กห.เผยไทยแค่ถอนอาวุธหนัก ไม่ได้ถอนกำลัง ชี้ใช้กลไก AOT กดดัน หากเขมรเบี้ยว

กห.เผยไทยแค่ถอนอาวุธหนัก ไม่ได้ถอนกำลัง ชี้ใช้กลไก AOT กดดัน หากเขมรเบี้ยว

วันจันทร์ ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 15.20 น.

โฆษกกลาโหม ยัน ไทยแค่ถอนอาวุธหนัก ไม่ได้ถอนกำลังหมด เผย ใช้กลไก AOT กดดัน หากเขมรเบี้ยวเก็บกู้ระเบิด ด้าน กต. เดินหน้าสำรวจหมุดเขตแดนเร่งด่วน บ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว ย้ำ ไม่เสียเปรียบ 

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 เมื่อเวลา 13.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ในประเด็นการถอนอาวุธหนักที่มีอำนาจการทำลายล้างสูง เช่น จรวดหลายลำกล้อง BM-21 ได้มีกำหนดการถอนกำลังและถอนอาวุธในวันที่ 1 – 21 พ.ย. ส่วนเฟสที่ 2 เป็นการถอนกำลัง อาวุธ ระบบปืนใหญ่ทุกประเภท ปืนทำลายล้างสูง ปืนใหญ่อัตตาจร กำหนดห้วงเวลาคือ 22 พ.ย. – 12 ธ.ค. ส่วนเฟสที่ 3 จะเป็นการถอนอาวุธที่เหลือ เช่น รถหุ้มเกาะ รถถัง กำหนดเวลาไว้ที่ 13 ธ.ค. – 31 ธ.ค.  คาดว่าจะถอนกำลังและอาวุธหนักทั้งหลายสิ้นทั้งหมดภายในสิ้นปี ครอบคลุมเวลาทั้งหมด 2 เดือน ส่วนข้อห่วงใยของประชาชนเรื่องการถอนอาวุธจะหมายถึงถอนทหารด้วยหรือไม่นั้น ขอยืนยันว่าเป็นแค่การถอนอาวุธหนัก กองกำลังป้องกันชายแดนที่มีการวางกำลังอยู่ในพื้นที่เดิมอยู่แล้วไม่มีการถอนกำลังใดๆ กำลังพลที่ทำปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนยังคงปฏิบัติหน้าที่เช่นเดิม ขอให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนว่าเรายังคงดำรงการปกป้องอธิปไตยของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เราไม่ได้มีการถอนกำลังหมด


พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า ส่วนที่มีคำถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่ากัมพูชาถอนอาวุธหนักจริงหรือไม่นั้น เรามีกลไกคณะผู้สังเกตการณ์จากผู้แทนสมาชิกอาเซียน หรือ AOT  จำนวน 8 ประเทศ  โดยมีหน้าที่รายงานไปยังหน่วยขึ้นตรงของเขา ถ้ามีปัญหาใดๆ ทางฝ่ายไทยหรือฝ่ายกัมพูชาจะรายงานหรือแจ้งไปที่ฝ่าย AOT เพื่อให้รายงานและสร้างแรงกดดันไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ขอยืนยันว่าเรามีกลไกในเรื่องของการตรวจสอบ ส่วนการเก็บกู้ทุ่นระเบิด  ซึ่งประชาชนมีความจำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปในป่าเพื่อหาพืชพรรณ ซึ่งหากยังมีระเบิดในพื้นที่ยังจะส่งผลอันตราย โดยได้มีการจัดตั้งชุดประสานงานร่วมเฉพาะกิจ (JCTF) ขึ้นมาเพื่อประสานงานในพื้นที่ต่างๆ เพื่อจะเข้าไปเก็บกู้ระเบิด โดยฝ่ายไทยเสนอพื้นที่นำร่อง 13 พื้นที่ในเรื่องการเก็บกู้ระเบิด ที่ผ่านมาเริ่มมีการดำเนินการไปบ้างแล้ว ในบางส่วนมีการถูกขัดขวางจากกัมพูชาบ้าง แต่เรามีกลไกลเจรจาและพูดคุยเพื่อให้บรรลุในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด  และยืนยันว่า จะไม่มีกองกำลังของอาเซียนเข้ามาร่วมสังเกตการณ์ จะเป็นเพียงผู้แทนของประเทศทางการทูตเท่านั้น

ด้านนายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงผลสรุปการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ระหว่างไทย-กัมพูชา ตลอดเวลาที่ผ่านมาว่า กลไกเจบีซีเป็นกลไกทางเทคนิคในการสำรวจจัดทำหลักเขตแดน และมีการประชุมสมัยวิสามัญเมื่อวันที่ 21-22 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่ จ.จันทบุรี ซึ่งผลลัพธ์การประชุมแบ่งออกเป็นสามประเด็นหลัก ได้แก่ 1.การซ่อมแซมและจัดทำหลักเขตแดน เพื่อเปลี่ยนหรือทดแทนหลักเขตแดนเดิมที่เสียหาย ที่ทั้งสองฝ่ายเคยมีความเห็นตรงกันแล้ว  2.เร่งรัดการแก้ไขทีโออาร์ปี 2003 เพื่อนำเทคโนโลยีไลดาร์ (LiDAR) มาใช้ทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ โดยเห็นชอบให้มีการทดลองใช้เทคโนโลยีดังกล่าว ภายในในช่วงสัปดาห์แรกของเดือน ธ.ค.68 3.เห็นพ้องต่อกระบวนการสำรวจและจัดทำหมุดชั่วคราวอย่างเร่งด่วน บริเวณหลักเขตแดน 42-47 ซึ่งเป็นพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจน และให้หน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง สามารถบริหารจัดการประเด็นที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการรับรองที่ดินในบริเวณดังกล่าว ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหวังว่าจะมีส่วนช่วยลดการกระทบกระทั่ง และความขัดแย้งในรูปแบบต่างๆ 
นายเบญจมินทร์ กล่าวว่า ในส่วนการสำรวจและทำหมุดชั่วคราว ขณะนี้ฝ่ายกัมพูชากำลังพิจารณาร่างคำแนะนนำทางเทคนิค (Technical instructions) สำหรับการสำรวจและวางหมุดชั่วคราวในบริเวณเร่งด่วน ซึ่งฝ่ายไทยได้จัดทำร่างหนังสือแล้วและกำลังรอคำตอบอยู่ โดยกำหนดไว้ภายในวันที่ 14 พ.ย. จากนั้นจะเริ่มทำการสำรวจวางหมุดชั่วคราวภายในวันที่ 17 พ.ย. โดยแผนงานคร่าวๆ คือเริ่มจากหลักเขตแดน 42-43 แล้วตามด้วยหลักเขตแดน 46-47 และ 43-46 ตามลำดับ ซึ่งเมื่อทั้งสองฝ่ายดำเนินการแล้วต้องนำผลสำรวจ นำเสนอต่อรัฐบาลของแต่ละฝ่ายเพื่อขอความเห็นชอบ และเพื่อกำหนดกลไกที่เหมาะสมต่อการปรับการถือครองที่ดินของทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ ยืนยันว่าการวางหมุดชั่วคราว มีวัตถุประสงค์เพื่อการสำรวจเท่านั้น ไม่กระทบต่อสิทธิ์ของไทยและกัมพูชาในเรื่องของเขตแดน ตามกฏหมายระหว่างประเทศ  นอกจากนี้ ยังมีการตกลงกันว่า ให้มีการประชุมเจบีซีอีกครั้ง เพื่อติดตามการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวของทั้งสองฝ่าย โดยจะจัดให้มีขึ้นในช่วงต้นเดือน ม.ค.69

ผู้สื่อข่าวถามว่า การแก้ไขทีโออาร์ 2003 จะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบหรือไม่ นายเบญจมินทร์ กล่าวว่า ทีโออาร์ 2003 เป็นข้อปฏิบัติจาก MOU 43 จึงไม่มีเนื้อหาอันใดที่จะทำให้เสียเปรียบได้ เป็นการกำหนดรายละเอียดแก่ผู้ปฏิบัติเท่านั้น 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top