วันศุกร์ ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ชำแหละ 5 ข้อ MOU ปราบสแกมเมอร์ แค่‘พิธีกรรม’ปกป้องรัฐจากการถูกเปิดโปง
7 พฤศจิกายน 2568 รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา คณะพัฒนาสังคมและยุทธศาสตร์การบริหาร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต” ระบุว่า...
อะไรคือนัยของพิธีลงนาม MOU ปราบสแกมเมอร์ ของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568ฃ1. การจัดการ “ความกลัว” ในระดับมวลชน
รัฐบาลอนุทินใช้ “ภัยสแกมเมอร์” เป็น ตัวกระตุ้นความกลัว ที่เป็นรูปแบบคลาสสิกที่สุดในจิตวิทยาการเมือง
การสร้างภัยร่วมเพื่อผลิตความชอบธรรมของรัฐ
เมื่อประกาศว่า
“สงครามนี้เป็นสงครามที่เราจะต้องชนะเท่านั้น เพื่อปกป้องประชาชนจากภัยสแกมเมอร์…”
นี่คือ วาทกรรมแห่งความกลัว ที่สร้างอารมณ์ร่วมให้ประชาชนรู้สึกว่าโลกภายนอกอันตราย และรัฐคือ “ผู้ปกป้องเพียงหนึ่งเดียว.”
ในเชิงจิตวิทยา นี่คือการกระตุ้น กลไกการถอยสู่ความพึ่งพาของมวลชน
เมื่อผู้คนเผชิญกับภัยหรือความซับซ้อน พวกเขาจะถอยกลับสู่สภาวะที่ต้องการ “ผู้นำแบบพ่อ” (paternal authority figure) ที่จะบอกว่า “ฉันจะปกป้องเธอ.”
ดังนั้น ความกลัวจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือผลิต “ความศรัทธาเชิงอารมณ์”
เป็นการทำให้ประชาชนยอมจำนนต่ออำนาจ เพื่อแลกกับความมั่นคงทางอารมณ์.
2. อนุทินในฐานะ “พี่ใหญ่แห่งชาติ”
เมื่ออนุทินกล่าวว่า
“หัวหน้ารัฐบาลเป็นเพื่อนกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นพี่ของอธิบดี DSI เป็นพี่ของผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย…”
นี่คือการพูดในภาษาของ ความสัมพันธ์แบบพี่น้อง–ครอบครัว มากกว่าภาษาแห่งรัฐธรรมนูญหรือหลักนิติธรรม.
นี่คือการแสดงออกของภาพจิตเชิงลึกของผู้นำที่ทำให้ผู้ตามรู้สึกมั่นคงเพราะ “เขารู้จักทุกคน เขาดูแลได้ เขาเป็นพี่ใหญ่ของชาติ.”
การพูดเช่นนี้ไม่ใช่เพียงวาทกรรม แต่มันสื่อถึงความต้องการ “ฟื้นระเบียบแบบครอบครัว” ที่รัฐไทยใช้ในการปกครองมาอย่างยาวนาน.
ในทางกลับกัน ภาพนี้ยังตอบสนองต่อ ความกลัวของผู้นำเอง
ความกลัวว่าจะสูญเสียการควบคุมในระบบราชการ จึงต้องสร้างภาพว่า “ทุกคนคือพี่น้อง” เพื่อปิดบังความเปราะบางของอำนาจ.
เราจึงเห็น “ความอ่อนไหวของจิตผู้นำ” ที่ต้องใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวมาทำให้ตนรู้สึกมั่นคงในโลกแห่งการเมืองที่ไม่ไว้วางใจใครได้จริง.
3. การชดเชยความรู้สึกผิด
ในระดับจิตไร้สำนึก พิธีนี้อาจสะท้อน “ความรู้สึกผิดของรัฐ” จากข้อกล่าวหาเรื่องธุรกิจสีเทาและการเอื้ออาชญากรรมออนไลน์ในอดีต.
การจัดพิธี “ปราบสแกมเมอร์” จึงทำหน้าที่เป็น กลไกการชดเชยทางจิต
คือการทำสิ่งตรงข้ามกับสิ่งที่รู้ลึกๆ ว่าตนเองอาจมีส่วนในนั้น.
เมื่อรู้สึกว่ารัฐอาจ “เปื้อนบาป” การสร้างพิธีศักดิ์สิทธิ์จึงช่วยทำให้ “superego” ของรัฐรู้สึกบริสุทธิ์.
นี่คือการแสดงออกตรงข้ามกับสิ่งที่รู้สึกภายใน เพื่อปกป้องอัตตาของตนเอง
ในกรณีนี้ รัฐอาจรู้ว่าตนมีส่วนเอื้อระบบสแกมา
แต่กลับแสดงออกว่า “เราจะทำให้ประเทศไทยเป็นดินแดนต้องห้ามของการหลอกลวง.”
ดังนั้น พิธีนี้ไม่เพียงเป็นการแสดงทางการเมือง
แต่ยังเป็น การบำบัดทางจิตของรัฐ เพื่อให้ผู้มีอำนาจรู้สึกว่ายังมีศีลธรรมและอำนาจควบคุมตนเองอยู่.
4. “พิธีกรรม” ในฐานะการรักษาบาดแผลของความไม่ไว้วางใจ
พิธีกรรมคือเครื่องมือที่มนุษย์ใช้เพื่อ เยียวยาความไม่แน่นอน
เมื่อสังคมเผชิญกับความเปราะบางทางศรัทธา
พิธีกรรมทำหน้าที่เหมือน “การสะกดจิตมวลชน” ให้ทุกคนรู้สึกว่า “เราได้เริ่มใหม่.”
พิธีลงนาม MOU จึงเป็น “การฟื้นฟูทางอารมณ์” ของรัฐไทย
การรวมตัวของหน่วยงานราชการ 15 แห่ง ทำให้ผู้คนรู้สึกถึง “ความมั่นคงปลอม”
มันไม่ต่างจากพิธีบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิในสมัยก่อน
ที่ทำให้มวลชนรู้สึกว่ามีระเบียบใหม่เกิดขึ้น แม้ระเบียบนั้นจะว่างเปล่าก็ตาม
พิธีนี้จึงเป็น “ละครเชิงจิตวิทยา” ระหว่างรัฐกับประชาชน
รัฐแสดงบท “ผู้พิทักษ์” และประชาชนถูกทำให้เชื่อว่าตนได้รับการปกป้อง.
5. กลไกการถ่ายโอนความกังวลจากรัฐสู่ศัตรูภายนอก
ผู้นำและรัฐมักถ่ายโอนความกังวลภายใน ออกไปยังศัตรูภายนอก เพื่อรักษาสมดุลของอัตลักษณ์
ในกรณีนี้ รัฐที่ถูกกล่าวหาว่า “อาจเป็นส่วนหนึ่งของระบบสแกม” กลับสร้างเรื่องเล่าว่า “เราคือผู้ทำสงครามกับสแกม.”
คือการโยนเงาความผิดของตนออกไปภายนอก แล้วนิยามสิ่งนั้นว่า “ภัย.”
รัฐจึงกำหนดให้ “สแกมเมอร์” เป็นตัวแทนของความเลวที่ต้องถูกกำจัด เพื่อปลดปล่อยตนเองจากความรู้สึกผิด.
ในระดับสังคม มันคือการสร้าง “ศัตรูทางจิต” เพื่อยึดโยงคนทั้งชาติไว้ด้วยอารมณ์เดียวกัน
คือความโกรธ ความกลัว และความต้องการการปกป้อง.
สรุป
พิธีกรรมลงนาม MOU ของ นายอนุทินและ 15 หน่วยงาน คือ กลไกปกป้องตนเองแบบรวมหมู่ ที่ทั้งรัฐและประชาชนร่วมกันสร้างเพื่อหลบหน้าความจริงอันไม่สบายใจ
นั่นคือความเปราะบางของอำนาจ ความไม่โปร่งใสของระบบ และความไม่ไว้วางใจที่ฝังลึกในจิตสำนึกของสังคมไทยร่วมสมัย
หรือกล่าวอีกอย่างได้ว่า
“รัฐจัดพิธีเพื่อปกป้องประชาชนจากสแกมเมอร์ แต่แท้จริงแล้วพิธีนั้นทำขึ้นเพื่อปกป้องรัฐจากการถูกเปิดโปงในฐานะสแกมเมอร์ทางศีลธรรมของตนเอง“
รัฐบาลสามารถจัดพิธีกรรมปราบสแกมเมอร์ได้
แต่ไม่อาจจัดพิธีปราบความเหลวไหลของระบบได้”
ตราบใดที่รัฐยังเลือกจัดการกับ “อาการ” มากกว่า “โครงสร้าง”
สงครามนี้ก็จะเป็นเพียงละครตอนต่อในจักรวาลแห่งความเหลวไหล
ที่ผู้สนการเมืองทราบดีอยู่แล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี