณเตือนของประเทศไทย
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญคลื่นทุนอาชญากรรมข้ามพรมแดน ที่ใช้เทคโนโลยี การเงินดิจิทัล และช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อขยายอิทธิพลเร็วกว่ารัฐจะรับมือได้ทัน หลายประเทศเริ่มเห็นสัญญาณของ “รัฐซ้อนรัฐ” ที่ทุนสีเทาเข้าไปมีบทบาทในเศรษฐกิจ ท้องถิ่น และบางมิติของอำนาจรัฐ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่การบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอ ซึ่งกำลังกลายเป็นความท้าทายด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่ของภูมิภาคนี้
สำหรับประเทศไทย เราอยู่ในจุดเชื่อมสำคัญของการเดินทาง การลงทุน และการเคลื่อนย้ายคน–เงิน–เทคโนโลยีในภูมิภาค จุดแข็งนี้ หากปราศจากหลักนิติธรรมและสถาบันที่เข้มแข็งคุ้มกันไว้ ย่อมกลายเป็นความเปราะบางได้ง่าย เรากำลังอยู่ในบรรยากาศที่เงินเริ่มมีบทบาทนำในระบบการเมือง ขณะที่กลไกตรวจสอบและกระบวนการยุติธรรมถูกตั้งคำถามเรื่องความน่าเชื่อถือมากขึ้นเรื่อย ๆ
ที่น่ากังวลไม่แพ้กัน คือ บรรทัดฐานของสังคมกำลังพร่าเลือนโดยไม่รู้ตัว ส่วนหนึ่งจากกระแสโซเชียลมีเดียที่ทำให้ประเด็นใหญ่ถูกบิดเบนเป็นดราม่ารายวัน ความถูก–ผิดถูกชี้โดยความนิยมชั่วคราวมากกว่าหลักการ ข้อยกเว้นเล็ก ๆ หากปล่อยผ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำให้ “สิ่งผิดปกติ” ถูกมองว่าเป็น “เรื่องปกติ” และยากจะเรียกหลักนิติธรรมกลับคืนมา
เมื่อสังคมไม่รู้สึกว่าควรปกป้องกติกากลางร่วมกันอีกต่อไป ความเสียหายจะไม่หยุดเพียงความน่าเชื่อถือของสถาบันรัฐ แต่คือการสูญเสีย “ฉันทามติร่วมของสังคม” ว่าประเทศควรเดินบนหลักใด — และเมื่อสูญเสียแล้ว การกู้คืนไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมาย แต่คือเรื่องของ “ความเชื่อมั่น” และ “เจตจำนงค์ร่วมกัน” ของผู้คนทั้งประเทศ
5. ทางออกเชิงโครงสร้าง: ต้องเริ่มก่อนที่กติกาจะถูกเปลี่ยนจนแก้ไม่ทัน
การรับมือทุนอาชญากรรมข้ามพรมแดนไม่ใช่เรื่องของ “การจับกุมให้มากขึ้น” แต่คือการสร้าง “ภูมิคุ้มกันเชิงระบบ” ที่ทำให้กติกาของประเทศแข็งแรงพอจะต้านแรงเงิน แรงการเมือง และแรงปะทะของกระแสได้พร้อมกัน โดยต้องเชื่อมโยงกับมาตรฐานสากลเพื่อให้ระบบแข็งแรงจากภายใน ดังนี้
1. เสริมความศักดิ์สิทธิ์ของหลักนิติธรรม (Rule of Law) ให้เสมอหน้า
การสร้างระบบที่กฎหมาย “ศักดิ์สิทธิ์สำหรับทุกคน” คือหัวใจตามกรอบของ World Justice Project (WJP) ซึ่งเน้น 4 เสาหลัก คือ การจำกัดอำนาจรัฐ (Constraints on Government Powers), การขจัดการเลือกปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมาย (Equal Application of the Law), การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรม (Access to Justice), และความยุติธรรมที่เป็นอิสระจากอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจ (Independent Justice)
ประเทศไทยต้องสร้างความมั่นใจว่ากฎหมายถูกบังคับใช้ตามหลักการ ไม่ใช่ตามบุคคลหรือสถานะ เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นว่ากติกาที่ใช้กับผู้มีอำนาจและผู้มีทุน คือกติกาเดียวกับประชาชนทั่วไป
2. เพิ่มความโปร่งใสเชิงลึกตามมาตรฐานสากลด้าน Beneficial Ownership
ต้องพัฒนาและเปิดเผยข้อมูลเจ้าของผลประโยชน์ที่แท้จริง (Beneficial Ownership Registry) ของบริษัท ทรัสต์ และทรัพย์สินทางการเมือง ให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ FATF (Financial Action Task Force) และ OECD เพื่อปิดช่องสวมชื่อผู้อื่น (Nominee) และการใช้บริษัทบังหน้า (Shell Companies) รวมถึงยกระดับการเปิดเผยข้อมูลสินทรัพย์ของเจ้าหน้าที่รัฐและการเงินการเมือง (Political Finance Transparency) ให้ตรวจสอบได้ง่ายโดยสาธารณะ
3. ตัดเส้นเลือดของทุนสีเทา ผ่านกลไก Anti-Money Laundering (AML) ที่เข้มแข็งและร่วมมือภูมิภาค
ต้องไม่หยุดที่การลงโทษ แต่ต้อง “ตัดวงจรเงิน” โดยเสริมระบบติดตามธุรกรรมต้องสงสัย (Suspicious Transaction Reports – STR) และการรู้จักลูกค้า (Know Your Customer – KYC) ทั้งในระบบธนาคารและผู้ให้บริการทรัพย์สินดิจิทัล (Virtual Asset Service Providers – VASPs) พร้อมยกระดับการอายัด–ยึดทรัพย์เชิงรุก (Asset Seizure & Forfeiture) และความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการสืบสวนการเงินตามกรอบของ Egmont Group และ UNODC เพื่อให้การติดตามเงินข้ามพรมแดนเกิดผลจริง ไม่ใช่แค่บนกระดาษ
4. สร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาธิปไตยตั้งอยู่บนหลักการ ไม่ใช่บนเม็ดเงินหรือกระแส
ประชาธิปไตยจะมีคุณภาพได้จริง ก็ต่อเมื่อยืนอยู่บนสองเสาหลักคือ หลักนิติธรรม (Rule of Law) และธรรมาภิบาล (Good Governance) เมื่อกติกาชัด โปร่งใส และตรวจสอบได้ การเมืองจะไม่ถูกนำด้วยเงินหรืออิทธิพล แต่เป็นพื้นที่แข่งขันด้วยแนวคิดและคุณธรรม
ในทางปฏิบัติ ต้องทำให้สื่อ ภาคประชาชน และผู้แจ้งเบาะแส (Whistleblowers) มีพื้นที่ปลอดภัยในการตรวจสอบ สอดคล้องกับ WJP ในมิติ Open Government, Fundamental Rights และ Checks and Balances เพื่อสร้างสังคมที่เห็นคุณค่าการปกป้องกติกามากกว่าการปล่อยให้กระแสหรือความนิยมชั่วคราวเป็นผู้ชี้ถูกผิด
บทสรุป
ประเด็น State Capture ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คือความท้าทายต่อแก่นของรัฐและความไว้วางใจของประชาชน เพราะเมื่อกติกาถูกบิดเบือนด้วยอิทธิพลของทุนผิดกฎหมาย ความยุติธรรมและศรัทธาต่อสถาบันหลักย่อมเสื่อมถอย การป้องกันจึงต้องยืนบนหลักนิติธรรม ธรรมาภิบาล และประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ เพื่อไม่เปิดช่องให้ทุนสีเทาเข้ามายึดอำนาจแทนประชาชน หากเราตระหนักถึงภัยที่กำลังก่อตัวนี้และลงมือป้องกันก่อน เรายังมีโอกาสหยุดยั้งได้
แต่หากปล่อยผ่าน “สิ่งผิดปกติ” อาจค่อย ๆ กลายเป็น “เรื่องปกติ”
จนรู้ตัวอีกทีเมื่อ “อำนาจรัฐ” ตามหลักการประชาธิปไตย ไม่ได้อยู่ในมือของประชาชนอีกต่อไป
กิตติพงษ์ กิตยารักษ์
26 ตุลาคม 2568
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี