วันจันทร์ ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2568
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 ตุลาคม 2568 ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตปลัดกระทรวงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และอดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 ระบุว่า สมเด็จฯ กับการประมงไทย(ตอนที่ 1)
บัดนี้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวง ได้เสด็จผ่านฟ้าสวรรคตไปแล้ว ผมในฐานะข้าละอองธุลีพระบาทที่จงรักภักดีเป็นที่ยิ่งคนหนึ่ง จะขอเล่าเรื่องพอสังเขปในพระราชกรณียกิจที่สำคัญทางการประมงและป่าไม้ในตลอดสมัยของการเป็นอธิบดีกรมประมงและกรมป่าไม้ 18 ปี
ผมเข้าเฝ้าสมเด็จฯ ครั้งแรกที่ค่ายทหารบริเวณคลองหอยโข่งใกล้กับสนามบินหาดใหญ่เมื่อ 45 ปีมาแล้ว วันนั้นนำปลานิลที่เริ่มมีสีทองไปถวายเพื่อปล่อยในบ่อของค่ายทหาร ทรงตรัสถามว่า ทำไมปลานิลถึงเริ่มมีสีทอง จึงกราบบังคมทูลว่า สถานีประมงที่อุบลราชธานีเขาทำการทดลอง ทรงรับสั่งว่า ถ้ามีสีแดงทั้งหมดคงสวยนะ ประชาชนคงชอบและรับประทานกันมากๆ เพราะตัวดั้งเดิมพระเจ้าอยู่หัวทรงเลี้ยงอยู่ที่สวนจิตลดา จึงกราบบังคมทูลสัญญาว่า กรมประมงจะทำให้ได้ ในที่สุดก็สำเร็จดังที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ผลงานนี้ภายหลังภาคเอกชนเช่น CP ก็เอามาทำต่อและขายดิบขายดีอยู่จนทุกวันนี้
คืนวันหนึ่งทรงประทับเรือผ่านศูนย์ศิลปชีพบางไทร ทรงเอ่ยขึ้นว่า ใครจำกาพย์เห่เรือเจ้าฟ้ากุ้งเรื่องปลาน้ำจืดได้บ้าง เช่น “ นวลจันทร์เป็นนวลจริง เจ้างามพริ้งยิ่งนวลปลาฯ“จากนั้นก็ทรงมีพระราชปรารภถึงการอนุรักษ์ปลาน้ำจืดของไทยและการสร้าง Aquarium หรือวังปลาที่ศูนย์ศิลปชีพบางไทร โดยมีท่านองคมนตรีธานินทร์รับเป็นเจ้าของเรื่องร่วมกับกรมประมง ซึ่งต่อมาภายหลังน้องชายผมคือ ดร.คำรบลักขิ์ ก็ได้ออกแบบถวาย ซึ่งเป็นการเริ่มการอนุรักษ์ปลาไทยอย่างจริงจังมิให้สูญพันธุ์
สมเด็จฯ ทรงเป็นห่วงเรื่องน้ำในพรุของจังหวัดนราธิวาส เช่น พรุบาเจาะ พรุมูโน๊ะ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพัฒนา แต่ยังมีความเค็มและเป็นกรดสูงมาก จึงรับสั่งให้หาทางแก้ไขและสร้างตัวชี้วัด จนมาวันหนึ่ง ทรงทวงถามว่า สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร จึงกราบบังคมทูลว่า ดีขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังทรงซักต่อว่า รู้ได้อย่างไร จึงกราบทูลว่า ทรงทอดพระเนตรเห็นปลากระพงขาวที่ทรงเคยปล่อยไหม ตอนนี้เขาอยู่รอดแล้ว จำได้ว่า ทรงดีพระทัยมากและทรงรำพึงว่า ราษฎรจะไม่เดือดร้อนอีกแล้ว สำหรับผมก็ได้รับรางวัลคือ ได้รับพระราชทานเหรียญ CELESประดับเพชร
เมื่อผมย้ายมาอยู่กรมป่าไม้แล้ว ทรงรับสั่งให้รีบไปเฝ้าที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์พร้อมดร.จรัลธาดา รองอธิบดีกรมประมงในขณะนั้น จำได้ว่า เข้าเฝ้าตอนตีหนึ่ง โดยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ประทับอยู่ด้วย ทรงเล่าว่า เมื่อวานนี้มีราษฎรมาเกาะพระชงค์และร้องไห้ด้วยยากจนว่า ไม่มีปลาจะให้จับกินและขาย จึงกราบบังคมทูลหารือพระเจ้าอยู่หัวและได้รับคำแนะนำให้เรียกผมและดร.จรัลธาดามาหารือเรื่องปะการังเทียมหรือบ้านปลาที่ผมเคยทำอยู่ ผมจึงได้กราบบังคมทูลถึงการวางปะการังเทียมโดยใช้ตู้รถไฟ ทรงเห็นด้วยและมีการแบ่งงานกันทำ โดยมีสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร พระยศในขณะนั้นเป็นผู้บัญชาการ สุดท้าย ก่อนดำเนินการจริง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เข้าเฝ้าและตอบปัญหาทางวิชาการเช่น จะวางที่ไหน ตู้รถไฟที่เป็นเหล็กจะเป็นสนิมเพราะน้ำที่เป็นกรดจากพรุไหม เป็นต้น จนทรงแน่พระทัยแล้วจึงทรงอนุญาตให้เริ่มดำเนินการได้
จากนั้นอีกเกือบ 6 เดือน โครงการก็แล้วเสร็จ และประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดียิ่งเพราะมีปลามาอาศัยมากมาย โดยราษฎรได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาบริหารเหมือนโครงการประมงหมู่บ้าน สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงโสมนัสยิ่งนัก ทรงสบายพระทัย ที่สามารถช่วยราษฎรที่ยากจนตามชายฝั่งทะเลของจังหวัดนราธิวาสให้มีปลาจับกินและขายได้สำเร็จ
ผมคงเขียนเรื่องประมงเพียงเท่านี้ก่อน ทั้งที่ความจริงมีอีกนับสิบนับร้อย เช่น โครงการอนุรักษ์เต่าทะเลที่เกาะมันใน โครงการปล่อยปูทะเล และโครงการเพาะขยายพันธุ์เขียดแลวปล่อยป่า เป็นต้น หากมีคนสนใจก็จะเขียนเรื่องความสนพระทัยและเกื้อหนุนทางป่าไม้ต่อไป สุดท้ายนี้ขอเล่าว่า ตลอด 25 ปีที่มีโอกาสถวายงาน เห็นแต่ทรงงานตลอด จะตรัสอะไรก็เป็นเรื่องงาน งานและงาน และความอยู่ดีมีสุขของอาณาประชาราษฎร์ จะมีสนุกเท่าที่จำได้คือ งานปีใหม่ โจทย์คือถามอธิบดีกรมประมงว่า “ปลาอะไรเล็กที่สุด” ผมก็ตอบหน้าพระพักตร์ว่า “ปลาป่น” จนได้รับพระราชทานรางวัล
ทรงมีพระเมตตาและพระมหากรุณาธิคุณกับผมมากยิ่งนัก เชื่อว่า ทรงสถิตอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นฟ้าแล้วเป็นแน่แท้ สำหรับผมแม้จะวัย 80 แล้วก็จะถวายงานสืบต่อไปตามที่ได้ทรงมีพระราชเสาวนีย์ไว้