วันอังคาร ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
วันนี้ 18 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ
1. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
2. มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อ พิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สาระสำคัญ
1. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้เสนอ มีสาระสำคัญเป็นการเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมความผิดเกี่ยวกับเพศและความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา โดยกำหนดเพิ่มเติมฐานความผิดในประมวลกฎหมายอาญาไว้ 5 ประเภท ดังนี้
1) การล่อลวงเด็กเพื่อ วัตถุประสงค์ทางเพศ (ในลักษณะ Offline และ Online Grooming ซึ่งมีลักษณะเป็นการโน้มน้าว จูงใจ ล่อลวง หรือกระทำการไม่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน ให้กระทำการหรือยอมรับการกระทำ อันไม่สมควร 2) การพูดคุยเรื่องเพศที่ไม่เหมาะสม (ในลักษณะ Offline และ Online Unwanted Sexting) ซึ่งมีลักษณะเป็นการส่งหรือส่งต่อซึ่งเรื่องทางเพศที่ไม่เหมาะสมแก่เด็กและเยาวชนไม่ว่าด้วยกาย วาจา ลายลักษณ์อักษร ภาพ เสียง หรือวิธีการอื่น 3) การแบล็กเมลทางเพศ (Sextortion) ซึ่งมีลักษณะเป็นการข่มขู่ว่าจะเผยแพร่ส่งต่อซึ่งข้อความ ภาพ หรือเสียงที่บันทึกเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่เหมาะสมทางเพศ หรือกระทำการใดที่ทำให้อับอายหรือเสียชื่อเสียงเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ และบังคับให้ผู้ถูกข่มขู่กระทำการหรือยอมรับการกระทำที่ไม่สมควรทางเพศ 4) การติดตามคุกคาม (ในลักษณะ Offline และ Online Stalking) ซึ่งมีลักษณะเป็นการเฝ้าดูหรือติดตามอย่างใกล้ชิด หรือการติดต่อหรือพยายามติดต่อไม่ว่าด้วยทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งกระทำซ้ำหลายครั้งต่อบุคคลใดจนเกิดความเดือดร้อนรำคาญเกินสมควร และไม่มีเหตุอันสมควร และ 5) การกลั่นแกล้งรังแกออนไลน์ (Cyber Bullying) ซึ่งมีลักษณะเป็นการกลั่นแกล้ง รังแกระราน ข่มเหง หรือการกระทำอื่นใดซ้ำ ๆ ต่อผู้อื่น ผ่านอุปกรณ์โทรคมนาคม/ระบบคอมพิวเตอร์ โดยนำการกระทำความผิด 5 ประเภทดังกล่าว มากำหนดไว้ให้เป็นความผิดและกำหนดโทษสำหรับการกระทำนั้นในประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาและอยู่ระหว่างดำเนินการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป
2. คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติฯ และมีข้อสังเกตบางประการ เช่น
2.1 ควรมีการยกร่างกฎหมายได้แก่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง ให้มีความครอบคลุมถึงความผิดคุกคามทางเพศด้วย และยกร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยการกำหนดโทษสำหรับกรณีคุกคามทางเพศให้มีความสอดคล้องกัน เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เป็นต้น
2.2 ควรมีการศึกษาอัตราโทษโดยการเปรียบเทียบระหว่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (4) กับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284/1 วรรคสาม และวรรคสี่ ในกรณีการนำข้อมูล ที่มีลักษณะอันลามกของเด็กหรือผู้ใหญ่เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อให้อัตราโทษตามกฎหมาย มีความเหมาะสมและได้สัดส่วนกับการกระทำความผิด
2.3 ควรมีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวกับผู้ถูกกระทำที่เป็นเด็กควรกำหนดอายุต่ำกว่าสิบแปดปี เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child - CRC) ที่กำหนดว่า “เด็ก” หมายความว่า บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์แต่ไม่รวมถึงผู้ที่บรรลุนิติภาวะด้วยการสมรส
2.4 ควรสนับสนุนศาลยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำระบบงานเพื่อรองรับมาตรการนี้เป็นการเร่งด่วน เพื่อให้เป็นกลไกในการคุ้มครองสิทธิของประชาชนที่ได้รับความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ กำหนดมาตรการวิธีการเพื่อความปลอดภัยเพื่อให้ความคุ้มครองผู้เสียหายก่อนการฟ้องคดีต่อศาลในความผิดฐานคุกคามทางเพศตามมาตรา 284/4 ซึ่งเป็นการนำเข้าข้อมูลอันมีลักษณะลามกเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ศาลอาจมีคำสั่งให้ผู้นำเข้าข้อมูลนั้นระงับการทำให้แพร่หลายและนำข้อมูลนั้นออกจากระบบคอมพิวเตอร์ภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด และหากจำเป็นอาจสั่งให้ผู้ควบคุมหรือผู้ให้บริการระบบคอมพิวเตอร์ระงับการทำให้แพร่หลายและนำข้อมูลนั้นออกจากระบบคอมพิวเตอร์ภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด หรืออาจสั่งให้เจ้าพนักงานที่มีอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นดำเนินการให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลก็ได้ แล้วรายงานให้ศาลทราบภายในสิบห้าวัน ซึ่งหลักการ ดังกล่าวนี้ควรนำไปกำหนดไว้สำหรับความผิดฐานอื่น ๆ ด้วย เพื่อให้ประชาชนได้รับความคุ้มครองและเพื่อป้องกันสังคมจากปัญหาการคุกคามทางเพศ
2.5 ควรศึกษาถึงความผิดฐานอนาจารตามมาตรา 278 และมาตรา 279 กรณีการกระทำนั้นเป็นเหตุฉกรรจ์ให้ได้รับโทษหนักขึ้น เช่น ความผิดฐานการกระทำอนาจารโดยมีหรือใช้อาวุธหรือวัตถุระเบิด โดยควรมีการแบ่งระดับความร้ายแรงของการกระทำและการกำหนด สัดส่วนโทษให้มีความเหมาะสม และคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภาได้มีข้อสังเกต เช่น ควรเตรียมความพร้อมและกำหนดมาตรการเพื่อรองรับผลกระทบเป็นการล่วงหน้า โดยเน้นการจัดทำแนวทางปฏิบัติให้ชัดเจน การพัฒนา บุคลากรผ่านการจัดอบรมหรือสัมมนา เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายมีความเข้าใจที่ถูกต้องและแม่นยำทั้งในเชิงหลักการและแนวทางปฏิบัติ รวมทั้ง สำนักงานศาลยุติธรรมควรเร่งรณรงค์และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับระบบบริการข้อมูลคดีศาลยุติธรรม (CIOS) อย่างทั่วถึง เพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทุกภาคส่วนและประชาชนเกิดความตระหนักรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน อันจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม สถาบันการศึกษาหรือหน่วยงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ควรดำเนินการศึกษาและวิจัยเชิงลึกอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับความผิดฐานกระทำชำเราโดยคู่สมรส เพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงประจักษ์เกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง ต่อสภาวะจิตใจของบุตรในระยะยาว ตลอดจนพลวัตของปัญหาความรุนแรงในครอบครัวในบริบท สังคมปัจจุบัน อันจะนำมาสู่การพัฒนานิตินโยบายที่เหมาะสมอาทิ การกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับเจ้าหน้าที่ มาตรการคุ้มครองสวัสดิภาพบุตรที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับการปรับปรุงกฎหมายในอนาคตให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริงและยั่งยืนควรมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับอายุผู้ถูกกระทำที่เป็นเด็กให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กและพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ที่กำหนดให้เด็กหมายความว่าบุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่รวมถึงผู้บรรลุนิติภาวะด้วยการสมรสรวมถึงปรับปรุงแก้ไขบทลงโทษให้สอดคล้องกันทั้งระบบ ทั้งนี้ การดำเนินการปรับปรุงแก้ไข ดังกล่าวต้องผ่านการศึกษาวิจัยทั้งระบบ
2. เรื่อง ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. ... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ
1. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม
พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
2. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาดังกล่าว ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สาระสำคัญ
1. ร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. …. มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรฐานทางเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วมเพื่อเป็นมาตรฐานกลางสำหรับการให้บริการระบบตั๋วร่วมในอนาคต และสำหรับผู้ให้บริการในปัจจุบันที่จะเข้าสู่ระบบ ตั๋วร่วม กำหนดอัตราค่าโดยสารร่วม การจัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม เพื่อสนับสนุนประชาชน รวมถึงสนับสนุนผู้รับใบอนุญาตที่เข้าร่วมระบบตั๋วร่วม กำหนดผู้ประกอบการ ที่จะมีสิทธิขอรับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม และในกรณีมีความจำเป็นให้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้การประกอบกิจการขนส่งสาธารณะใดเป็นกิจการที่ต้องใช้ระบบตั๋วร่วม ซึ่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และอยู่ระหว่างดำเนินการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป
2. คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลประกอบ ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับที่คณะรัฐมนตรีเสนอให้สอดคล้องกับการแก้ไขเพิ่มเติม ร่างพระราชบัญญัติฯ รวมทั้งมีข้อสังเกตว่า ระบบตั๋วร่วมควรทำให้ครอบคลุมขนส่งสาธารณะทุกระบบ เช่น รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน รถโดยสารประจำทาง เรือโดยสารสาธารณะ และด้านการบริหาร จัดการระบบตั๋วร่วมและอัตราค่าโดยสารร่วมควรคำนึงถึงภาระทางงบประมาณของรัฐ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมในการดำเนินงาน และเกิดความชัดเจนในกรณีที่ต้องการช่วยลดภาระค่าโดยสาร และควรเป็นไปเพื่อให้มีระบบตัวร่วมที่มีประสิทธิภาพ สามารถรองรับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป อำนวยความสะดวกรองรับการเดินทางขนส่งสาธารณะให้กับประชาชน ด้านการประกอบกิจการระบบตั๋วร่วมควรเป็นระบบใบอนุญาตรายเดียวและระบุรายละเอียดเพื่อให้เกิดความชัดเจน หรืออาจขยายความเพิ่มเติมในกฎหมายลำดับรอง และหากต้องการเพิ่มความเข้มงวดในเรื่องการเพิกถอนใบอนุญาตที่กำหนดข้อยกเว้นไว้เพียง 1 ปี อาจกำหนดระยะเวลาที่จะมาขอใบอนุญาตใหม่ได้เป็น 3 ปี หรือ 5 ปี เพื่อให้ผลของการเพิกถอนใบอนุญาต มีความสำคัญมากขึ้น ด้านกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วมการอุดหนุนระบบการขนส่งสาธารณะใดโดยใช้เงินกองทุนส่งเสริมระบบตัวร่วมดำเนินการจะต้องคำนึงถึงสัดส่วนและความสมดุลของระบบบริการขนส่งสาธารณะต่างๆ รวมทั้งต้องไม่เป็นภาระต่อค่าใช้จ่ายของกองทุนเกินความจำเป็น ด้านพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเช่นเดียวกับเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ดังนั้นการแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ จะต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมและความได้สัดส่วนในการใช้อำนาจดังกล่าวด้วย ด้านการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมควรพิจารณากำหนดอัตรา ค่าธรรมเนียมในรูปแบบขั้นบันได และด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและผู้บริโภคควรให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรจัดทำรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีความสำเร็จ รวมถึงปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานเผยแพร่ให้ประชาชนทราบ โดยให้เสนอ ต่อคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา เพื่อทราบภายใน 6 เดือนนับแต่วันสิ้นปีปฏิทินรวมถึงจัดให้มีการรับฟังความเห็นจากประชาชนผู้ใช้บริการอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อรับทราบ ปัญหาของประชาชน การประกอบกิจการ การส่งเสริมการดำเนินการขนส่งสาธารณะให้ครอบคลุม ทั่วประเทศและสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี
3. คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... ของวุฒิสภา มีข้อสังเกตว่า การพิจารณาให้ใบอนุญาต กับผู้ประกอบกิจการระบบตั๋วร่วม ควรต้องพิจารณาด้วยความเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติมีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ รวมทั้งมีการส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันและป้องกันการผูกขาด โดยให้ความสำคัญกับการสนับสนุนผู้ประกอบการรายใหม่และการพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่อรองรับการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) และเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การประกอบกิจการศูนย์บริหารจัดการรายได้กลางควรกำหนดให้เป็นระบบเปิดโดยกำหนดมาตรฐานทางเทคโนโลยีที่เป็นมาตรฐานกลาง การตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้การประกอบกิจการขนส่งสาธารณะใด เป็นกิจการที่ต้องใช้ระบบตั๋วร่วมตามร่างมาตรา 16 ควรต้องพิจารณาถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่จะเข้ามาร่วมให้ความคิดเห็นและเปิดโอกาสให้ประชาชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างรอบด้าน การกำหนดอัตราค่าโดยสารร่วมควรต้องมีความโปร่งใส สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของผู้ประกอบการหรือผู้ให้บริการระบบขนส่ง แต่ละประเภทเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินกิจการได้ พร้อมกันนั้นประชาชนก็ต้องไม่รับภาระชำระค่าโดยสารในอัตราที่สูงเกินควร มีความเหมาะสมกับค่าครองชีพหรือสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน สำหรับกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วมการกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับ อัตราค่าโดยสารที่จะให้ประชาชนเสียค่าโดยสารในอัตราสูงสุดเท่าใดเพื่อช่วยเหลือประชาชนนั้นควรต้องพิจารณาถึงส่วนต่างของอัตราค่าโดยสารที่ต้องใช้เงินจากกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วมเพื่อชดเชยส่วนต่างค่าโดยสารด้วย และต้องจำกัดกลุ่มในการเข้าถึงนโยบายอย่างเหมาะสม รวมทั้งกรอบสูงสุดของเงินที่รัฐบาลต้องอุดหนุนให้กับกองทุนด้วย เพื่อไม่ให้เป็นภาระ ด้านงบประมาณของภาครัฐในระยะยาว
3. เรื่อง ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับที่หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับที่หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ
1. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับที่หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับที่หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร เป็นเหตุผลของ ร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
2. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สาระสำคัญ
1. ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับ ที่หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับที่หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน เพื่อให้บทบัญญัติของกฎหมายมีความสอดคล้องและเหมาะสมกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับที่หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร ได้มีการแก้ไขชื่อร่างพระราชบัญญัติของคณะรัฐมนตรี จาก “ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับที่ หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. ....” เป็น “ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับที่หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสม กับกาลปัจจุบัน พ.ศ. ....” ซึ่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาและอยู่ระหว่างดำเนินการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป
2. คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับที่หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติฯ และมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะบางประการ และคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับที่หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. .... ของวุฒิสภา ได้มีข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ สรุปได้ดังนี้ ข้อเสนอแนะเชิงหลักการ รัฐบาลควรจัดให้มีระบบทบทวนและมีมาตรการเยียวยาเกี่ยวกับการเรียกให้บุคคลมารายงานตัวและการควบคุมตัวตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และกรณีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เรื่องที่มีเนื้อหา ซับซ้อนหรือต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะเห็นควรเสนอให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำร่างพระราชบัญญัติยกเลิกเป็นการเฉพาะเป็นเรื่อง ๆ ไป ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการยกเลิกประกาศหรือคำสั่งเฉพาะเรื่อง เช่น กระทรวงมหาดไทยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรเร่งรัดดำเนินการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยหรือข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อว่างและจัดทำผังเมืองรวมตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว รัฐบาลควรนำเรื่องเขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษมาบัญญัติเป็นกฎหมายว่าด้วยการใช้ที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อแก้ไขปัญหาการดำเนินการในปัจจุบันให้ครอบคลุมทุกด้านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีมาตรการรองรับในเรื่องผลกระทบและความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการของโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งได้รับอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 4/2559 เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภท ลงวันที่ 20 มกราคม พุทธศักราช 2559 กระทรวง อุตสาหกรรมควรแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดประเภท ชนิด และขนาดของโรงงาน พ.ศ. 2563 ลำดับที่ 88 (1) กระทรวงสาธารณสุขควรเร่งรัดจัดทำกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพให้ครอบคลุม มีประสิทธิภาพและแล้วเสร็จโดยเร็ว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ควรหาแนวทางการแก้ไขปัญหาในการบริหารงานของสถาบันอุดมศึกษาในระยะยาวและเร่งรัดจัดทำร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ฉบับใหม่ที่มีเครื่องมือกำกับดูแลสถาบันอุดมศึกษาที่เหมาะสมมีประสิทธิภาพ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมควรผลักดันให้ร่างพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินและการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับโดยเร็วและเร่งรัดปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดิน และควรมีการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 เพื่อเปิดโอกาสให้กรมประชาสัมพันธ์สามารถหารายได้จากการโฆษณา รวมทั้งรูปแบบและการบริหารจัดการรายได้จากการโฆษณาที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ภายใต้หลักเกณฑ์ที่กำหนด ข้อสังเกตเกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อทดแทนประกาศและคำสั่งบางฉบับก่อนยกเลิก เห็นสมควร ที่คณะรัฐมนตรีจะได้สั่งการให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตรากฎหมายหรือแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบในหน่วยงานของตนเพื่อทดแทนคำสั่งดังกล่าวและในส่วนการประกอบกิจการโรงงาน ควรพิจารณาทบทวนพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และมาตรการในการกำกับดูแลโรงงานให้มีความเหมาะสมโปร่งใส และมีประสิทธิภาพ การออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน หน่วยงานของรัฐ ที่เกี่ยวข้องควรกำหนดมาตรการและแนวทางในการกำกับดูแลการประกอบกิจการโรงงาน ที่ได้รับใบอนุญาตในช่วงระยะเวลาการบังคับใช้ให้มีความรัดกุมและเป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมทั้งควรมีการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ และกำหนดมาตรการเพื่อรับรองสิทธิให้กับผู้เสียหายหรือผู้ได้รับความเสียหายให้ยังคงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง การดำเนินคดีอาญาหรือการดำเนินการทางวินัยที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ตลอดจนมีมาตรการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ผู้ประกาศ หรือออกคำสั่ง ตลอดจนบุคคลอื่นใดที่ได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินการตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป จึงได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 127 และข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2562 ข้อ 126
4. เรื่อง ร่างกฎหมายเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้ได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา และผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารในสถาบันอุดมศึกษาซึ่งไม่เป็นข้าราชการ จำนวน 3 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
2. เห็นชอบในหลักการ
2.1 ร่างกฎ ก.พ.อ. การได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
2.2 ร่างกฎ ก.พ.อ. การได้รับเงินประจำตำแหน่งผู้บริหารและข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาของสถาบันวิทยาลัยชุมชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้นำร่างกฎ ก.พ.อ. ในเรื่องนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาพร้อมกับร่างพระราชกฤษฎีกาในคราวเดียวกัน
3. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
4. ให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติตามหลักการบริหารราชการแผ่นดินในกรณีการรักษาราชการแทน ตามข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยเคร่งครัด
สาระสำคัญ
1. ร่างพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างกฎ ก.พ.อ. การได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎ ก.พ.อ. การได้รับเงินประจำตำแหน่งผู้บริหารและข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาของสถาบันวิทยาลัยชุมชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ เป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้ได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา และผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งไม่เป็นข้าราชการ จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ 1) พระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการ พ.ศ. 2538 2) กฎ ก.พ.อ. การได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2556 และ 3) กฎ ก.พ.อ. การได้รับเงินประจำตำแหน่งผู้บริหาร และข้าราชการพลเรือนในสถาบัน อุดมศึกษาของสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. 2564 เพื่อแก้ไขการบริหารงานของสถาบันอุดมศึกษาให้เป็นไปตามข้อ 3 แห่งคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 37/2560 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการบริหารงานของสถาบันอุดมศึกษา ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2560 ซึ่งกำหนดว่า มิให้นำบทบัญญัติที่เกี่ยวกับระยะเวลาในการรักษาราชการแทนอธิการบดีที่บัญญัติอยู่ในกฎหมายจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษามาใช้บังคับกับการรักษาราชการแทนในระหว่างการดำเนินการสรรหาหรือดำเนินการเพื่อแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารงานของสถาบันอุดมศึกษาเป็นไปอย่างต่อเนื่องและไม่เกิดความล่าช้า และเพื่อให้สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 1260/2565 เรื่อง การได้รับเงินประจำตำแหน่งของผู้รักษาราชการแทนอธิการบดี กรณีปฏิบัติหน้าที่เกิน 6 เดือน ซึ่งมีความเห็นว่า ผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่เป็นส่วนราชการซึ่งดำรงตำแหน่งเกิน 6 เดือน หากเป็นผู้ได้รับแต่งตั้งให้รักษาราชการแทนอธิการบดีโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย และมิได้ดำรงตำแหน่งประเภท ผู้บริหารตำแหน่งอื่นที่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่ง ย่อมมีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งนั้นต่อไปโดยจะต้องเป็นการรักษาราชการแทนในระหว่างการดำเนินการสรรหาหรือดำเนินการเพื่อแต่งตั้ง ผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีตามที่กำหนดไว้ในข้อ 3 แห่งคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 37/2560 ดังกล่าว เท่านั้น โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
1.1 แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการ พ.ศ. 2538 (จากเดิม ข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รักษาราชการแทนหรือรักษาการในตำแหน่งอธิการบดี ได้รับเงินประจำตำแหน่งนับแต่วันที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งให้รักษาราชการแทนหรือรักษาการในตำแหน่งแล้วแต่กรณีเป็นต้นไป จนถึงวันที่พ้นจากหน้าที่ดังกล่าว แต่ต้องไม่เกิน 6 เดือน แก้ไขเป็น ข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาราชการแทนหรือรักษาการในตำแหน่งอธิการบดี ในระหว่างการดำเนินการสรรหาหรือดำเนินการเพื่อแต่งตั้ง ผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี ซึ่งมีระยะเวลาเกิน 6 เดือน ถ้าได้ปฏิบัติหน้าที่หลักของตำแหน่งดังกล่าวและมิได้ดำรงตำแหน่งประเภทผู้บริหารตำแหน่งอื่นที่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งตามพระราชกฤษฎีกา ดังกล่าวข้างต้น ได้รับเงินประจำตำแหน่งนับแต่วันที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งให้รักษาราชการแทนหรือรักษาการในตำแหน่ง แล้วแต่กรณี เป็นต้นไป จนถึงวันที่พ้นจากหน้าที่ดังกล่าว)
1.2 แก้ไขเพิ่มเติมกฎ ก.พ.อ. การได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2556 (จากเดิม ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาราชการแทนหรือรักษาการในตำแหน่งอธิการบดีได้รับเงินประจำตำแหน่งนับแต่วันที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งให้รักษาราชการแทนหรือรักษาการในตำแหน่ง แล้วแต่กรณี เป็นต้นไป จนถึงวันที่พ้นจากหน้าที่ดังกล่าว แต่ต้องไม่เกิน 6 เดือน แก้ไขเป็น ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รักษาราชการแทนหรือรักษาการในตำแหน่งอธิการบดี ในระหว่างการดำเนินการสรรหาหรือดำเนินการเพื่อแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี ซึ่งมีระยะเวลาเกิน 6 เดือน ถ้าได้ปฏิบัติหน้าที่หลักของตำแหน่งดังกล่าว และมิได้ดำรงตำแหน่งประเภทผู้บริหารตำแหน่งอื่นที่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวข้างต้น ได้รับเงินประจำตำแหน่งนับแต่วันที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งให้รักษาราชการแทนหรือรักษาการในตำแหน่ง แล้วแต่กรณีเป็นต้นไป จนถึงวันที่พ้นจากหน้าที่ดังกล่าว)
1.3 แก้ไขเพิ่มเติมกฎ ก.พ.อ. การได้รับเงินประจำตำแหน่งผู้บริหารและข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาของสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. 2564 (จากเดิม ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาของสถาบันวิทยาลัยชุมชนได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันวิทยาลัยชุมชน ได้รับเงินประจำตำแหน่งนับแต่วันที่เข้าปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันวิทยาลัยชุมชน จนถึงวันที่พ้นจากหน้าที่ดังกล่าว แต่ต้องไม่เกิน 180 วัน แก้ไขเป็น ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาของสถาบันวิทยาลัยชุมชนได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันวิทยาลัยชุมชน ในระหว่างการดำเนินการสรรหาหรือดำเนินการเพื่อแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันวิทยาลัยชุมชน ซึ่งมีระยะเวลาเกิน 180 วัน ถ้าได้ปฏิบัติหน้าที่หลักของตำแหน่งดังกล่าวและมิได้ดำรงตำแหน่งประเภทผู้บริหารตำแหน่งอื่นที่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งได้รับเงินประจำตำแหน่งนับแต่วันที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งให้รักษาราชการแทนเป็นต้นไป จนถึงวันที่พ้นจากหน้าที่ดังกล่าว)
5. เรื่อง ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมควบคุมมลพิษ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมควบคุมมลพิษ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอและ ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีไปพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้รวมทั้ง ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานปลัดนายกรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมควบคุมมลพิษ พ.ศ. .... ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเครื่องแบบพิเศษข้าราชการควบคุมมลพิษเพิ่มขึ้นจากเครื่องแบบข้าราชการพลเรือนสามัญ เพื่อให้ข้าราชการกรมควบคุมมลพิษมีเครื่องแบบพิเศษ ที่เหมาะสมกับลักษณะภารกิจเฉพาะด้านและพื้นที่ปฏิบัติงานที่มีความเสี่ยงที่หลากหลายอันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ป้องกันอันตราย และสร้างความตระหนักในหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย เนื่องจากข้าราชการกรมควบคุมมลพิษมีหน้าที่และอำนาจที่สำคัญในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกัน ตรวจสอบ แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวกับการควบคุมและจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมด้านมลพิษ (ทางน้ำ อากาศ เสียง กากของเสีย และสารอันตราย) ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องข้าราชการดังกล่าวมีฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายเพื่อดำเนินการตามคำสั่ง การรวบรวมพยานหลักฐาน และการดำเนินคดี ซึ่งจำเป็นต้องแสดงตนเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ความเด็ดขาดและความปลอดภัยขณะปฏิบัติงาน ซึ่งคณะกรรมการกลั่นกรองการกำหนดเครื่องแบบพิเศษ กรมควบคุมมลพิษมีมติเห็นชอบในหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีไม่ขัดข้องกับหลักการของร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีในเรื่องนี้ และมีความเห็นเพิ่มเติมบางประการ เช่น การแบ่งระดับของหมวก สำหรับเครื่องแบบพิเศษข้าราชการของกรมควบคุมมลพิษนั้นไม่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและแนวทางในการปรับปรุงเครื่องแบบพิเศษได้กำหนดให้สิ่งประกอบหรือส่วนประกอบของเครื่องแบบพิเศษ ควรกำหนดสิ่งประกอบหรือส่วนประกอบของเครื่องแบบพิเศษเป็นแบบเดียวกัน โดยไม่ต้องแบ่งชั้นของการประดับอีก เว้นแต่การกำหนดชั้นในการประดับเครื่องหมายตำแหน่งบนอินทรธนู และการกำหนดให้รองเท้าสำหรับเครื่องแบบพิเศษข้าราชการของกรมควบคุมมลพิษหญิงเป็นรองเท้าส้นสูงไม่เกิน 3.5 เซนติเมตร อาจไม่เหมาะสมกับการปฏิบัติงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับการลงพื้นที่เสี่ยงภัย พื้นที่วิกฤต หรือสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งสภาพแวดล้อมอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ และความปลอดภัยขณะปฏิบัติงาน รวมทั้งการปฏิบัติงานในพื้นที่ที่จำกัด สภาพภูมิประเทศที่ยากลำบาก และมีความเสี่ยงสูงต่อการเผชิญกับผู้กระทำผิด
เศรษฐกิจ-สังคม
6. เรื่อง การกำหนดให้แมวไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์เลี้ยง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดให้แมวไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์เลี้ยง ตามที่คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ (กอช.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2507 - 2567 คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติกำหนดเอกลักษณ์ประจำชาติไทยในมิติต่าง ๆ เช่น กำหนดให้ “ช้างไทย” เป็นสัตว์ประจำชาติ กำหนดให้ “ปลากัดไทย” เป็นสัตว์น้ำประจำชาติ กำหนดให้ “นาค” เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์ในตำนาน กำหนดให้ “การไหว้” เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทการทักทายและการแสดงความเคารพแบบไทย
2. คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ (กอช.) ได้ขอเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบให้แมวไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นไปตามมติ กอช. เมื่อวันที่ 21 มีนาคม2568 ที่เห็นชอบการเสนอให้แมวไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์เลี้ยง อันเนื่องมาจากผลการศึกษาทางประวัติศาสตร์และการศึกษาทางพันธุกรรมของแมวไทยพบว่า แมวไทยเป็นสัตว์ที่มีเอกลักษณ์ในตัวเองทั้งรูปลักษณ์และลักษณะนิสัยที่มีความโดดเด่น มีความแตกต่างจากแมวสายพันธุ์อื่นอย่างชัดเจน แมวไทยเป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับสังคมไทยมานาน โดยปรากฏหลักฐานการมีอยู่ของแมวไทยมาตั้งแต่ในอดีต อีกทั้ง ยังมีความเกี่ยวพันในด้านต่าง ๆ ทั้งความเชื่อ วิถีชีวิต สังคม ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมของคนไทย แมวไทยจัดเป็นหนึ่งในสายพันธุ์แมวที่ได้รับการยอมรับถึงความพิเศษในระดับสากลและเป็นที่นิยมไปทั่วโลกทำให้ชาวต่างชาติมีความพยายามที่จะนำแมวไทยพันธุ์แท้ไปจดทะเบียน กำหนดมาตรฐานสายพันธุ์โดยปัจจุบันมีแมวไทยพันธุ์แท้เหลืออยู่ 5 สายพันธุ์ ได้แก่ แมวศุภลักษณ์ แมวโคราช แมววิเชียรมาศแมวโกญจา และแมวขาวมณี ภาครัฐจึงควรให้ความสำคัญกับการประกาศให้แมวไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์เลี้ยง เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ทุกภาคส่วนเห็นคุณค่านำไปสู่การอนุรักษ์ และร่วมมือกันกำหนดมาตรฐานของแมวไทยพันธุ์แท้ในแนวทางเดียวกัน ส่งเสริมการเลี้ยงแมวไทยพันธุ์แท้ให้มากขึ้น และเพื่อเป็นการรักษาสิทธิ์ความเป็นเจ้าของสายพันธุ์แมวไทยและป้องกันการนำไปจดทะเบียนโดยชาวต่างชาติ รวมทั้งยังเป็นโอกาสในการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและต่อยอดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่เกี่ยวเนื่องกับแมวไทย ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย
7. เรื่อง ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2556 เรื่อง การดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นจะต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2565 เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2556 เรื่อง การดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นจะต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบยกเว้นการปฏิบัติตาม มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2556 เรื่อง การดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นจะต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2565 เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 มกราคม2556 เรื่อง การดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นจะต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า เพื่อมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยจะได้ใช้ประโยชน์พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคลองกะลาเส และป่าคลองไม้ตาย ท้องที่ตำบลไม้ฝาด อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง (ป่าสงวนแห่งชาติ ฯ) ดำเนินการตามภารกิจของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย (มหาวิทยาลัยฯ) อย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และประเทศต่อไป ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เดิมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยได้รับอนุญาตให้เข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองกะลาเส และป่าคลองไม้ตาย ตำบลไม้ฝาด อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ตามประกาศกรมป่าไม้ เรื่อง กำหนดบริเวณพื้นที่ให้ส่วนราชการหรือองค์การของรัฐเข้าใช้ประโยชน์ภายใน เขตป่าสงวนแห่งชาติ ฉบับที่ 48/2535 และฉบับที่ 187/2537 เนื้อที่รวม 1,746 ไร่ เพื่อจัดตั้งคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการประมง แต่ปัจจุบันมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยเข้าใช้ประโยชน์จริง รวม 1,705 ไร่ 1 งาน 77.8 ตารางวา โดยมีรายละเอียด สรุปได้ ดังนี้
|
หน่วยงานรับผิดชอบพื้นที่ป่า |
เนื้อที่ที่ได้รับอนุญาต และฉบับที่ 187/2537 |
เนื้อที่ที่มหาวิทยาลัยฯ เข้าใช้ประโยชน์จริง |
|
|
พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติฯ ตามประกาศกรมป่าไม้ฯ ฉบับที่ 48/2535 และฉบับที่ 187/2537 |
พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติฯ ที่ได้รับการผ่อนผัน |
||
|
กรมป่าไม้ |
1,746-0-0 |
1,341-2-72.2 (พื้นที่ที่เสนอขอยกเว้น การปฏิบัติตาม มติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้) |
184-3-94.8 |
|
กรมทรัพยากรทางทะเล |
65-0-94.8 |
113-2-16 |
|
|
รวมทั้งสิ้น |
1,746-0-0 |
1,406-3-67 |
298-2-10.8 |
|
เนื้อที่รวม |
1,746-0-0 |
1,705-1-77.8 |
|
และต่อมาพื้นที่ตามประกาศกรมป่าไม้ เรื่อง กำหนดบริเวณพื้นที่ให้ส่วนราชการหรือองค์การของรัฐ เข้าใช้ประโยชน์ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ฉบับที่ 48/2535 ได้สิ้นอายุการอนุญาตให้เข้าใช้ประโยชน์ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2565 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยจึงได้ยื่นคำขอต่ออายุการอนุญาตให้เข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวอีกครั้ง และกรมป่าไม้ได้อนุญาตให้มหาวิทยาลัยฯ ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ ตามประกาศกรมป่าไม้ฯ ฉบับที่ 73/2567 บนเนื้อที่ 1,341 ไร่ 2 งาน 72.2 ตารางวา (เนื้อที่ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยเข้าใช้ประโยชน์จริง) ระยะเวลาการอนุญาตให้เข้าใช้ประโยชน์ตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2567 จนถึงวันที่ 7 พฤษภาคม 2597 ซึ่งการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าดังกล่าวจะต้องดำเนินการจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนตามมติคณะรัฐมนตรี (29 มกราคม 2556 และ 9 สิงหาคม 2565) อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าใช้ประโยชน์ตามประกาศกรมป่าไม้ข้างต้นเป็นการได้รับอนุญาตให้เข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่เดิมที่เคยได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้มาแล้วครั้งหนึ่งตั้งแต่ปี 2535 (ตามประกาศกรมป่าไม้ เรื่อง กำหนดบริเวณพื้นที่ให้ส่วนราชการหรือองค์การของรัฐเข้าใช้ประโยชน์ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ฉบับที่ 48/2535) ไม่ได้เป็นการขอใช้ประโยชน์ในพื้นที่ใหม่ และเกิดขึ้นก่อนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2556 และวันที่ 9 สิงหาคม 2565 ทำให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยไม่ได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทน ประกอบกับกรอบวงเงินงบประมาณแผ่นดินที่ได้รับในแต่ละปีงบประมาณและเงินรายได้สะสมมีจำนวนจำกัด รวมทั้งได้ดำเนินการวางแผนการใช้เงินรายได้สะสมดังกล่าวแล้ว จึงทำให้มีงบประมาณไม่เพียงพอสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2556 และวันที่ 9 สิงหาคม 2565 ดังนั้น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมจึงมีความประสงค์ขอยกเว้นการปลูกป่าทดแทนและการจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนเพื่อการอนุรักษ์ หรือรักษาสภาพแวดล้อมของพื้นที่ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว เพื่อให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยสามารถใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าได้อย่างต่อเนื่องและเกิดประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และประเทศต่อไป ทั้งนี้ สำนักงบประมาณ พิจารณาแล้วเห็นสมควรให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2556 และวันที่ 9 สิงหาคม 2565
2. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาแล้วไม่ขัดข้องต่อการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้ หลังจากได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแล้ว ขอให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยควบคุมดูแลการใช้พื้นที่ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และอยู่ในขอบเขตที่ได้รับอนุญาตอย่างเคร่งครัด
8. เรื่อง การทบทวนแนวทางการประเมินผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการทบทวนกรอบแนวทางการประเมินผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐ(ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2564) ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 (เรื่อง การทบทวนแนวทางการประเมินผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐ) ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้
1. ปรับปรุงรายละเอียดตัวชี้วัด “การเบิกจ่ายงบประมาณ” ตามผลการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2. มอบหมายให้คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เป็นผู้พิจารณากำหนดหรือปรับปรุงแนวทางการประเมินผลการปฏิบัติราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญ ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า หัวหน้าส่วนราชการระดับกรมหรือเทียบเท่า และผู้ว่าราชการจังหวัด ให้มีความเหมาะสมได้ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงาน ก.พ. รายงานว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ให้สำนักงาน ก.พ. นำความเห็นและข้อเสนอแนะของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาทบทวนร่วมกับ กค. (กรมบัญชีกลาง) สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณ (สงป.) เพื่อปรับปรุงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับตัวชี้วัด “การเบิกจ่ายงบประมาณ” และประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมและได้ข้อยุติ และให้สำนักงาน ก.พ. นำข้อยุติดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งโดยเร็วก่อนสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 นั้น สำนักงาน ก.พ. ได้ประชุมร่วมกับ กค. (กรมบัญชีกลาง) สำนักงาน ก.พ.ร. และ สงป.เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 โดยที่ประชุมได้เห็นชอบร่วมกันเกี่ยวกับการปรับปรุงรายละเอียดตัวชี้วัด “การเบิกจ่ายงบประมาณ” สรุปได้ ดังนี้
1. การกำหนดตัวชี้วัดและค่าน้ำหนัก
กำหนดให้ตัวชี้วัด “การเบิกจ่ายงบประมาณ” (ค่าน้ำหนักร้อยละ 10) เป็นตัวชี้วัดบังคับในมิติด้านผลสัมฤทธิ์ ข. การดำเนินการในวาระเร่งด่วนหรือภารกิจที่ถูกมอบหมายเป็นพิเศษ (Urgency/assigned Tasks) สำหรับการประเมินผลการปฏิบัติราชการผู้บริหารของส่วนราชการ ทั้งในรอบการประเมินที่ 1 (วันที่ 1 ตุลาคม ถึง 31 มีนาคม) และรอบการประเมินที่ 2 (วันที่ 1 เมษายน ถึง 30 กันยายน) โดยแบ่งออกเป็น 2 ตัวชี้วัดย่อย ดังนี้
1.1 ตัวชี้วัด “ร้อยละการใช้จ่ายงบประมาณภาพรวม (การก่อหนี้ผูกพัน)” ค่าน้ำหนักร้อยละ5 หมายถึง ผลสำเร็จของการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายภาพรวมของหน่วยงานตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ จากระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ (New GFMIS Thai) โดยไม่รวมเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรเพิ่มเติมระหว่างปีงบประมาณ
1.2 ตัวชี้วัด “ร้อยละการเบิกจ่ายงบประมาณภาพรวม” ค่าน้ำหนักร้อยละ 5 หมายถึง ผลสำเร็จของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายภาพรวมของหน่วยงานตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณจากระบบ New GFMIS Thai โดยไม่รวมเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรเพิ่มเติมระหว่างปีงบประมาณ
2. วิธีการกำหนดค่าเป้าหมาย
นำเป้าหมายการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายงบประมาณตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายงบประมาณที่คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐกำหนดในแต่ละปีงบประมาณ มากำหนดเป็นค่าเป้าหมายของตัวชี้วัด “การเบิกจ่ายงบประมาณ” ในแต่ละรอบการประเมิน ดังนี้
|
ตัดชี้วัด “การเบิกจ่ายงบประมาณ” |
รายละเอียดการกำหนดค่าเป้าหมายในแต่ละรอบการประเมิน
|
|
รอบที่ 1 (1 ตุลาคม-31 มีนาคม) นำเป้าหมายการใช้จ่ายงบประมาณรายภาพรวมในไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 มากำหนดเป็นค่าเป้าหมายของตัวชี้วัดในระดับที่ 1 และระดับที่ 5 ตามลำดับ* รอบที่ 2 (1 เมษายน-30 กันยายน) นำเป้าหมายการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายภาพรวมในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 มากำหนดเป็นค่าเป้าหมายของตัวชี้วัดในระดับที่ 1 และระดับที่ 5 ตามลำดับ* |
|
รอบที่ 1 (1 ตุลาคม-31 มีนาคม) นำเป้าหมายการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายภาพรวมในไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 มากำหนดเป็นค่าเป้าหมายของตัวชี้วัดในระดับที่ 1 และระดับที่ 5 ตามลำดับ* รอบที่ 2 (1 เมษายน -30 กันยายน) นำเป้าหมายการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายภาพรวมในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 มากำหนดเป็นค่าเป้าหมายของตัวชี้วัดในระดับที่ 1 และระดับที่ 5 ตามลำดับ*
|
หมายเหตุ : *จากการประสานสำนักงาน ก.พ. แจ้งว่า การประเมินตัวชี้วัดดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 5 ระดับ
(คะแนนเต็ม 5 คะแนน) โดยระดับที่ 1 คือ 1 คะแนน (คะแนนต่ำสุด) และระดับที่ 5 คือ 5 คะแนน (คะแนนสูงสุด) ทั้งนี้ ตัวอย่างการกำหนดค่าเป้าหมายของตัวชี้วัด “การเบิกจ่ายงบประมาณ”
3. วิธีการประเมินผลตัวชี้วัด “การเบิกจ่ายงบประมาณ” ให้พิจารณาจากผลสำเร็จของการใช้จ่ายหรือเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายภาพรวมของหน่วยงานตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ (ไม่รวมเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรเพิ่มเติมระหว่างปีงบประมาณ) โดยใช้ข้อมูลจากระบบ New GFMIS Thai หรือจากเว็บไซต์ของกรมบัญชีกลาง ดังนี้
|
ตัวชี้วัด |
รอบการประเมินที่ 1 (1 ตุลาคม – 31 มีนาคม) |
รอบการประเมินที่ 2 (1 เมษายน – 30 กันยายน) |
|
ร้อยละการใช้จ่ายงบประมาณภาพรวม (การก่อหนี้ผูกพัน) |
ข้อมูลการก่อหนี้ (PO) + ข้อมูลเบิกจ่าย ณ สิ้นเดือนมีนาคม |
ข้อมูลการก่อหนี้ (PO) เอกสารสำรองเงิน + ข้อมูลเบิกจ่าย ณ สิ้นเดือนกันยายน |
|
ร้อยละการเบิกจ่ายงบประมาณภาพรวม |
ข้อมูลเบิกจ่าย ณ สิ้นเดือนมีนาคม |
ข้อมูลเบิกจ่าย ณ สิ้นเดือนกันยายน |
สำหรับการคำนวณคะแนนผลการประเมินของแต่ละตัวชี้วัดให้ใช้สูตรการคำนวณ ดังนี้
|
เงินงบประมาณรายจ่ายภาพรวมที่หน่วยงานใช่จ่าย (หรือเบิกจ่าย) x 100 วงเงินงบประมาณรายจ่ายภาพรวมที่หน่วยงานได้รับ |
9. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 เรื่อง ขอความเห็นชอบในหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 (หลักเกณฑ์ฯ) และให้ใช้แทนหลักเกณฑ์เดิมที่คณะรัฐมนตรีเคยมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เดิมคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (21 ตุลาคม 2568) เห็นชอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 (หลักเกณฑ์ฯ) และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 6,169.99 ล้านบาท เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2568 และเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในอาคารบ้านเรือนที่ถูกน้ำท่วมขัง โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือในอัตราเดียว คือ ครัวเรือนละ 9,000 บาท (มท. ประเมินว่ามีครัวเรือนผู้ประสบภัย 685,554 ครัวเรือน ในพื้นที่ 65 จังหวัด) อย่างไรก็ตาม โดยที่สถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มีความรุนแรง ก่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้ประสบภัยเป็นจำนวนมาก ประกอบกับหลักเกณฑ์ฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีข้างต้นยังไม่ครอบคลุมความเดือดร้อนในทุกมิติของประชาชน ดังนั้น กระทรวงมหาดไทย (มท.) จึงขอทบทวนหลักเกณฑ์ฯ บางส่วน ภายใต้กรอบวงเงินเดิม เพื่อให้ครอบคลุมผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด โดยการเพิ่มกรณีผู้ที่ได้รับผลกระทบไม่ได้อาศัยอยู่ในอาคารบ้านเรือนที่มีน้ำท่วมขัง แต่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีน้ำล้อมรอบและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต ติดต่อกันเกินกว่า 7 วันขึ้นไป (เดิมให้เฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในอาคารบ้านเรือนที่มีน้ำท่วมขัง) จะได้รับเงินช่วยเหลือในอัตราครัวเรือนละ 9,000 บาท ด้วย ทั้งนี้ มท. แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมว่าจากการปรับหลักเกณฑ์ในครั้งนี้ มท. คาดการณ์ว่าจะมีผู้ที่ได้รับสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมอีกประมาณ 21,176 ครัวเรือน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังไม่เคยได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 9,000 บาท มาก่อน และในกรณีที่มีผู้ประสบอุทกภัยขึ้นใหม่ภายใต้หลักเกณฑ์นี้หากเคยได้รับเงินช่วยเหลือไปแล้ว จะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือซ้ำอีก
2. สาระสำคัญ มท. ขอทบทวนหลักเกณฑ์ฯ บางส่วน โดยเพิ่มกรณีการได้รับผลกระทบที่สามารถได้รับเงินช่วยเหลือได้ และปรับปรุงถ้อยคำในหลักเกณฑ์บางข้อเพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มกรณีการได้รับผลกระทบดังกล่าว ภายใต้กรอบวงเงินเดิม ดังนี้
|
หลักเกณฑ์ฯ เดิม (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568) |
หลักเกณฑ์ฯ ใหม่ (เสนอมาในครั้งนี้) |
|
• หลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ดังนี้ (1) เป็นกรณีอุทกภัยที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อที่อยู่อาศัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ทั้งกรณีน้ำท่วม ดินถล่ม น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง รวมถึงการระบายน้ำ จนส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ (2) เป็นที่อยู่ที่ประสบอุทกภัย ตามข้อ (1) และได้รับผลกระทบกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้ (2.1) ที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง ไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย (2.2) ที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง เกินกว่า 7 วันขึ้นไป |
• หลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ดังนี้ (1) เป็นกรณีอุทกภัยที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อที่อยู่อาศัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ทั้งกรณีน้ำท่วม ดินถล่ม น้ำท่วมฉับพลัน น้ำไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง รวมถึงการระบายน้ำ จนส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ คงเดิม
คงเดิม
คงเดิม
(2.3) ที่อยู่อาศัยประจำที่ถูกน้ำล้อมรอบจนส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติติดต่อกันเกินกว่า 7 วันขึ้นไป (2.4) ที่อยู่อาศัยประจำในอาคารสูงที่น้ำท่วมไม่ถึงชั้นที่ผู้ประสบภัยพักอาศัย จนส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ ติดต่อกันเกินกว่า 7 วันขึ้นไป |
|
• ลักษณะที่อยู่อาศัยประจำจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์กรณีใด กรณีหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) ที่อยู่อาศัยที่มีทะเบียนบ้าน (2) บ้านเช่า ผู้เช่าเป็นผู้ได้รับเงินช่วยเหลือในกรณีบ้านพักอาศัย/บ้านเช่ามีหลายชั้น ให้ได้รับเงินช่วยเหลือเฉพาะชั้นที่น้ำท่วมถึงเท่านั้น (3) ที่อยู่อาศัยอื่น ๆ ซึ่งประสบภัย เช่น บ้านพักอาศัยอยู่เป็นประจำแต่ไม่มีทะเบียนบ้าน เป็นต้น ทั้งนี้ ไม่รวมถึงบ้านพักที่หน่วยงานราชการจัดให้ |
• ลักษณะที่อยู่อาศัยประจำจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์กรณีใด กรณีหนึ่งดังต่อไปนี้ คงเดิม (2) บ้านเช่า ผู้เช่าเป็นผู้ได้รับเงินช่วยเหลือ
คงเดิม |
|
• อัตราการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ดังนี้ (1) กรณีที่อยู่อาศัยประจำอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ดินถล่ม น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่งไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย (2) กรณีที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง ติดต่อกันเกินกว่า 7 วัน ให้ความช่วยเหลือเหมาจ่ายอัตราเดียว ครัวเรือนละ 9,000 บาท |
• อัตราการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ดังนี้ ให้ความช่วยเหลือเหมาจ่ายอัตราเดียว ครัวเรือนละ 9,000 บาท |
|
• เงื่อนไขการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ดังนี้ (1) ต้องเป็นบ้านที่อยู่อาศัยประจำในพื้นที่ที่ได้ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยและหรือประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินและ (1) มีหนังสือรับรองผู้ประสบภัยที่ (2) ผ่านการประชาคมหมู่บ้าน (3) ผ่านการตรวจสอบและยืนยันข้อมูลจากคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) และคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) (2) กรณีที่ประสบภัยหลายครั้งให้ได้รับความช่วยเหลือเพียงครั้งเดียว |
คงเดิม |
|
หมายเหตุ : ในส่วนของหลักเกณฑ์ฯ ข้ออื่น ๆ เช่น หลักฐานในการขอรับความช่วยเหลือ ขั้นตอนการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การจ่ายเงินของธนาคารออมสิน และแนวทางปฏิบัติงานของจังหวัดมีสาระสำคัญคงเดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 |
|
ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายโสภณ ซารัมย์) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นชอบ กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) พิจารณาแล้วเห็นว่า อัตราเงินช่วยเหลือเยียวยาเป็นอัตราที่เหมาะสมแล้ว
10. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐและรายการที่เกี่ยวเนื่อง ของสำนักงาน ป.ป.ช.
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับค่าใช้จ่าย บุคลากรภาครัฐ และรายการที่เกี่ยวเนื่อง ของสำนักงาน ป.ป.ช. จำนวน 297,088,200 บาท ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) ขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 297,088,200 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ และรายการที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากสำนักงาน ป.ป.ช. ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างภายในให้เหมาะสมกับภารกิจ ที่เพิ่มขึ้นและสถานการณ์ทุจริตยุคใหม่ ตามประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เรื่อง การแบ่งส่วนราชการและหน้าที่ และอำนาจของส่วนราชการในสังกัดสำนักงาน ป.ป.ช. พ.ศ. 2568 ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2568 โดยเปลี่ยนแนวทางการบริหารเป็นการบริหารงานตามภารกิจ โดยเน้นผลสัมฤทธิ์ของภารกิจ ประสิทธิภาพการทำงาน และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของบุคลากร รวมทั้งมีเป้าหมายเพื่อให้สำนักงาน ป.ป.ช. สามารถปฏิบัติภารกิจในระดับพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น [สำนักงาน ป.ป.ช. ต้องดำเนินการตามภารกิจต่าง ๆ เพื่อจัดส่วนราชการภายในให้เป็นไปตามประกาศนี้ให้แล้วเสร็จ ภายใน 180 วันนับแต่วันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ (ใช้บังคับเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568) โดยสำนักงาน ป.ป.ช. ได้มีการจัดทำกรอบอัตรากำลังใหม่ให้สอดรับกับการปรับโครงสร้างองค์กร โดยเพิ่มอัตรากำลังอีกจำนวน 1,539 อัตรา (เดิมมี 3,835 อัตรา) เพื่อรองรับภารกิจ ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งภารกิจใหม่ในระดับนโยบาย เช่น การติดตามทรัพย์สินในต่างประเทศการดำเนินงานร่วมกับองค์กรต่อต้านการทุจริตระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 เห็นชอบการขอรับการสนับสนุนงบประมาณดังกล่าวด้วยแล้วและเมื่อได้รับจัดสรรงบประมาณดังกล่าวแล้ว สำนักงาน ป.ป.ช. จะดำเนินการสรรหาบุคคลเพื่อมาบรรจุแต่งตั้งเพื่อปฏิบัติงานทันที ซึ่งสำนักงบประมาณ (สงป.) เห็นสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาอนุมัติในหลักการตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ
11. เรื่อง ร่างนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2568 – 2570
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ ดังนี้
1. ร่างนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2568 – 2570 ซึ่งดำเนินการตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 และเสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป
2. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบรวมทั้งเป็นกรอบในการจัดทำโครงการ กิจกรรม และงบประมาณรองรับในการขับเคลื่อนงานตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ร่างนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2568 – 2570 ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอนั้น สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้ดำเนินการตามขั้นตอนตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 โดยให้พิจารณา ทบทวน และปรับปรุงนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2565 - 2567 ตามรอบระยะเวลา 3 ปี ซึ่งในคราวการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 ได้เห็นชอบร่างนโยบายการบริหารฯ ด้วยแล้ว โดยร่างนโยบายการบริหารฯ มีสาระสำคัญเพื่อเป็นกรอบและแนวทางการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นกลไกการบูรณาการภารกิจระดับนโยบายไปสู่การปฏิบัติงานในการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นภารกิจงานด้านความมั่นคง โดยมีการปรับเพิ่มวัตถุประสงค์และประเด็นนโยบาย ประกอบด้วย 8 วัตถุประสงค์ 38 ประเด็นนโยบาย (เดิมมี 6 วัตถุประสงค์ 7 ประเด็นนโยบาย) ได้แก่ไว้
1) วัตถุประสงค์ที่ 1 เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้กับประชาชน ลดการใช้ปฏิบัติการเชิงรุกในการบังคับใช้กฎหมายโดยให้ดำเนินการเท่าที่จำเป็น และสร้างภูมิคุ้มกันและจิตสำนึกแก่ประชาชนให้ร่วมกันเฝ้าระวังความปลอดภัยในพื้นที่
2) วัตถุประสงค์ที่ 2 เพื่อบริหารจัดการความขัดแย้งตามหลักสันติวิธีให้มีการศึกษาและรวบรวมเงื่อนไขความรุนแรงในอดีต และแนวคิดความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน โดยการผลักดันกระบวนการพูดคุยสันติสุข กับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ
3) วัตถุประสงค์ที่ 3 เพื่อการพัฒนาการอำนวยความยุติธรรมโดยบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรมตามหลักธรรมาภิบาล และสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และสิทธิมนุษยชนด้วยวิธีการที่เหมาะสมให้แก่ประชาชนแต่ละกลุ่มและเจ้าหน้าที่
4) วัตถุประสงค์ที่ 4 เพื่อการยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาในพื้นที่ (เพิ่ม) โดยส่งเสริมการกระจายอำนาจในการบริหารจัดการทางการศึกษาในระดับท้องถิ่นตามบริบทของพื้นที่
5) วัตถุประสงค์ที่ 5 เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจที่เหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่โดยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรและขยายโอกาสด้วยความเสมอภาค และการบริหาร จัดการทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างเป็นธรรม
6) วัตถุประสงค์ที่ 6 เพื่อเสริมสร้าง สังคมทุกระดับในพื้นที่มีความเข้มแข็ง โดยส่งเสริมอัตลักษณ์ท้องถิ่นและวัฒนธรรมร่วม
7) วัตถุประสงค์ที่ 7 เพื่อการเสริมสร้างความเข้าใจและประสานความร่วมมือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยผลักดันการประชาสัมพันธ์เชิงรุก และการสื่อสารของบุคคลที่มีอิทธิพลทางความคิด รวมถึงการชี้แจงภาพลักษณ์เชิงบวกของพื้นที่ และ
8) วัตถุประสงค์ที่ 8 เพื่อประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาครัฐให้ตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหา และเตรียมการเปลี่ยนผ่านไปสู่กลไก่ปกติของทางราชการ (เพิ่ม) โดยการผลักดันให้มีการปรับลดพื้นที่การบังคับใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวมีกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนงานอยู่ 3 ประการ ได้แก่
1) กลไกระดับนโยบาย มีสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติทำหน้าที่ในการกำหนดมาตรการเชิงนโยบายในการป้องกันหรือแก้ไขปัญหา รวมถึงอำนวยการนโยบายการบริหารฯ
2) กลไกระดับแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติ แบ่งเป็น 2 มิติ ได้แก่ มิติงาน ด้านความมั่นคง โดยมีกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรรับผิดชอบ มิติงาน ด้านการพัฒนา โดยมีศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้รับผิดชอบ และ
3) กลไกระดับปฏิบัติในพื้นที่ โดยมีหน่วยงานต่าง ๆ ของแต่ละกระทรวงร่วมกันขับเคลื่อนงานในพื้นที่
ทั้งนี้ ร่างนโยบายการบริหารฯ ดังกล่าวเป็นกรอบและแนวทางการปฏิบัติงานของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การก่อเหตุรุนแรงและความสูญเสียในจังหวัดชายแดนภาคใต้ลดลงเศรษฐกิจมีการพัฒนาเพิ่มขึ้น และประชาชนเชื่อมั่นต่อการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
2. โดยที่เรื่องนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในคราวประชุม ครั้งที่ 12/2568 เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนกระทรวงกลาโหมกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงคมนาคม เป็นองค์ประกอบครบถ้วนแล้ว
12. เรื่อง กรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน ตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เรื่อง รายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินโครงการเพิ่มทักษะด้านอาชีพแก่นักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับ พร้อมข้อเสนอแนะ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินโครงการเพิ่มทักษะด้านอาชีพแก่นักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับ พร้อมข้อเสนอแนะ ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผผ.) เสนอ และให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) สำนักงบประมาณ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ โดยให้ มท. สรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวมแล้วส่งให้ สลค. ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจาก สลค. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
เดิมคณะรัฐมนตรีเคยมีมติเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 รับทราบเกี่ยวกับการดำเนินโครงการเพิ่มทักษะด้านอาชีพแก่นักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับ (โครงการฯ) พร้อมข้อเสนอแนะ เช่น ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดให้ความสำคัญต่อความสำเร็จของโครงการภายใต้การดำเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มทักษะด้านอาชีพแก่นักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับระดับจังหวัด ต่อมาคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 แล้ว เช่น กระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้เน้นย้ำผู้ว่าราชการจังหวัดให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนโครงการฯ ตามแนวทาง ขั้นตอน และปฏิทินการดำเนินโครงการฯ แต่ปัจจุบันในทางปฏิบัติการดำเนินโครงการฯ ยังพบปัญหา เช่น ข้อจำกัดด้านงบประมาณสนับสนุนค่าอาหารสำหรับฝึกอบรม การค้นหาและการจูงใจให้นักเรียนกลุ่มเป้าหมายมีความสนใจ ที่จะเข้าร่วมโครงการฯ ในครั้งนี้ผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผผ.) จึงรายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินโครงการฯ พร้อมข้อเสนอแนะ เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินการในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคจากการดำเนินโครงการฯ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินโครงการฯ ให้ดียิ่งขึ้น เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบและพิจารณามอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น (1) ให้มีการสร้างความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและกรมส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อจัดทำระบบเทียบโอนหน่วยกิตจากการฝึกอบรมไปใช้เป็นหน่วยกิตในหลักสูตรการเรียนได้ (2) ให้หน่วยงานส่วนกลางที่เกี่ยวข้องสนับสนุนโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งกำหนดให้การตรวจติดตามการดำเนินโครงการฯ ของทุกจังหวัดเป็นประเด็นหนึ่งในการตรวจราชการประจำปีของผู้ตรวจราชการกระทรวงและกรม
13. เรื่อง รายงานการพัฒนาระบบราชการ ประจำปี 2567
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพัฒนาระบบราชการ ประจำปี 2567 ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับข้อเสนอแนะของสำนักงาน ก.พ. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
รายงานการพัฒนาระบบราชการ ประจำปี 2567 ที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ เป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 71/10 (10) ที่บัญญัติให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการมีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำรายงานประจำปีเกี่ยวกับการพัฒนาระบบราชการเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป โดยเป็นการรายงานผลการดำเนินงานที่สำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาระบบราชการ ประจำปี 2567 ซึ่งประกอบด้วย ผลสัมฤทธิ์ของการพัฒนาระบบราชการ ซึ่งได้สำรวจความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการภาครัฐ ร้อยละ 83.03 มีความพึงพอใจต่อการให้บริการออนไลน์ ร้อยละ 84.31 ซึ่งเป็นผลจากการยกระดับบริการ E-Service ของภาครัฐ และข้อมูลผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ (1) การยกระดับบริการภาครัฐ มีการขับเคลื่อนงานบริการภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ตามนโยบายสำคัญ (Agenda e-Service) 12 งานบริการเป็นไปตามเป้าหมาย เช่น ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 19.5 ล้านคน แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” เปิดใช้งาน 4 งานบริการ มีผู้ใช้งานกว่า 594,226 คน เช่น ระบบชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และระบบแจ้งเตือนสิทธิ์/ช่วยเหลือสวัสดิการ (2) การปรับปรุงบทบาทภารกิจและโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐ มีการติดตามผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดจากการปรับปรุงโครงสร้าง (Post Audit) ของส่วนราชการแล้ว 20 ส่วนราชการ เพื่อประเมินความเหมาะสมและความมีประสิทธิภาพ และการขับเคลื่อนบทบาทผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ (ผู้ว่า CEO) ใน 5 ประเด็นสำคัญ ใน 5 จังหวัด เพื่อบริหารงานเชิงรุกและเกิดผลสัมฤทธิ์สูงในพื้นที่ รวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์ม “บอกเรา ถึงรัฐ” เป็นช่องทางให้ประชาชนและภาคส่วนอื่น ๆ แบ่งปันความเห็นเพื่อร่วมพัฒนาประเทศ (3) การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาครัฐ มีการจัดทำบัญชีข้อมูลและมีชุดข้อมูลเปิดที่เผยแพร่ผ่านศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ จำนวน 27,625 ชุดข้อมูล การสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศในการพัฒนาระบบราชการ เช่น ความร่วมมือกับเครือข่ายอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีผ่านการจัดสัมมนาวิชาการนานาชาติ และการได้รับรางวัลเกียรติยศเลิศรัฐเป็นการแสดงว่าหน่วยงานมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนมีความสำเร็จ โดยมีจำนวน 3 หน่วยงาน ที่ได้รับรางวัลเกียรติยศเลิศรัฐ ได้แก่ กรมอนามัย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) รวมถึงได้ตั้งเป้าความท้าทายของการพัฒนาระบบราชการและแนวทางดำเนินการต่อไป เช่น การปรับโครงสร้างและบทบาทภารกิจของหน่วยงานโดยเฉพาะราชการส่วนภูมิภาคที่มีความซ้ำซ้อนให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนและทิศทางการพัฒนาประเทศ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐใช้ประโยชน์ในการพัฒนาหน่วยงานต่อไป
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบด้วยกับรายงาน โดยมีความเห็นเพิ่มเติมบางประการ เช่น ควรให้ความสำคัญกับการเร่งรัดการปรับปรุงโครงสร้าง และบทบาทภารกิจของหน่วยงานภาครัฐให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างการทำงานระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้มีระบบบริหารจัดการที่รองรับทั้งงบประมาณ บุคลากรและการประสานงาน เพื่อให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างมีเอกภาพและสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างทันท่วงที
14. เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ 1 บี 1 เอเอ็ม และ 1 บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (แก่งคอย) จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขอผ่อนผันให้บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (แก่งคอย) จำกัดใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ 1 บี 1 เอเอ็ม 1 บีเอ็ม ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2533 (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่า) วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 [เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลางและลุ่มน้ำป่าสักและการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่นๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2544 (เรื่อง การกำหนดมาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาการขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์) และวันที่ 4 ตุลาคม 2559 [เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ 1 บี1 เอเอ็ม และ 1 บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ ของบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ที่จังหวัดสระบุรี] เพื่อเข้าใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ 1 บี 1 เอเอ็ม และ 1 บีเอ็ม สำหรับการทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนและหินดินดานเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ตามคำขอประทานบัตรที่ 2-6/2564 ซึ่งร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกัน เนื้อที่รวม 2,575 ไร่ 1 งาน 37 ตารางวา ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ
อนึ่ง เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ 1 บี 1 เอเอ็ม และ 1 บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่แล้ว อก. โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่จะได้ดำเนินการให้ครบถ้วนถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (แก่งคอย) จำกัด ได้ยื่นคำขอประทานบัตรที่ 2-6/2564 ชนิดแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนและหินดินดานเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ที่ตำบลท่าคล้อ ตำบลทับกวาง และตำบลบ้านป่า อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ซึ่งร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกัน รวมเนื้อที่ทั้งหมด 2,575 ไร่ 1 งาน 37 ตารางวา และพื้นที่คำขอดังกล่าวเป็นการดำเนินการในพื้นที่เดิมที่ผ่านการทำเหมืองแร่มาก่อน (ประทานบัตรเดิมครบกำหนดสิ้นอายุในวันที่ 26 กันยายน 2570)
2. พื้นที่คำขอประทานบัตรทั้ง 5 แปลงนี้เป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าทับกวางและป่ามวกเหล็ก แปลงที่ 1 ซึ่งบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (แก่งคอย) จำกัด ได้ยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้ว และอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ 1 บี 1 เอเอ็ม และ 1 บีเอ็ม ของลุ่มน้ำป่าสัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 โดยการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวจะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติและไม่เป็นแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ไม่เป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับการทำเหมืองตามระเบียบและกฎหมายของ
ส่วนราชการต่าง ๆ การปิดประกาศการขอประทานบัตรไม่มีผู้ร้องเรียนคัดค้าน
3. กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ได้ตรวจสอบพื้นที่คำขอประทานบัตรร่วมกับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี กรมป่าไม้ และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้ว เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 ปรากฏว่าสภาพแวดล้อมและการใช้ประโยชน์พื้นที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงาน EIA) ที่คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเหมืองแร่ ได้ให้ความเห็นชอบ และปัจจุบันมีการทำเหมืองอย่างต่อเนื่องตามประทานบัตรเดิมที่ได้รับอนุญาต ไม่มีปัญหาการร้องเรียนคัดค้าน และการใช้ประโยชน์ในพื้นที่จะไม่ก่อให้เกิดมลภาวะร้ายแรงหรือสร้างความเดือดร้อนให้กับราษฎรในพื้นที่แต่อย่างใด
4. พื้นที่คำขอประทานบัตรทั้ง 5 แปลงนี้เป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองตามแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ ฉบับที่ 2 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2566 จึงเป็นพื้นที่ที่พิจารณาอนุญาตให้ทำเหมืองได้ ตามมาตรา 17 ประกอบมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560
5. ทส. พิจารณาแล้วเห็นว่า พื้นที่ขออนุญาตของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (แก่งคอย) จำกัด รวมเนื้อที่ทั้งหมด 2,575 ไร่ 1 งาน 37 ตารางวา เป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตพื้นที่ป่าไม้ ซึ่งเคยได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่ป่าไม้มาก่อน ประกอบกับ กก.วล. มีมติในการประชุมครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2567 เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเหมืองแร่ ดังนั้น จึงเห็นชอบเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ 1 บี 1 เอเอ็ม และ 1 บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (แก่งคอย) จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี เพื่อประกอบการพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ ทั้งนี้ ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบ กฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป (หนังสือ ทส. ที่ ทส 1602.43/2077 ลงวันที่ 5 สิงหาคม 2568)
6. การดำเนินการในขั้นตอนนี้ (การนำเสนอคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้) ไม่ได้เป็นการพิจารณาอนุญาตให้ทำเหมืองแร่ แต่เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพื่อขออนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์
พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ 1 บี 1 เอเอ็ม และ 1 บีเอ็ม ทั้งนี้ เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์ดังกล่าวแล้ว จะได้ดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนถูกต้องก่อนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรต่อไป
15. เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ฤดูการผลิตปี 2567/2568
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดี เพื่อลดฝุ่น PM2.5 (มาตรการฯ) ฤดูการผลิตปี 2567/2568 จากเดิม สิ้นสุดเดือนกันยายน 2568 เป็น สิ้นสุดเดือนธันวาคม 2568 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
อก. รายงานว่า
1. ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 อก. ได้ดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือตามมาตรการฯ ฤดูการผลิตปี 2567/2568 ให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิได้รับการช่วยเหลือแล้ว โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 มีเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ได้รับการช่วยเหลือจำนวน 121,065 คู่สัญญา ปริมาณอ้อยสดคุณภาพดี
จำนวน 67.43 ล้านตัน วงเงิน 4,653.01 ล้านบาท (คงเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ได้รับการช่วยเหลือจำนวน 5,353 คู่สัญญา ปริมาณอ้อยสดคุณภาพดีจำนวน 0.5 ล้านตัน 34.46 ล้านบาท จากจำนวนเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ได้รับการช่วยเหลือทั้งหมด 126,418 คู่สัญญา ปริมาณอ้อยสดคุณภาพดีทั้งหมด 67.93 ล้านตัน วงเงินรวม 4,687.47 ล้านบาท)
2. เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือแต่ยังไม่ได้รับการโอนเงิน1 รวมถึงสามารถยืนยันตัวตนพร้อมทั้งปรับปรุงข้อมูลให้ถูกต้อง และรับเงินผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐได้อย่างครบถ้วนทุกราย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการฯ ฤดูการผลิตปี 2567/2568 จากเดิมสิ้นสุดเดือนกันยายน 2568 เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม 25682
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง (กค.) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) สำนักงบประมาณ (สงป.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เห็นชอบ/ไม่ขัดข้องตามที่ อก. เสนอ
_____________
1อก. แจ้งว่า เกษตรกรดำเนินการตามขั้นตอนของแอปพลิเคชันทางรัฐไม่ครบถ้วนทำให้ไม่ได้รับการจ่ายเงินในระยะเวลาที่กำหนด
2การดำเนินมาตรการฯ ยังเป็นไปตามวัตถุประสงค์และกรอบวงเงินเดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568
16. เรื่อง การพิจารณารับรองวัดคาทอลิก ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยแนวทางพิจารณาในการจัดตั้งวัดบาทหลวงโรมันคาทอลิก พ.ศ.2564
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ ดังนี้
1. รับรองวัดพระเมตตา (ไทรงาม) และวัดนักบุญยอห์น บอสโก โคกสะอาด เป็นวัดคาทอลิกตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยแนวทางพิจารณาในการจัดตั้งวัดบาทหลวงโรมันคาทอลิก พ.ศ.2564 (ระเบียบฯ)
2. ให้จัดตั้ง วัดนักบุญออกัสติน (ลาดหลุมแก้ว) เป็นวัดคาทอลิกตามระเบียบฯ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ระเบียบฯ ข้อ 16 ได้กำหนดแนวทางการพิจารณาในการจัดตั้งบาทหลวงโรมันคาทอลิก โดยกำหนดให้ภายในระยะเวลาสองปีนับแต่วันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ (วันที่ 15 มิถุนายน 2564) เมื่อปรากฏว่า มีวัดคาทอลิกอยู่ในวันก่อนที่ระเบียบนี้ใช้บังคับและมิซซัง โดยความเห็นชอบของสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทยยื่นคำขอให้รับรองวัดคาทอลิกต่อคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองคำขอจัดตั้งวัดคาทอลิก (คณะกรรมการฯ) พิจารณาให้ความเห็นประกอบก่อนเสนอไปยังรัฐมนตรีว่าการวัฒนธรรมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณารับรองวัดคาทอลิกต่อไป
2. มิชชังได้ยื่นคำขอให้รับรองวัดคาทอลิกต่อกรมการศาสนานับแต่วันที่ระเบียบฯ ใช้บังคับ (ยื่นภายใน 2 ปี ตามที่ระเบียบฯ กำหนด) จำนวน 360 วัด ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้รับรองเป็นวัดคาทอลิกตามระเบียบฯ แล้ว จำนวน 301 วัด คงเหลือวัดคาทอลิกที่ยังไม่ได้รับการรับรอง จำนวน 59 วัด เนื่องจากขาดเอกสารสิทธิ์ที่ดินและหนังสือขออนุญาตให้ใช้ที่ดิน
3. ในครั้งนี้ วธ. ได้เสนอขอความเห็นชอบรับรองวัดคาทอลิก ตามระเบียบฯ จำนวน 2 วัด คือ วัดพระเมตตา (ไทรงาม) และวัดนักบุญยอห์น บอสโก โคกสะอาด) และจัดตั้งวัด จำนวน 1 วัด คือ วัดนักบุญออกัสติน (ลาดหลุมแก้ว) โดยคณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ซึ่งมีนายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้พิจารณาคำขอให้รับรองและจัดตั้งวัดคาทอลิกแล้ว โดยเห็นว่าวัดดังกล่าวข้างต้นได้ยื่นคำขอโดยมีข้อมูลพร้อมด้วยเอกสารสำหรับการพิจารณาถูกต้อง ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์และข้อยกเว้นที่ระเบียบฯ กำหนดแล้วจึงมีมติเห็นชอบให้เสนอความเห็นดังกล่าวต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมพิจารณาเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบต่อไป
ประโยชน์และผลกระทบ
การรับรองและการจัดตั้งวัดคาทอลิก ตามระเบียบฯ ส่งผลให้วัดคาทอลิกในประเทศไทยได้รับการประกาศและขึ้นทะเบียนเป็นวัดคาทอลิกตามกฎหมาย ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ศาสนสถานของทุกศาสนาและทุกนิกายที่ประชาชนชาวไทยนับถือและทางราชการรับรองได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคในทางกฎหมายและได้รับการคุ้มครอง อุปถัมภ์ และทำนุบำรุงจากภาครัฐตามสิทธิที่พึงได้รับ โดยการรับรองและการจัดตั้งวัดคาทอลิกตามระเบียบฯ จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อศาสนสถาน ศาสนิกชน และชุมชนหลากหลายด้าน เช่น (1) ทำให้คริสต์ศาสนิกชนมีศาสนสถานที่มั่นคงและปลอดภัยสำหรับการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาที่ตนนับถือ (2) ทำให้การดำเนินกิจการทางศาสนาของวัดคาทอลิกและพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกในประเทศไทยเกิดความมั่นคงและเจริญก้าวหน้า (3) วัดคาทอลิกได้เข้าร่วมเป็นเครือข่ายการดำเนินงานของรัฐในการจัดโครงการหรือกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้หรือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชน การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม และการช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์ต่าง ๆ
17. เรื่อง ขอความเห็นชอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีน้ำท่วมขังบริเวณที่อยู่อาศัยประจำเป็นระยะเวลานานในช่วงฤดูฝน ปี 2568
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีน้ำท่วมขังบริเวณที่อยู่อาศัยประจำเป็นระยะเวลานานในช่วงฤดูฝน ปี 2568 โดยใช้กรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 6,169,986,000 บาท ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยผ่านธนาคารออมสิน ให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป รวมทั้งให้สามารถถัวจ่ายข้ามจังหวัดได้ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยภัยเสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
เนื่องจากสถานการณ์อุทกภัยในครั้งนี้ มีความรุนแรงก่อให้ความเสียหายกับประชาชนผู้ประสบภัยอย่างรุนแรง และในคราวประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้มีการศึกษา หารือ แนวทางการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีน้ำท่วมขังเป็นระยะเวลานาน กระทรวงมหาดไทย ได้เสนอขอค่าช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้นให้แก่ครอบครัวผู้ประสบอุทกภัย ในกรณีน้ำท่วมขังบริเวณที่อยู่อยู่อาศัยประจำเป็นกรณีพิเศษ ต่อคณะรัฐมนตรี โดยมอบหมายให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้เสนอของบประมาณ และกำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินดังกล่าว ดังนี้
หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีน้ำท่วมขังบริเวณที่อยู่อาศัยประจำเป็นระยะเวลานานในช่วงฤดูฝน ปี 2568
หลักเกณฑ์
1. เป็นกรณีอุทภภัยที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อที่อยู่อาศัยประจำในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ตั้งแต่วันที่ 15พฤษภาคม 2568 ในกรณีน้ำท่วมขังบริเวณที่อยู่อาศัยประจำ จนส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและไม่สามารถประกอบอาชีพปกติ ทำให้ขาดรายได้
2. เป็นที่อยู่อาศัยประจำที่ประสบอุทกภัย และได้รับผลกระทบกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1) ถูกน้ำท่วมขัง ติดต่อกันตั้งแต่ 31-60 วัน
(2) ถูกน้ำท่วมขัง ติดต่อกันตั้งแต่ 61-90 วัน
(3) ถูกน้ำท่วมขัง ติดต่อกันตั้งแต่ 91-120 วัน
(4) ถูกน้ำท่วมขัง ติดต่อกันตั้งแต่ 121 วันขึ้นไป
เงื่อนไข
1. ต้องเป็นบ้านที่อยู่อาศัยประจำในพื้นที่ที่ได้ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยและหรือประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน และ
(1) มีหนังสือรับรองผู้ประสบภัยที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกให้ (ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 มาตรา 30) และ
(2) ต้องผ่านการประชาคมหมู่บ้านของแต่ละพื้นที่ประสบสาธารณภัย และ
(3) ผ่านการตรวจสอบและยืนยันข้อมูลจากคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ) และคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.)
2. กรณีที่ประสบภัยหลายครั้ง ให้ได้รับความช่วยเหลือเพียงครั้งเดียว
อัตราการจ่ายเงิน
1. กรณีที่อยู่อาศัยประจำ ตามหลักเกณฑ์ ข้อ 2 (1) ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 5,000 บาท
2. กรณีที่อยู่อาศัยประจำ ตามหลักเกณฑ์ ข้อ 2 (2) ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 10,000 บาท
3. กรณีที่อยู่อาศัยประจำ ตามหลักเกณฑ์ ข้อ 2 (3) ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 15,000 บาท
4. กรณีที่อยู่อาศัยประจำ ตามหลักเกณฑ์ ข้อ 2 (4) ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 20,000 บาท
โดยขออนุมัติหลักการในการดำเนินการดังกล่าว และให้จังหวัดที่ประสบภัยเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องตามหลักเกณฑ์และช่วยเหลือให้แล้วเสร็จ ภายใน 90 วัน ตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีน้ำท่วมขังบริเวณที่อยู่อาศัยประจำเป็นระยะเวลานานในช่วงฤดูฝน ปี 2568 โดยใช้กรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 6,169,986,000 บาท ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายแก่ผู้ประสบภัยผ่านธนาคารออมสิน ให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป รวมทั้งให้สามารถถัวจ่ายข้ามจังหวัดได้
ประโยชน์และผลกระทบ
ครัวเรือนผู้ประสบภัย จำนวน 171,302 ครัวเรือน จำนวน 22 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา ชัยนาท ชัยภูมิ นครนายก นครปฐม นครสวรรค์ นนทบุรี ปทุมธานี ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ศรีสะเกษ สระบุรี สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี อ่างทอง อุดรธานี และจังหวัดอุบลราชธานี ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง ช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และเพื่อให้การดำรงชีพของประชาชนเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
18. เรื่อง โครงการพัฒนาความรู้ทักษะ (Upskill) หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้
1.เห็นชอบโครงการที และกรอบวงเงินงบประมาณจำนวนไม่เกิน 800 ล้านบาท โดยมอบหมายกระทรวงการคลังโดย สศค. กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในรายละเอียด ที่ไม่ขัดกับหลักการโครงการๆ และหลักการโครงการคนละครึ่ง พลัส เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ และโครงการคนละครึ่ง พลัส เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเกิดประสิทธิภาพ
2. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนไม่เกิน 800 ล้านบาท โดยจัดสรรให้แก่ สศค. สำหรับการดำเนินโครงการฯ
3. มอบหมายธนาคารออมสินและกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 อนุมัติโครงการคนละครึ่ง พลัส และให้กระทรวงการคลังโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการคนละครึ่ง พลัสภายในกรอบวงเงิน 44,000 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจนถึงระดับฐานราก โดยภาครัฐให้การสนับสนุนเงินร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าและบริการที่กำหนด ให้แก่ประชาชนผู้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส เพื่อเพิ่มอุปสงค์การบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อยทุกระดับมีรายได้จากการขายสินค้าและให้บริการและเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของประชาชน
ทั้งนี้ ภาครัฐอาจมีการกำหนดเงื่อนไขให้ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส มีการพัฒนาความรู้ทักษะ (Upskill) หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) ในด้านความรู้ทางด้านการเงิน (Financial Literacy) หรือความรู้ทางด้านดิจิทัล (Digital Literacy) ผ่านแพลตฟอร์มหรือช่องทางที่กำหนด ซึ่งร้านค้าที่ดำเนินการสำเร็จอาจจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อเป็นแรงจูงใจสำหรับการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส ในอนาคต
2. ในคราวการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (คณะกรรมการฯ) ครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 คณะกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบ ดังนี้
2.1 เห็นชอบหลักการการดำเนินโครงการฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของวิธีดำเนินการ เห็นควรให้ร้านค้าในโครงการคนละครึ่ง พลัส สามารถเลือกเข้าร่วมวิธีการ =Upskill หรือ Reskill ได้ 3 ช่องทาง ได้แก่ (1) เข้าร่วมเป็นร้านค้าบน Food Delivery Platform (2) เข้าร่วมและผ่านเกณฑ์การอบรมออนไลน์ของธนาคารออมสิน (3) เข้าร่วมและผ่านเกณฑ์การอบรมออนไลน์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยร้านค้าที่ผ่านหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการ Upskill หรือ Reskill อย่างใดอย่างหนึ่งข้างต้น จำนวนไม่เกิน 400,000 ร้านค้าแรก จะได้รับสิทธิเงินสนับสนุนจากภาครัฐ ร้อยละ20 ของยอดขายที่เกิดจากโครงการคนละครึ่ง พลัส เฉพาะในส่วนที่ภาครัฐร่วมจ่าย นับตั้งแต่วันที่ร้านค้าได้ดำเนินการ Upskill หรือ Reskill สำเร็จ จนถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2568 ทั้งนี้ สูงสุดไม่เกิน 2,000 บาท ต่อร้านค้า
นอกเหนือจากการ Upskill หรือ Reskill ใน 3 ช่องทางที่ร้านค้าจะได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐแล้ว กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมยังให้การสนับสนุนเพิ่มเติมแก่ร้านค้าโดยร้านค้าสามารถเข้าร่วมและทดลองใช้งานสินค้าและบริการในบัญชีบริการดิจิทัลของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ตามหมวดสินค้าและบริการที่กำหนดได้ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน
2.2 มอบหมายให้กระทรวงการคลังนำเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
สาระสำคัญ
กระทรวงการคลังเสนอแนวทางการดำเนินโครงการฯ อันเป็นการต่อยอดโครงการคนละครึ่ง พลัส ดังนี้
1. หลักการและเหตุผล: ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส มีลักษณะเป็น
ร้านค้าขนาดเล็กซึ่งมีศักยภาพที่จะเติบโตแต่ยังมีองค์ความรู้หรือทักษะไม่เพียงพอ จึงมีความจำเป็นต้องได้รับการ Upskill หรือ Reskill นำไปสู่การยกระดับศักยภาพของร้านค้าซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจไทยให้เกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพต่อไป
2. วัตถุประสงค์: เพื่อเร่งสร้างกระบวนการและแรงจูงใจให้แก่ร้านค้าในโครงการคนละครึ่ง พลัส ให้สามารถเข้าถึงการ Upskill หรือ Reskill อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยกระทรวงการคลังจะกำหนดเงื่อนไขให้ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส มีการ Upskill หรือ Reskill ผ่านแพลตฟอร์มหรือช่องทางที่กำหนด ซึ่งร้านค้าที่ดำเนินการสำเร็จจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อเป็นแรงจูงใจในการพัฒนาทักษะดังกล่าว ทั้งนี้ ไม่เกินจำนวนสิทธิที่กำหนด
3. ระยะเวลาดำเนินการ: ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 25 ธันวาคม 2568
4. กลุ่มเป้าหมาย: ร้านค้าในโครงการคนละครึ่ง พลัส จำนวนไม่เกิน 400,000 ราย
5. คุณสมบัติของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ:
5.1 เป็นร้านค้าในโครงการคนละครึ่ง พลัส ในวันก่อนเริ่มดำเนินการ Upskill หรือ Reskill
5.2 ได้ตกลงให้ความยินยอม (Consent) ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และข้อตกลงเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของโครงการฯ ก่อนดำเนินการ Upskill หรือ Reskill
5.3 เข้าร่วมการ Upskill หรือ Reskill โดยใช้เลขประจำตัวประชาชน
(กรณีบุคคลธรรมดา) หรือเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (กรณีนิติบุคคล) ที่ตรงกับการลงทะเบียนร้านค้าในโครงการคนละครึ่ง พลัส เท่านั้น
5.4 ร้านค้าในโครงการคนละครึ่ง พลัส ประเภทร้านอาหารและเครื่องดื่ม ที่เลือก Upskill หรือ Reskill กับ Food Delivery Platform รายใด จะต้องไม่เป็นร้านค้าที่อยู่ในฐานข้อมูลของ Food Delivery Platform รายดังกล่าวนั้น ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568
5.5 ไม่เป็นผู้ประกอบการด้านขนส่งมวลชนสาธารณะในโครงการคนละครึ่ง พลัส
5.6 ไม่เป็นผู้ที่ถูก สศค. ระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในโครงการของรัฐ ได้แก่ (1) โครงการคนละครึ่ง (2) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 (3) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 (4) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 (5) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 และ (6) โครงการคนละครึ่ง พลัส
ทั้งนี้ หากตรวจสอบพบในภายหลังว่า ร้านค้ามีการกระทำผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการของรัฐข้างต้น จะถูกตัดสิทธิจากโครงการฯ
6. วิธีดำเนินการ:
6.1 ร้านค้าในโครงการคนละครึ่ง พลัส สามารถเลือกเข้าร่วมการ Upskill หรือ Reskill ระหว่างวันที่ 19 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2568 อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ดังต่อไปนี้
(1) เข้าร่วมเป็นร้านค้าบน Food Delivery Platform
มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ร้านอาหารและเครื่องดื่มในโครงการคนละครึ่ง พลัส สามารถขยายช่องทางการจำหน่าย เพิ่มฐานลูกค้า และเพิ่มรายได้ ผ่านการเข้าร่วมเป็นร้านค้าบน Food Delivery Platform ที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส รายใดรายหนึ่ง ได้แก่ Grab Lineman Robinhood และ ShopeeFood ทั้งนี้ ร้านค้าในโครงการคนละครึ่ง พลัส ประเภทร้านอาหารและเครื่องดื่มจะต้องลงทะเบียนเข้าร่วม Food Delivery Platform รายใดรายหนึ่งบนแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ระหว่างวันที่ 19 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2568 โดยมีผลการลงทะเบียนสำเร็จ และจะต้องไม่สมัครเข้าร่วม เป็นร้านค้าของ Food Delivery Platiom รายนั้น ก่อนวันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 ตามฐานข้อมูล ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 นอกจากนี้ ร้านค้าต้องมีคำสั่งซื้อที่ใช้สิทธิผ่านโครงการคนละครึ่ง พลัส อย่างน้อย 5 รายการ ภายในวันที่ 19 ธันวาคม 2568 จึงจะถือว่า ได้ดำเนินการ Upskill หรือ Reskill สำเร็จ
(2) เข้าร่วมและผ่านเกณฑ์การอบรมออนไลน์ของธนาคารออมสิน
มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ทางการเงิน เช่น การจัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย การประกอบธุรกิจที่เข้าถึงได้ง่าย เทคนิคการตั้งราคาขาย เป็นต้น ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ธนาคารออมสินคัดเลือกแล้วว่า มีความเหมาะสมกับผู้ประกอบการร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัสโดยผู้ประกอบการร้านค้าจะต้องผ่านการเรียนหลักสูตรตามที่ธนาคารออมสินกำหนด เข้าเรียนครบระยะเวลาหลักสูตร และมีการทำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนโดยมีผลคะแนนหลังเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนดและผลคะแนนหลังเรียนต้องสูงกว่าก่อนเรียน จึงจะถือว่า ได้ดำเนินการ Upskill หรือ Reskill สำเร็จ
(3) เข้าร่วมและผ่านเกณฑ์การอบรมออนไลน์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้และทักษะด้านการดำเนินธุรกิจให้ร้านค้าสามารถนำความรู้ไปต่อยอดในการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และเพิ่มทักษะเทคโนโลยี โดยเรียนผ่านระบบอบรมออนไลน์ DBD Academy (e-Learning) ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในหลักสูตรที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าคัดเลือกแล้วว่า มีความเหมาะสมกับผู้ประกอบการร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส ทั้งนี้ ผู้ประกอบการร้านค้าจะต้องเลือกเรียนอย่างน้อย 1 หลักสูตร เข้าเรียนครบระยะเวลาหลักสูตร และมีการทำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนโดยมีผลคะแนนหลังเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนดและผลคะแนนหลังเรียนต้องสูงกว่าก่อนเรียน จึงจะถือว่าได้ดำเนินการ Upskill หรือ Reskill สำเร็จ
6.2 กระทรวงการคลังโดย สศค. จะตรวจสอบคุณสมบัติความเป็นร้านค้าในโครงการคนละครึ่ง พลัส ของผู้ประกอบการร้านค้าที่ธนาคารออมสิน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือผู้ให้บริการ Food Delivery Platform ได้แจ้งว่าดำเนินการ Upskill หรือ Reskill ตามข้อ 6.1 สำเร็จ และประมวลผลเพื่อให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการร้านค้าที่มีคุณสมบัติครบถ้วน จำนวนไม่เกิน 400,000 สิทธิโดยจะให้สิทธิแก่ผู้ประกอบการร้านค้าตามลำดับวันและเวลาที่ธนาคารออมสิน กรมพัฒนาธุรกิจการค้าหรือผู้ให้บริการ Food Delivery Platform ได้แจ้งว่าดำเนินการ Upskill หรือ Reskill สำเร็จ ซึ่งจะประกาศผลผู้ประกอบการร้านค้าที่ได้รับสิทธิในวันที่ 23 ธันวาคม 2568 ผ่านข้อความบนแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” และข้อความสั้น (Short Message Service: SMS)
7. สิทธิประโยชน์: ร้านค้าที่ผ่านหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการ Upskill หรือ Reskill อย่างใดอย่างหนึ่งในข้อ 6 จำนวนไม่เกิน 400,000 ร้านค้าแรก จะได้รับสิทธิเงินสนับสนุนจากภาครัฐ ร้อยละ20 ของยอดชายที่เกิดจากโครงการคนละครึ่ง พลัส เฉพาะในส่วนที่ภาครัฐร่วมจ่าย นับตั้งแต่วันที่ร้านค้าได้ดำเนินการ Upskill หรือ Reskill สำเร็จ จนถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2568 ทั้งนี้ สูงสุดไม่เกิน 2,000 บาท ต่อร้านค้า โดยกระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง จะโอนเงินดังกล่าวให้แก่ร้านค้าผ่านบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่ผูกกับแอปพลิเคชัน
“ถุงเงิน” ในวันที่ 25 ธันวาคม 2568
สำหรับกรณีโอนเงินไม่สำเร็จจะดำเนินการติดตามเพื่อโอนเงิน (Retry) ให้แก่ร้านค้าในวันที่30 มกราคม 2569 และในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2569 โดยเมื่อพ้นกำหนดดังกล่าว รัฐจะไม่โอนเงินให้แก่ร้านค้า และถือว่า ร้านค้าไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการฯ
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการฯ ซึ่งรวมถึงการได้รับสิทธิประโยชน์ของโครงการฯ ให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังโดย สศค. กำหนด
ประโยชน์และผลกระทบ
การดำเนินโครงการฯ จะช่วยให้ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส สามารถพัฒนาธุรกิจที่สอดคล้องกับลักษณะของการประกอบการของตนผ่านการเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน Financial Literacy และ Digital Literacy เช่น การจัดทำบัญชี การเริ่มต้นธุรกิจ การตลาดยุคดิจิทัลการส่งเสริมการขายหรือขยายช่องทางการจำหน่าย การประยุกต์ใช้ AI เป็นต้น นำไปสู่การยกระดับศักยภาพของร้านค้าซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจไทยให้เกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพต่อไป
การดำเนินการที่ผ่านมา
กระทรวงการคลัง โดย สศค. รายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการคนละครึ่ง พลัส ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 สรุปได้ ดังนี้
1. จำนวนร้านค้า: มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส ที่ผ่าน การตรวจสอบข้อมูลแล้วทั้งสิ้น 893,196 ราย ในจำนวนนี้ มีร้านค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่มที่ลงทะเบียน กับผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ซึ่งประกอบด้วย (1) บริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด (Grab) (2) บริษัท ไลน์แมน (ประเทศไทย) จำกัด (Lineman) (3) บริษัท เพอร์เพิลเวนเจอร์ส จำกัด (Robinhood) และ (4) บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด (ShopeeFood) สำเร็จแล้วจำนวนทั้งสิ้น 70,456 ราย คิดเป็นร้อยละ 7.89 ของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส
2. จำนวนประชาชน: มีประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส ครบจำนวน 20 ล้านราย เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2568 โดยประกอบด้วย
2.1 ประชาชนผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (แบบ ภ.ง.ด. 90 แบบ ภ.ง.ด. 91 และแบบ ภ.ง.ค. 95) ของปีภาษี 2567 ตามฐานข้อมูลของกรมสรรพากร ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 ซึ่งได้รับวงเงินสิทธิ 2,400 บาท จำนวน 7,928,858 ราย
2.2 ประชาชนทั่วไป ซึ่งได้รับวงเงินสิทธิ 2,000 บาท จำนวน 12,071,142 ราย
3. การใช้จ่าย: มีผู้ใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่ง พลัส จำนวน 19.68 ล้านรายยอดใช้จ่ายรวม ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 จำนวน 29,683.80 ล้านบาท ประกอบด้วยการใช้จ่ายส่วนของประชาชน 15,035.30 ล้านบาท (ร้อยละ 50.65) และเงินร่วมจ่ายของรัฐ 14,648.50 ล้านบาท (ร้อยละ 49.35) ทั้งนี้ ได้ใช้จ่ายกับร้านค้าทั้งสิ้น 822,775 ราย
4. วงเงินงบประมาณ: กระทรวงการคลัง โดย สศค. ได้รับจัดสรรงบประมาณในการดำเนินโครงการคนละครึ่ง พลัส จากสำนักงบประมาณแล้วเป็นจำนวน 44,000 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวน 25,000 ล้านบาท และ (2) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 19,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อคำนวณวงเงินสิทธิของประชาชนกลุ่มที่ได้รับวงเงินสิทธิ 2,400 บาทและกลุ่มที่ได้รับวงเงินสิทธิจำนวน 2,000 บาท ตามข้อ 2 จะมีวงเงินที่ภาครัฐต้องร่วมจ่ายในโครงการคนละครึ่ง พลัส เป็นจำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 43,171,543,200 บาท
19. เรื่อง รายงานสรุปผลและการนำเสนอวีดิทัศน์สรุปผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลของกระทรวงมหาดไทย ครั้งที่ 1 (ระหว่างวันที่ 1 - 31 ตุลาคม 2568)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลและการนำเสนอวีดิทัศน์สรุปผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลของกระทรวงมหาดไทย ครั้งที่ 1 (ระหว่างวันที่ 1 – 31 ตุลาคม 2568) ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ
สาระสำคัญ
เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นนโยบายที่ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศเพื่อคืนความเชื่อมั่นและความสุขให้กับประชาชน โดยกระทรวงมหาดไทยภายใต้การนำของนายอุทิน ชาญวีรกูลนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ำให้ความสำคัญกับการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข”ทำให้ประชาชนมีความสมบูรณ์พูนสุขด้วยความทันสมัย ทันโลก ทันเหตุการณ์ และทันท่วงทีในการนี้ กระทรวงมหาดไทยได้รวบรวมผลการดำเนินงานของกระทรวงมหาดไทยตามนโยบายของรัฐบาล ครั้งที่ 1 (ระหว่างวันที่ 1 – 31 ตุลาคม 2568) “มหาดไทย ทำ ทัน ที Action 5” จำนวน 5 ด้าน และได้จัดทำเป็นวีดิทัศน์เพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ส่งเสริมสนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ (Action to Achieve Economic Prosperity) มีผลการดำเนินงานสำคัญ 3 โครงการ ดังนี้
1.1 สนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายคนละครึ่ง พลัส กระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือขอความร่วมมือจังหวัด อำเภอ ท้องที่ และท้องถิ่น ดังนี้
1) ขอความร่วมมือจังหวัดดำเนินการสนับสนุนการดำเนินงานโครงการคนละครึ่ง พลัส โดยการประชาสัมพันธ์โครงการคนละครึ่ง พลัส ผ่านช่องทางที่เหมาะสม อาทิ เว็บไซต์หน่วยงานราชการในพื้นที่ สื่อออนไลน์ เสียงตามสาย หอกระจายข่าว ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม รวมทั้ง สื่อประชาสัมพันธ์อื่นๆ เชิญชวนประชาชน ผู้ประกอบการร้านค้าเข้าร่วมโครงการฯ และมอบหมายเจ้าหน้าที่รับรองการประกอบกิจการของร้านค้าที่ประสงค์จะสมัครเข้าร่วมโครงการฯ รวมทั้งป้องปรามมิให้ร้านค้า ที่เข้าร่วมโครงการฯ กระทำผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ
2) ขอความร่วมมือกรุงเทพมหานคร และจังหวัดทุกจังหวัด ดังนี้
(1) มอบหมายอำเภอ/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ออกหน่วยให้บริการเคลื่อนที่ (Mobile Unit) ร่วมกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่ออำนวยความสะดวกในการรับลงทะเบียน ผู้ประกอบการร้านค้าในระดับพื้นที่ตำบล/ชุมชนและเพิ่มจำนวนร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้ทั่วถึงและครอบคลุมในทุกกลุ่มร้านค้า
(2) มอบหมายสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดและอำเภอเชิญชวนผู้ประกอบการ ร้านค้า/ผู้ประกอบการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) เข้าร่วมโครงการฯ และเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย สินค้า OTOP เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับชุมชน
(3) ประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ว่า สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง มิได้มีการส่งต่อข้อมูล ธุรกรรมให้กับกรมสรรพากรเพื่อตรวจสอบรายได้แต่อย่างใด
(4) มอบหมายที่ทำการปกครองจังหวัดเป็นหน่วยงานในการรายงานผลการดำเนินงานการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์รายสัปดาห์ในทุกวันศุกร์ โดยให้รายงานครั้งแรก ในวันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2568 จนถึงวันสิ้นสุดโครงการ
ทั้งนี้ ปัจจุบันการใช้กลไกกระทรวงมหาดไทยในการเชิญชวนและรับรองร้านค้าเข้าร่วมโครงการถือว่าเป็นช่องทางหลัก โดย ณ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 มีผู้ประกอบการร้านค้าเข้าร่วมโครงการฯ ผ่านช่องทางกระทรวงมหาดไทย จำนวน 662,488 ร้านค้า และข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568 มีกลุ่มผู้ประกอบการร้านค้า OTOP ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการกว่า 11,077 ร้านค้า
1.2 ส่งเสริมโซลาร์ฟาร์มชุมชน เน้นการพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน กระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมที่ดิน การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้า ส่วนภูมิภาค ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินงานร่วมกับกระทรวงพลังงาน ในการดำเนินโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน โครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร การส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ในบ้านที่อยู่อาศัย ด้วยมาตรการทางภาษี และการเร่งรัดการซื้อขายไฟฟ้าสะอาดโดยตรงระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้าและอุตสาหกรรม Data Center หรือมาตรการ Direct PPA โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญด้านพลังงานไฟฟ้าได้เร่งดำเนินการการขับเคลื่อน ดังนี้
1) การไฟฟ้านครหลวง ได้ดำเนินมาตรการ Direct PPA ร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และหน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้อง โดยได้ดำเนินการ อาทิ จัดทำแผนที่ศักยภาพของระบบจำหน่ายไฟฟ้าในการรองรับการเชื่อมต่อของผู้ผลิตไฟฟ้าและผู้ใช้ไฟฟ้า Data Center ที่จะเข้ามาตรการ Direct PPA จัดทำร่างข้อกำหนดการเปิดใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (Third Party Access Code : TPA Code) และอัตราค่าบริการ TPA เพื่อเสนอให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน พิจารณาเห็นชอบจัดทำร่างสัญญาการเปิดใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (TPA) ตามหลักเกณฑ์และกรอบการดำเนินการของภาคนโยบาย เพื่อเสนอให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ทราบและพิจารณาให้ความเห็น
2) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้มุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนผ่านพลังงานสะอาด ผ่านการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 1,500 เมกะวัตต์ ดำเนินการในประเภทโซลาร์ฟาร์ม มีขนาดโครงการไม่เกิน 5 เมกะวัตต์ต่อแห่ง โดยให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน 100% และมีระยะเวลาโครงการ25 ปีซึ่งผู้ลงทุนต้องเลือกพื้นที่ที่มีระยะห่างจากจุดเชื่อมโยงระบบของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ไม่เกิน 5 กิโลเมตรเพื่อลดต้นทุนการเชื่อมต่อและเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งไฟฟ้า ผลที่ได้จากโครงการจะสามารถสร้างผลประโยชน์สู่ชุมชนและลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชนทั่วประเทศผ่านส่วนลดค่าไฟฟ้าที่จะจัดสรรให้แก่ครัวเรือนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านที่อยู่อาศัย รวมทั้งเป็นการสร้างความมั่นคงพลังงานท้องถิ่น ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยให้ประชาชนมีบทบาทสำคัญในการคัดเลือกผู้ลงทุน และบริหารจัดการผลประโยชน์ สร้างการลงทุนและการจ้างงานในพื้นที่ต่างจังหวัด กระจายรายได้สู่ชุมชนและลดภาระค่าครองชีพของประชาชนได้ ซึ่งจะเป็นการตอบสนองนโยบายพลังงานแห่งชาติและกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
1.3 ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน เชื่อมโยงอัตลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่น สร้างรายได้สู่เศรษฐกิจฐานราก ดำเนินการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนเชิงสร้างสรรค์ภายใต้แนวคิดการจัด กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ที่นักท่องเที่ยวลงมือปฏิบัติ (Designing a Human Oriented Participatory Experience หรือ D - HOPE) ผ่านโครงการที่มุ่งเน้นการเชื่อมโยงอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของท้องถิ่น เพื่อสร้างรายได้และกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสู่ชุมชนฐานราก โดยดำเนินการกับชุมชนเป้าหมายจำนวน 100 ชุมชน ทั่วประเทศ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และให้ส่วนกลางให้ความรู้แนวคิด D-HOPE ผ่านประชุมเชิงปฏิบัติการ พัฒนาศักยภาพการจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ที่นักท่องเที่ยวลงมือปฏิบัติ (D-HOPE) และขับเคลื่อนผู้นำชุมชน ท่องเที่ยวส่งต่อการรับรู้และการตลาด 4.0 ให้คณะกรรมการบริหารจัดการชุมชนได้เรียนรู้การประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์และชุมชนของตนเอง ผ่านช่องทางออนไลน์ที่ผ่านแอปพลิเคชัน การผลิตสื่อเพื่อการประชาสัมพันธ์แหล่งชุมชนท่องเที่ยว และจัดทำคลิปประชาสัมพันธ์ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ในส่วนของพื้นที่ โดยสำนักงาน พัฒนาชุมชนอำเภอ ดำเนินการจัดกิจกรรมค้นหาผู้จัดโปรแกรมท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ (Champ) เพื่อคัดเลือก กิจกรรมภูมิปัญญาชุมชนที่โดดเด่นสามารถนำไปต่อยอดเป็นโปรแกรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ให้นักท่องเที่ยว สามารถลงมือปฏิบัติได้ ชุมชนละ 10 โปรแกรม รวม 1,000 โปรแกรม การจัดนิทรรศการแบบกระจายเพื่อประชาสัมพันธ์ชุมชนและโปรแกรมท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และกิจกรรมยกระดับและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อจำหน่ายให้นักท่องเที่ยวจำนวน 300 ผลิตภัณฑ์ ให้เป็นที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยว โดยผลการดำเนินงาน ในปีงบประมาณ พ.ศ.2568 มีชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีที่ได้รับการพัฒนาศักยภาพและสามารถบริหารจัดการชุมชน ด้านการท่องเที่ยว จำนวนทั้งสิ้น 100 ชุมชน โดยได้รับการพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวสามารถจัดทำโปรแกรมการท่องเที่ยวที่ผู้ชมลงมือปฏิบัติด้วยตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประชาชนในชุมชนได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการถ่ายทอดประสบการณ์และจัดทำโปรแกรมการท่องเที่ยวเพื่อรองรับการบริการนักท่องเที่ยวได้ มีกิจกรรมที่น่าสนใจ เป็นเอกลักษณ์ สามารถรองรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ มีผลิตภัณฑ์ OTOP ที่มีคุณภาพและมาตรฐาน/มีอัตลักษณ์ สำรับอาหารพื้นถิ่น และมีสื่อประชาสัมพันธ์ คลิปวีดีโอแนะนำชุมชน เป็นเครื่องมือให้บริการแก่นักท่องเที่ยวได้รับการพัฒนาเส้นทางการ ท่องเที่ยวชุมชน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวชมในชุมชน และมีอัตราการขยายตัวของรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น ร้อยละ 115.86
2. แก้ไขปัญหาข้อพิพาทไทย - กัมพูชา (มิติการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง) (Action to Resolve the Thailand-Cambodia Border Dispute (Rear Line Protection Dimension)) กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินโครงการสนับสนุนการบริหารจัดการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังจังหวัดชายแดนไทย - กัมพูชา สร้างบังเกอร์หลบภัย พัฒนาระบบสื่อสาร หอกระจายข่าว และการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังนอกประเทศ ระหว่างชายแดนไทย - กัมพูชา ดังนี้
2.1 การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังนอกประเทศระหว่างชายแดนไทย - กัมพูชา ได้รับการดำเนินการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 193,184,236 บาทเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการสนับสนุนการบริหารจัดการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง จังหวัดชายแดนไทย - กัมพูชา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ดังนี้
1) การสร้างบังเกอร์และหลุมหลบภัย ครอบคลุมจังหวัดติดชายแดนไทย - กัมพูชาได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน 179,145,788 บาท ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดจันทบุรี สระแก้ว ศรีสะเกษ สุรินทร์ และจังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 779 แห่ง
2) การสื่อสารเพื่อความมั่นคง หอกระจายข่าวสู่ชุมชนพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา ได้รับการจัดสรรงบประมาณ งบประมาณ 14,038,448 บาท จำนวน 221 แห่ง
2.2 การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังนอกประเทศ ระหว่างชายแดนไทย - กัมพูชา ดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีอพยพชายแดนไทย - กัมพูชา เพื่อเป็นค่าเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน ที่อาศัยอยู่ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว/สถานที่ปลอดภัยปัจจุบันจ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว รวมเป็นเงิน 280,745 ครัวเรือน จำนวนเงิน 1,257.268 ล้านบาท รวมถึงได้ดำเนินการสร้างพื้นที่ปลอดภัย และศูนย์พักพิงชั่วคราว
3. ป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด (Action for Narcotics Control and Suppression) กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการบำบัดรักษา ผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดในระบบ MOI DRUGS GIS และดำเนินการจัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมสาขาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดังนี้
3.1 การบำบัดรักษา ผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดในระบบ MOI DRUGS GIS โดยมีเป้าหมายผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด ที่ต้องนำเข้ารับการบำบัดรักษา จำนวน 197,416 ราย นำเข้าบำบัดรักษาแล้วจำนวน 184,879 ราย คิดเป็นร้อยละ 93.65 โดยมีรายละเอียด ดังนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2568)
1) ผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด เป้าหมาย จำนวน 182,954 คน นำเข้ากระบวนการบำบัดรักษาแล้ว จำนวน 171,133 คน คิดเป็นร้อยละ 93.54
2) ผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดที่มีอาการจิตเวชร่วม เป้าหมาย จำนวน 14,462 คน นำเข้ากระบวนการบำบัดรักษาแล้ว จำนวน 13,746 คน คิดเป็นร้อยละ 95.05
3) พบของกลางยาเสพติด ดังนี้ ยาบ้า จำนวน 149,999,673 เม็ด เฮโรอีน จำนวน212,618 กรัม ไอซ์ จำนวน 2,921,237 กรัม เอ็กซ์ตาซี จำนวน 925 กรัม เคตามีน จำนวน 3,138 กรัม
รวมถึงศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม มีผู้ขอรับความช่วยเหลือจากศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม จำนวน 19,407 คน โดยให้การช่วยเหลือแล้ว จำนวน 18,204 คน คิดเป็นร้อยละ 93.80
3.2 การจัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมสาขาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินการขอให้จังหวัดตรวจสอบและเร่งรัดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล) ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม สาขาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้แล้วเสร็จตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดเพื่อรองรับการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ติดยาเสพติดที่ผ่านการบำบัดรักษาและฟื้นฟู ให้สามารถกลับมาดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข โดยในปัจจุบันมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (เทศบาลและองค์การบริหาร ส่วนตำบล) ที่ได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมแล้ว จำนวน 5,960 แห่ง จากจำนวนองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น จำนวน 7,765 แห่ง ส่งผลให้แสดงถึงความก้าวหน้าที่สำคัญในการสร้างความเข้มแข็งของกลไกการฟื้นฟูสภาพทางสังคมในระดับฐานรากของประเทศ
4. เพิ่มศักยภาพการป้องกันสาธารณภัยและการช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา (Action to Enhance Disaster Prevention Capacity and Recovery Process) ดำเนินการพัฒนาระบบ “T-Alert” สัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ “Cell Broadcast” โดยระบบจะส่งข้อความการแจ้งเตือนภัยใน 8 ประเภท ได้แก่แผ่นดินไหว สึนามิ ดินโคลนถล่ม วาตภัย อุทกภัย ภัยหนาว ภัยจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และภัยจากเหตุรุนแรงในพื้นที่สาธารณะ ซึ่งระบบสามารถส่งสัญญาณเตือนภัยได้ในรูปแบบเสียงสัญญาณเตือนภัย รูปภาพภัยและข้อความแจ้งเตือนภัย ทำให้ผู้พิการทางสายตาและผู้พิการทางการได้ยินสามารถรับรู้และรับทราบการแจ้งเตือนภัยจากหน่วยงานภาครัฐได้เพื่อความปลอดภัย รู้เร็วรับมือทัน ส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจังหวัดได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับระบบการแจ้งเตือนภัยของประเทศไทย “T-Alert” อย่างถูกต้อง และสามารถเชื่อมโยง ข้อมูลและร่วมกันปฏิบัติงานด้านการแจ้งเตือนภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผลการดำเนินงานที่ผ่านมาได้ดำเนินการทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยผ่าน Cell Broadcast ไปแล้วทั้งหมด จำนวน 3 ครั้ง รวมทั้งบูรณาการการทำงานในการพัฒนาระบบการแจ้งเตือนภัย ผ่านการออกบูธนิทรรศการและประชาสัมพันธ์การให้ความรู้เรื่องระบบ T-Alert ได้แก่ การส่งสัญญาณเตือนภัยไปยังหอเตือนภัยที่ติดตั้ง ณ พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดสาธารณภัย อุปกรณ์รับสัญญาณเตือนภัยผ่านดาวเทียมที่ติดตั้ง ณ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยประจำจังหวัด แอปพลิเคชัน Thai Disaster Alert สื่อ Social Media ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และการส่งสัญญาณเตือนภัยไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่ของประชาชนหรือ Cell Broadcast และข้อความสั้น SMS ถึงประชาชน เพื่อให้ประชาชนทราบข้อมูลเกี่ยวกับระบบการแจ้งเตือนภัยของประเทศไทยที่ถูกต้อง พร้อมร่วมกันประสานการปฏิบัติงานด้านการแจ้งเตือนภัยในทุกระดับอย่างมีประสิทธิภาพ
5. ป้องกันแก้ไขปัญหาความมั่นคงทุกรูปแบบ (Action to Provide Public Security and Safety) ดำเนินการขับเคลื่อนกลไกการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีภายใต้การอำนวยการของนายกรัฐมนตรี มีการกำหนดมาตรการเชิงรุกเพื่อปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและติดตามยึดทรัพย์อย่างรวดเร็ว และมุ่งเน้นจัดระเบียบสังคม กวาดล้างบ่อนการพนันและจับกุมเครือข่ายค้ามนุษย์ทุกรูปแบบอย่างเข้มข้น ส่งผลให้ประชาชนได้รับการคุ้มครองทรัพย์สินจากการถูกหลอกลวงและมีความปลอดภัยในชีวิตที่ดีขึ้น จากการลดแหล่งอบายมุขและอาชญากรรมร้ายแรงในพื้นที่
โดยผลการปฏิบัติงานโดยชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองส่วนภูมิภาค เพื่อขับเคลื่อน นโยบายการจัดระเบียบสังคมและปราบปรามผู้มีอิทธิพล ทั้งหมด 76 จังหวัด (ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน2566 ถึงวันที่ 21 ตุลาคม 2568) มีผลการดำเนินงาน ดังนี้ 1) การปฏิบัติ จำนวน 2,974,680 ครั้ง ได้แก่ ตั้งจุดตรวจ จำนวน 954,066 ครั้ง ตรวจตราสถานที่ จำนวน 941,069 ครั้ง หาข่าว จำนวน 1,079,525 ครั้ง 2) การจับกุมตามประเภทความผิด จำนวน 50,707 คดี ได้แก่ ยาเสพติด จำนวน 40,244 คดี ค้ามนุษย์ จำนวน 158 คดี อาวุธปืน จำนวน 3,624 คดี การพนัน จำนวน 2,164 คดี สถานบริการ จำนวน 849 คดี ผู้มีอิทธิพลและอื่น ๆ จำนวน 3,668 คดี
20. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กรณีการส่ง SMS ที่มีการแนบลิงก์
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กรณีการส่ง SMS ที่มีการแนบลิงก์ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอ
เหตุผลความจำเป็น
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ให้การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็น “วาระแห่งชาติ” เนื่องจากปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ การฟอกเงิน ค้ามนุษย์ และอาชญากรรมรูปแบบใหม่เป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจของประเทศโดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการในการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 ให้หน่วยงานสำคัญ เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานเกี่ยวข้องอื่น ๆ เร่งบูรณาการความร่วมมือทั้งด้านการป้องกัน การปราบปรามและการสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยออนไลน์ เพื่อให้การดำเนินงานเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและขับเคลื่อนวาระแห่งชาติด้านอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และที่ผ่านมาปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ยังคงมีความรุนแรง สร้างความเดือดร้อนเสียหายให้กับประชาชนในสังคม มีประชาชนตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพเหล่านี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเร่งด่วน จึงนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบมาตรการเร่งด่วนเพื่อการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
สาระสำคัญ
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้จัดประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 6/2568 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 ครั้งที่ 7/2568 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 และครั้งที่ 8/2568 เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (นายไชยชนก ชิดชอบ) เป็นประธานฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) สมาคมธนาคารไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (สมาคมโทรคมนาคมฯ) เพื่อบูรณาการการทำงานและขับเคลื่อนการแก้ปัญหาภัยออนไลน์
ทั้งนี้ ตั้งแต่มีการประกาศใช้พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 และพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้มีการกำหนดมาตรการที่สำคัญหลายประการ เพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งส่งผลให้การดำเนินการภายหลังจาก ที่มีการบังคับใช้มาตรการภายใต้พระราชกำหนดฯ ฉบับนี้ ทำให้การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์มีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับการดำเนินการที่เร่งด่วนและยกระดับมาตรการเพื่อตัดช่องทางการหลอกลวงประชาชนโดยใช้ SMS แนบลิงก์ มีรายละเอียด ดังนี้
1. สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ออกประกาศ เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสำหรับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ประกาศ ณ วันที่ 28 สิงหาคม 2568 โดยอาศัยอำนาจตามความตามมาตรา 4/1 วรรคหนึ่ง พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 โดยกำหนดให้บริการการส่ง SMS แบบ Application-to-Person (A2P) หรือการส่งข้อความจากแอปพลิเคชันถึงบุคคลทั่วไป ต้องลงทะเบียนผู้ส่ง (Sender Name) กับผู้ให้บริการ ก่อนส่งข้อความ กรณีการส่งข้อความที่แนบลิงก์ ผู้ให้บริการต้องตรวจสอบความถูกต้องของลิงก์ที่ใช้แนบทุกครั้ง ก่อนส่งข้อความสั้นไปยังผู้รับบริการ
2. ธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศ เรื่อง มาตรฐานและมาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสำหรับสถาบันการเงินการดำเนินการ ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 โดยอาศัยอำนาจตามความตามมาตรา 4/1 วรรคหนึ่ง พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกำหนดให้สถาบันการเงินห้ามส่ง SMS ที่มีการแนบลิงก์ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายหรือถูกหลอกลวงแก่ผู้ใช้บริการ พร้อมทั้งต้องป้องกันไม่ให้ช่องทางอื่น เช่น อีเมล หรือสื่อสังคมออนไลน์ ถูกใช้เพื่อส่งลิงก์ที่เป็นอันตรายแก่ลูกค้าซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการตามประกาศ
3. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี ได้หยิบยกประเด็นของการส่ง SMS ที่มีการแนบลิงก์ ซึ่งได้กำหนดให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมต้องตรวจสอบและคัดกรอง SMS และลิงก็ตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติก่อนจัดส่งถึงผู้ใช้บริการเพื่อป้องกันไม่ให้ข้อความที่อาจเป็นภัยถูกส่งต่อ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมรับทราบว่ายังคงมีการส่ง SMS หลอกลวงอย่างต่อเนื่องแม้ภาคเอกชนได้ดำเนินมาตรการคัดกรองแล้ว จึงเห็นความจำเป็นที่ภาครัฐต้องเข้ามาพิจารณาและกำกับการส่ง SMS แนบลิงก์เพิ่มเติม เพื่อให้มาตรการควบคุม ต้นทางของการหลอกลวงประชาชนมีประสิทธิภาพสูงสุดและลดความเสียหายต่อประชาชนได้จริง
ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พิจารณาแล้วเห็นควรให้หน่วยงานราชการและองค์กรหน่วยงานที่อยู่ในกำกับของภาครัฐ พิจารณายกเลิกการส่ง SMS หรือข้อความสั้นและอีเมลแนบลิงก์ให้กับประชาชน เพื่อช่วยแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะปัญหาสแกมเมอร์ โดยมาตรการนี้จะเป็นการช่วยให้ประชาชนรับรู้ว่า หากมีการส่ง SMS และอีเมล ที่ระบุว่ามาจากหน่วยงานรัฐ ถือว่าเป็นการแอบอ้างของมิจฉาชีพทั้งหมด ประชาชนไม่ต้องกดลิงก์เหล่านั้น เพื่อช่วยลดปัญหาการถูกหลอกลวงและสามารถไปแจ้งหน่วยงานนั้น ๆ ที่ถูกแอบอ้าง และเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อสืบสวนสอบสวนที่มาของ SMS หรืออีเมลหลอกนั้นเพื่อนำมิจฉาชีพมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้ทันที
21.เรื่อง แผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2570-2573)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง เสนอ ดังนี้
1. คณะรัฐมนตรีอาศัยอำนาจตามมาตรา 14 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ เห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2570 - 2573) เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาจัดทำกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามมาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ และเพื่อให้หน่วยงานของรัฐนำไปใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดเก็บหรือหารายได้ การจัดทำงบประมาณ และการก่อหนี้ของหน่วยงานของรัฐ ตามมาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ
2. มอบหมายให้สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังหารือในรายละเอียดการดำเนินการตามแผนการคลังระยะปานกลางฯ ให้เป็นรูปธรรม และนำเสนอต่อคณะกรรมการฯ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบ ต่อไป
3. มอบหมายให้กระทรวงการคลังกำหนดแนวทางในการกำกับการดำเนินการตามมาตรการกึ่งการคลังตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ตามข้อ 2.3 เป้าหมายนโยบายการคลัง ข้อ 2) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. มาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ) กำหนดให้คณะกรรมการฯ มีหน้าที่จัดทำแผนการคลังระยะปานกลาง เพื่อใช้เป็นแผนแม่บทหลักสำหรับการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของรัฐ รวมทั้งแผนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีและแผนการบริหารหนี้สาธารณะ โดยกำหนดให้แผนการคลังระยะปานกลางมีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี และอย่างน้อยต้องประกอบด้วย (1) เป้าหมายและนโยบายการคลัง (2) สถานะและประมาณการเศรษฐกิจ (3) สถานะและประมาณการการคลัง ซึ่งรวมถึงประมาณการรายได้ ประมาณการรายจ่าย ดุลการคลัง และการจัดการกับดุลการคลังนั้น (4) สถานะหนี้สาธารณะของรัฐบาล
และ (5) ภาระผูกพันทางการเงินการคลังของรัฐบาล ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 ได้มีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลางฯ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 14 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ และนำไปประกอบการพิจารณาจัดทำกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามมาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ
2. สาระสำคัญของแผนการคลังระยะปานกลางฯ
แผนการคลังระยะปานกลางฯ ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 สถานะและประมาณการเศรษฐกิจ ส่วนที่ 2 สถานะและประมาณการการคลัง และส่วนที่ 3 เป้าหมายและนโยบายการคลัง โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
2.1 สถานะและประมาณการเศรษฐกิจ
2.1.1 ในปี 2569 คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) จะขยายตัวในช่วงร้อยละ 1.2 - 2.2 (ค่ากลางร้อยละ 1.7) GDP Deflator อยู่ที่ร้อยละ 0.7 และอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.0 - 1.0
2.1.2 ในปี 2570 คาดว่า GDP จะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.1 - 3.1 (ค่ากลางร้อยละ 2.6) GDP Deflator อยู่ที่ร้อยละ 0.9 และอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.4 - 1.4
2.1.3 ในปี 2571 - 2572 คาดว่า GDP จะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.3 - 3.3 (ค่ากลางร้อยละ 2.8) ขณะที่ในปี 2573 คาดว่า GDP จะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.5 - 3.5 (ค่ากลางร้อยละ 3.0) ทั้งนี้ GDP Deflator ในปี 2571 - 2573 อยู่ที่ร้อยละ 1.1 1.3 และ 1.5 ตามลำดับ และอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปี 2571 - 2573 คาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.6 - 1.6 ร้อยละ 0.8 - 1.8 และร้อยละ 1.0 - 2.0 ตามลำดับ
2.2 สถานะและประมาณการการคลัง
2.2.1 ประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิปีงบประมาณ 2570 - 2573 เท่ากับ 3,000,000 3,145,000 3,274,000 และ 3,422,000 ล้านบาท ตามลำดับ
2.2.2 ประมาณการงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2570 - 2573 เท่ากับ 3,788,000 3,826,000 3,864,000 และ 3,903,000 ล้านบาท ตามลำดับ
2.2.3 ประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิและงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวในปีงบประมาณ 2570 - 2573 รัฐบาลจะขาดดุลงบประมาณจำนวน 788,000 681,000 590,000 และ 481,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.9 3.3 2.7 และ 2.1 ต่อ GDP ตามลำดับ
2.2.4 ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นปีงบประมาณ 2568 มีจำนวน 12,226,290 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 64.82 ของ GDP และประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สำหรับ
ปีงบประมาณ 2569 - 2573 เท่ากับร้อยละ 68.17 69.36 69.78 69.52 และ 68.22 ตามลำดับ
2.3 เป้าหมายและนโยบายการคลัง
ท่ามกลางความผันผวนและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การเมือง ภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้สถานการณ์ภาคการคลังของไทยส่งสัญญาณเตือนในหลายด้าน โดยเมื่อพิจารณาจากสัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อ GDP ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาของประเทศไทย พบว่า สัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อ GDP มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 17.0 ในปี 2536 ลดลงเหลือร้อยละ 14.9 ในปี 2568 อย่างไรก็ดี แม้ว่าสัดส่วนรายได้รัฐบาลจะมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง การใช้จ่ายของรัฐบาลกลับยิ่งทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในสภาวะที่เศรษฐกิจชะงักงัน ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น และหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง สะท้อนได้จากสัดส่วนรายจ่ายรัฐบาลต่อ GDP ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นลำดับ โดยเมื่อพิจารณาเพิ่มเติมในส่วนของรายละเอียดรายจ่ายรัฐบาลจะพบว่า รายจ่ายประจำมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 70 - 80 ของรายจ่ายรัฐบาลทั้งหมด (เช่น เงินเดือนและค่าตอบแทนข้าราชการ ค่ารักษาพยาบาล ค่าสาธารณูปโภค เงินอุดหนุน เป็นต้น) และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้รัฐบาลมีวงเงินงบประมาณคงเหลือสำหรับรายจ่ายลงทุนซึ่งเป็นรายจ่ายสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจลดลงตามไปด้วย
นอกจากนี้ มาตรการลดหย่อนภาษีต่าง ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ส่งผลต่อความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล ประกอบกับความจำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางการคลังในการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ซึ่งทำให้รัฐบาลมีภาระหนี้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่รัฐบาลจำเป็นต้องระดมทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการกู้เงินผ่านเครื่องมือทางการเงินทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มสูงขึ้นและเข้าใกล้กรอบเพดานหนี้สาธารณะที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 70 ขณะเดียวกัน สภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนสูงส่งผลต่อความไม่แน่นอนในการคาดการณ์ภาระดอกเบี้ย
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาในส่วนของการกำหนดสัดส่วนกฎเกณฑ์ทางการคลัง (Fiscal Rule) ตามมาตรา 11 (4) และมาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ เช่น สัดส่วนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย สัดส่วนงบประมาณเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาล เป็นต้น พบว่า สัดส่วนกฎเกณฑ์ทางการคลังบางรายการควรมีการทบทวน ยกเลิก หรือเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและบริบททางการคลังเพื่อเป็นการมุ่งเน้นการรักษาวินัยการเงินการคลังให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายการภาระผูกพันตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 มีภาระหนี้ผูกพันตามมาตรา 28 อยู่ที่ 865,018 ล้านบาท หรือร้อยละ 28.83 ต่อกรอบวงเงินงบประมาณ และล่าสุดในปี 2568 เพิ่มสูงขึ้นเป็น 1,133,751 ล้านบาท หรือร้อยละ 30.21 ต่อกรอบวงเงินงบประมาณ ความเปราะบางทางการคลังต่าง ๆ เหล่านี้ ได้ส่งผลกระทบต่อการประเมินความน่าเชื่อถือของประเทศ โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency) ระดับโลกได้แสดงความกังวลต่อความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว ที่สะท้อน
ผ่านการปรับแนวโน้มมุมมอง (Outlook) ของประเทศไทย ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในระยะต่อไป
ดังนั้น ในการดำเนินนโยบายการคลังในระยะปานกลาง ภาครัฐจึงมุ่งเน้นการฟื้นฟูสภาพทางการคลังของประเทศ เพื่อเสริมสร้างความมั่งคงทางการคลังและรักษาระดับความน่าเชื่อถือของประเทศภายใต้แนวคิด “Credible” โดยให้ความสำคัญกับการปรับสมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) ภายใต้กรอบวินัยการคลัง ความโปร่งใส และเป็นรูปธรรมในทุกมิติของการบริหารจัดการด้านการคลัง โดยมีการดำเนินการตามแนวทาง ดังนี้
1) การเปิดเผยแนวทางการจัดการด้านการคลังทั้งด้านรายได้และทรัพย์สิน รายจ่าย และหนี้สาธารณะ อย่างเป็นธรรมให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
ด้านรายได้ มุ่งเน้น (1) การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ โดยนำระบบงานดิจิทัล และ Big Data มาใช้เพื่อขยายฐานภาษีและเพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบรายบุคคลและผู้ประกอบการ รวมถึงการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lake) เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ โดย Data Lake ของกระทรวงการคลังมีเป้าหมายสำคัญในการรวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายฐานในการจัดเก็บรายได้ให้ครบถ้วน อีกทั้ง ยังนำมาช่วยออกแบบ วิเคราะห์ และประเมินผลนโยบายการคลัง อันเป็นการสร้างความมั่นคงทางการคลังของรัฐและเพื่อประโยชน์สาธารณะต่อไป รวมทั้งการทบทวนกฎหมายลำดับรองและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ จะปรับเพิ่มอัตราการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจบางแห่ง รวมทั้งเพิ่มรายได้และมูลค่าในการบริหารทรัพย์สินอื่น ๆ ที่รวมถึงทุนหมุนเวียนหลักทรัพย์ ที่ราชพัสดุ ราคาประเมิน และเหรียญกษาปณ์ และ (2) การดำเนินมาตรการภาษีของหน่วยงานจัดเก็บ ทั้งในส่วนการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและพิจารณาความเหมาะสมของค่าลดหย่อนบางประเภท การเก็บภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร การจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่ม การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน การปรับปรุงโครงสร้างสินค้าที่สร้างมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม การปรับปรุงโครงสร้างภาษีกลุ่ม Sin Tax ตลอดจนการเก็บอากรขาเข้าจากสินค้ามูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท ควบคู่กับการดำเนินมาตรการเทียบเท่ากับการทยอยยกเลิกการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 1.5 (เป็นจัดเก็บที่อัตราร้อยละ 8.5) และอีกร้อยละ 1.5 (เป็นจัดเก็บที่อัตราร้อยละ 10.0) ในปีงบประมาณ 2571 และ 2573 ตามลำดับ ทั้งนี้ ในกรณีการทยอยยกเลิกการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม รัฐบาลจะต้องเสนอมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดกับประชาชนและระบบเศรษฐกิจไปในคราวเดียวกัน
ด้านรายจ่าย ให้ความสำคัญกับ (1) การดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล (2) การจัดทำงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อไม่เป็นการเพิ่มรายจ่ายประจำ โดยเฉพาะหมวดค่าใช้จ่ายบุคลากร ด้านสวัสดิการประชาชน ด้านภาระค่ารักษาพยาบาล ด้านค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค ด้านการดำเนินงานของหน่วยงาน (3) การจัดทำแผนงาน/โครงการ หน่วยรับงบประมาณควรกำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัด และผลลัพธ์ที่สร้างประโยชน์ให้กับประชาชน หรือส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง (4) การขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย หน่วยรับงบประมาณควรให้ความสำคัญกับการจัดทำงบประมาณในมิติพื้นที่ (Area-Based Budgeting) และ (5) การจัดทำงบประมาณโดยพิจารณาความครอบคลุมทุกแหล่งเงิน ทั้งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ ให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณานำเงินนอกงบประมาณมาดำเนินภารกิจของหน่วยรับงบประมาณเป็นลำดับแรก รวมทั้งพิจารณาแหล่งเงินอื่นเพื่อดำเนินโครงการลงทุนภาครัฐ เช่น เงินกู้ การร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) และสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่คาดว่าจะมีรายได้จากการดำเนินโครงการในอนาคต ให้พิจารณาใช้จ่ายจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเงินกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund: TFFIF) เพื่อลดภาระงบประมาณของประเทศและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสินทรัพย์ภาครัฐ เป็นต้น
ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการลงทุนภาครัฐ สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน และมีสถานะการเงินที่ดี รวมถึงมีโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่มีกระแสเงินสดที่มั่นคง ให้พิจารณาความเหมาะสมในการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นลำดับแรก นอกจากนี้ สำหรับหน่วยงานของรัฐที่มีแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ โดยกรณีที่หน่วยงานเจ้าของโครงการพิจารณาแล้วเห็นว่า เอกชนมีศักยภาพ นวัตกรรม มีความสามารถในการบริหารความเสี่ยงและต้นทุนในการดำเนินการโครงการดังกล่าว หรือสามารถสร้างคุณภาพการให้บริการให้กับประชาชนดีกว่าที่ภาครัฐจะดำเนินการเอง ก่อให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพที่จะให้เอกชนดำเนินการ ให้พิจารณาความเหมาะสมที่จะให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนผ่านกฎหมายว่าด้วยการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
ด้านหนี้สาธารณะ ดำเนินการโดย (1) การบริหารหนี้ในเชิงรุก โดยปรับกลยุทธ์การระดมทุนให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและตลาดการเงินทั้งในและต่างประเทศ โดยมีการประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า เพื่อลดผลกระทบด้านต้นทุนและความเสี่ยง จากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยโลก และพิจารณาการปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาล (2) การรักษาวินัยในการชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย โดยควรจัดสรรงบชำระต้นเงินกู้ให้เหมาะสม สอดคล้องกับหนี้ที่ครบกำหนดชำระ และจัดสรรรายจ่ายชำระดอกเบี้ยให้มีความยืดหยุ่นเพื่อรองรับความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย และ (3) การประเมินความสามารถในการชำระหนี้ จากภาระดอกเบี้ยในแต่ละปีงบประมาณต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2568 อยู่ที่ร้อยละ 10.24 ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากความต้องการกู้เงินที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อดำเนินนโยบายการคลังในช่วงที่ผ่านมา
2) การปรับกฎเกณฑ์ทางการคลัง (Fiscal Rules) เพื่อเพิ่มวินัยทางการคลัง โดยให้มีการทบทวนสัดส่วนวินัยการคลังตามมาตรา 11 (4) ได้แก่ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น งบชำระคืนต้นเงินกู้ และการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่า/นอกเหนือจากกฎหมายงบประมาณเพื่อเป็นการส่งสัญญาณต่อสาธารณะถึงเจตนารมณ์ในการรักษาวินัยที่เข้มงวดขึ้นของรัฐ
3) การกำหนดแนวทางกำกับการดำเนินการตามมาตรการกึ่งการคลังตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ โดยเสนอขอความเห็นชอบคณะรัฐมนตรีกำหนดแนวทางในการพิจารณาอนุมัติโครงการตามมาตรา 28 ให้อยู่ภายใต้กรอบร้อยละ 32 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งหลีกเลี่ยงการอนุมัติโครงการในลักษณะเงินอุดหนุนแบบให้เปล่าที่ไม่ก่อให้เกิดการปรับตัวเพื่อยกระดับผลิตภาพการผลิตของภาคการเกษตร ทั้งนี้ ในการเสนอโครงการต่อคณะรัฐมนตรี หน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการจะต้องได้รับความเห็นชอบโครงการจากนายกรัฐมนตรีก่อน โดยหน่วยงานของรัฐนั้นจะต้องส่งรายละเอียดของโครงการให้กระทรวงการคลังพิจารณาให้ความเห็น และเสนอต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
จากแนวทางการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการคลังทั้ง 3 ด้านดังกล่าว นำไปสู่การกำหนดเป้าหมายการขาดดุลการคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเอื้อต่อการเพิ่มพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) โดยปรับลดขนาดการขาดดุลการคลังให้อยู่ในระดับไม่เกินร้อยละ 3.0 ของ GDP ภายในปี 2572 เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานด้านการคลังของรัฐบาล อันจะนำไปสู่การฟื้นฟูสภาพทางการคลังของประเทศให้กลับสู่สภาวะที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต
หน่วย: ล้านบาท
|
ปีงบประมาณ |
2569 |
2570 |
2571 |
2572 |
2573 |
|---|---|---|---|---|---|
|
รายได้รัฐบาลสุทธิ |
2,920,600 |
3,000,000 |
3,145,000 |
3,274,000 |
3,422,000 |
|
อัตราการเปลี่ยนแปลง (ร้อยละ) |
3.5 |
2.7 |
4.8 |
4.1 |
4.5 |
|
งบประมาณรายจ่าย |
3,780,600 |
3,788,000 |
3,826,000 |
3,864,000 |
3,903,000 |
|
อัตราการเปลี่ยนแปลง (ร้อยละ) |
0.7 |
0.2 |
1.0 |
1.0 |
1.0 |
|
ดุลการคลัง |
(860,000) |
(788,000) |
(681,000) |
(590,000) |
(481,000) |
|
ดุลการคลังต่อ GDP (ร้อยละ) |
(4.4) |
(3.9) |
(3.3) |
(2.7) |
(2.1) |
|
หนี้สาธารณะคงค้าง |
13,099,250 |
13,794,810 |
14,419,390 |
14,954,436 |
15,335,708 |
|
หนี้สาธารณะคงค้างต่อ GDP (ร้อยละ) |
68.17 |
69.36 |
69.78 |
69.52 |
68.22 |
|
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) |
19,371,000 |
20,049,000 |
20,831,000 |
21,685,000 |
22,661,000 |
หมายเหตุ: อัตราการเพิ่มของประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิ ปีงบประมาณ 2569 เทียบกับผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิ ปีงบประมาณ 2568 ในขณะที่อัตรา การเพิ่มของวงเงินงบประมาณรายจ่าย ปีงบประมาณ 2569 เทียบกับกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่าย ปีงบประมาณ 2568
ที่มา: กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประโยชน์และผลกระทบ
การจัดทำแผนการคลังระยะปานกลางฯ จะเป็นแผนแม่บทหลักให้หน่วยงานของรัฐนำไปใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดเก็บหรือหารายได้ การจัดทำงบประมาณ และการก่อหนี้ของหน่วยงานของรัฐ ตามมาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งภาคการคลังของประเทศในด้านต่าง ๆ โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง (Fiscal Consolidation) เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนทางการคลังในอนาคต รวมถึงช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือและสาธารณชน และสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน โดยจะเป็นส่วนสำคัญของการวางรากฐานเศรษฐกิจการคลังของประเทศในระยะยาว
ต่างประเทศ
22. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือภายใต้โครงการทุนการศึกษา Stipendium Hungaricum ปี ค.ศ. 2026 – 2028 ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมกับกระทรวงการต่างประเทศและการค้าฮังการี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือภายใต้โครงการทุนการศึกษา Stipendium Hungaricum (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) ปี ค.ศ. 2026 – 2028 ระหว่าง อว. กับกระทรวงการต่างประเทศและการค้าฮังการี (Memorandum of Understanding between the Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation of the kingdom of Thailand and the Ministry of Foreign Affairs and Trade of Hungary on Cooperation within the Framework of the Stipendium Hungaricum Programme for the Years 2026 - 2028) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ปี ค.ศ. 2026 – 2028 ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของประเทศไทย (ไทย) ขอให้ อว. หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
2.อนุมัติให้ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนัตกรรมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ปี ค.ศ. 2026 – 2028
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ที่ผ่านมาไทยและฮังการีได้ดำเนินความร่วมมือในระดับอุดมศึกษามาอย่างต่อเนื่อง โดยการให้ทุนการศึกษาในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก แก่นักเรียน/นักศึกษาชาวไทย จำนวน 40 ทุนต่อปี โดยครั้งล่าสุด อว. ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ปี ค.ศ. 2023 – 2025 ระหว่าง อว. กับกระทรวงการต่างประเทศและการค้าฮังการีซึ่งระยะเวลาการบังคับใช้บันทึกความเข้าใจดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินความร่วมมือเป็นไปอย่างต่อเนื่อง อว. จึงได้จัดร่างบันทึกความเข้าใจฯ ปี ค.ศ. 2026 – 2028 ระหว่าง อว. กับกระทรวงการต่างประเทศและการค้าฮังการีขึ้น และเรื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเดินทางเยือนฮังการีอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 19 – 20 พฤศจิกายน 2568 ดังนั้น กต. จึงเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีในการจัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ปี ค.ศ. 2026 – 2028 ในห้วงเวลาดังกล่าว โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ ปี ค.ศ. 2026 – 2028 มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกในการขายความร่วมมือระหว่างผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายในระยะยาว ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันในด้านอุดมศึกษาเพื่อนำไปสู่การพัฒนาสังคมฐานความรู้ โดยฝ่ายฮังการีจะให้ทุนการศึกษาในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาตรี - โท และปริญญาเอกแก่นักเรียน/นักศึกษาชาวไทย จำนวนปีละ 40 ทุน เพื่อศึกษาต่อในฮังการี และจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับผู้สมัครรับทุนการศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์การแพทย์และสุขภาพและเกษตรศาสตร์ ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศไม่ขัดข้องในสารัตถะและถ้อยคำ รวมทั้งมีความเห็นสอดคล้องกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือภายใต้โครงการทุนการศึกษา Stipendium Hungaricum ปี ค.ศ. 2026 – 2028 ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมกับกระทรวงการต่างประเทศและการค้าฮังการี ไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ส่วนกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้วไม่ขัดข้อง/เห็นควรให้ความเห็นชอบตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
23. เรื่อง ผลการเดินทางเข้าร่วมงาน China International Agricultural Trade Fair ครั้งที่ 22 ณ นครเทียนจิน สาธารณรัฐประชาชนจีน
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเข้าร่วมงาน China International Agricultural Trade Fair ครั้งที่ 22 ณ นครเทียนจิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ
สาระสำคัญ
1. จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยต่อเนื่อง 12 ปี ติดต่อกัน โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 การค้าระหว่างไทย - จีน มีมูลค่ากว่า 96,254 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (3,080,128 ล้านบาท) ขยายตัวร้อยละ 28.1 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สินค้าเกษตรไทยที่ส่งออกไปจีน เช่น ทุเรียน ลำไย มังคุด และยางพารา
2. รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะผู้บริหารของ กษ. ได้เดินทางเข้าร่วมงาน CATF ครั้งที่ 22 ระหว่างวันที่ 15-17 ตุลาคม 2568 ณ นครเทียนจิน จีน ซึ่งมีกิจกรรมที่สำคัญ เช่น
2.1 การกล่าวสุนทรพจน์ในงาน CATF ครั้งที่ 22 และเข้าร่วมพิธีเปิดนิทรรศการ Thai Pavilion ซึ่งภายในงานการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรได้นำผลไม้ไทยคุณภาพมาจัดแสดง เช่น ทุเรียน มะม่วงน้ำดอกไม้ มะพร้าว ส้มโอ ผลไม้อบแห้ง และสินค้าเกษตรแปรรูป รวมถึงผลิตภัณฑ์จากยางพารา นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม Business Matching เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรไทย ได้เจรจาธุรกิจกับผู้ซื้อโดยตรงทั้งในรูปแบบการทำการค้าระหว่างธุรกิจทำกับธุรกิจด้วยกัน (B2B) และรูปแบบธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการระหว่างเจ้าของธุรกิจกับผู้บริโภครายบุคคล (B2C) เพื่อผลักดันสินค้าเกษตรไทยสู่ตลาดโลก
2.2 การจับคู่ธุรกิจ โดย กยท. ได้มีการหารือเพื่อแสวงหาแนวทางความร่วมมือกับหน่วยงานภาคเอกชนของจีนในการส่งเสริมการส่งออกยางพาราไทยไปจีน
3. การเดินทางเข้าร่วมงาน CATF ครั้งที่ 22 ของรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยเอก ธรรมนัสฯ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในครั้งนี้ สามารถกระชับความสัมพันธ์อันดีและความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างไทยกับจีนให้แน่นแฟ้นได้ยิ่งขึ้น รวมถึงทำให้ได้รับทราบข้อมูลแนวโน้มของตลาดและเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่นำมาจัดแสดงภายในงานดังกล่าว ซึ่งสามารถนำมาใช้ประกอบการจัดทำนโยบายและแนวทางความร่วมมือในอนาคตเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ของไทยที่ส่งออกไปจีน
แต่งตั้ง
24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงคมนาคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงคมนาคม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นายอดิเทพ ตีระมาศวณิช ผู้อำนวยการสำนัก [ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (วิศวกรรมโยธา) สูง] สำนักก่อสร้างทาง กรมทางหลวงชนบท ดำรงตำแหน่ง วิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาวิชาชีพเฉพาะด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านการบำรุงรักษาทางและสะพาน) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมทางหลวงชนบท ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2568
2. นายสืบพงษ์ ไพศาลวัฒนา ผู้อำนวยการสำนัก [ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (วิศวกรรมโยธา) สูง] สำนักแผนงาน กรมทางหลวง ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการขนส่งทางบก (นักวิชาการขนส่งทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2568 และรองนายกรัฐมนตรี (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
25. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงมหาดไทย)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นางพนิตาวดี ปราชญ์นคร รองอธิบดีกรมที่ดิน ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมที่ดิน ตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2568
2. นางศุปกิจ สกลเสาวภาคย์ ผู้อำนวยการกอง (ผู้อำนวยการสูง) กองเทคโนโลยีทำแผนที่ กรมที่ดิน ดำรงตำแหน่ง นายช่างใหญ่ (ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมสำรวจ) (วิศวกรสำรวจทรงคุณวุฒิ) กรมที่ดิน ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2568
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป และนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว
26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เสนอแต่งตั้ง นายสรพงค์ ศรียานงค์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการประสานกิจการความมั่นคง (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป และนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว
27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงวัฒนธรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงจำนวน 6 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. นางสาวรานี อิฐรัตน์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นางสาววราพรรณ ชัยชนะศิริ รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นางสาวลิปิการ์ กำลังชัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นางสาวฐิต์ณัฐ สมบัติศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
5. นางเสริมกิจ ชัยมงคล รองอธิบดีกรมศิลปากร ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
6. นายเจษฎา ชีวะวิชวาลกุล รองอธิบดีกรมศิลปากร ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว
28. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง เสนอแต่งตั้ง นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป
29. เรื่อง การมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ตามลำดับ ดังนี้
1. นายทรงศักดิ์ ทองศรี ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
2. นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
3. นางสาวศศิธร กิตติธรกุล ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป
30. เรื่อง การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี เสนอรับโอน นางชญานันท์ ภักดีจิตต์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายโสภณ ซารัมย์) ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายและมอบอำนาจจากนายกรัฐมนตรีให้กำกับการบริหารราชการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติได้เห็นชอบ และผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมการโอนแล้ว
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
31. เรื่อง การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอรับโอน นางรวีวรรณ ภูริเดช ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ ชมกลิ่น) ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เห็นชอบด้วยแล้ว และผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมการโอนแล้ว
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี