‘สงขลา’น้ำเริ่มลด-ลุยช่วยคนติดค้าง  เร่งกอบกู้‘หาดใหญ่’  ดับสังเวยน้ำท่วมแล้ว55ศพ

‘สงขลา’น้ำเริ่มลด-ลุยช่วยคนติดค้าง เร่งกอบกู้‘หาดใหญ่’ ดับสังเวยน้ำท่วมแล้ว55ศพ

วันศุกร์ ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

‘สงขลา’น้ำเริ่มลด-ลุยช่วยคนติดค้าง

เร่งกอบกู้‘หาดใหญ่’

ดับสังเวยน้ำท่วมแล้ว55ศพ

รัฐบาลจ่ายศพละ2ล้านบาท

‘สตูล-ปัตตานี’ยังอ่วมหนัก

“ธรรมนัส”ถกแผนเคลียร์รถกีดขวางเส้นทางอู่ตะเภา เพื่อเร่งส่งอาหารวันละ 2 หมื่นกล่องให้ถึงมือผู้ประสบภัยโดยเร็ว พร้อมเตรียมแผนฟื้นฟูหาดใหญ่ หลังน้ำลดแล้วบางพื้นที่ รวมถึงตั้งเครื่องสูบน้ำเร่งระบายน้ำในจุดน้ำท่วมขัง ผบ.ทสส.ย้ำทุกภาคส่วนช่วยเหลือผู้ติดค้างออกมาให้เร็วที่สุด ด้านมท.3เผยผู้ว่าฯสงขลาแจงน้ำเริ่มลดระดมอุปกรณ์เครื่องสูบน้ำช่วยเต็มที่โต้ปภ.ไม่ช้า เหตุพื้นที่กว้าง ส่วน “สตูล” ยังวิกฤตต่อเนื่องเมืองยังจม อ.ละงูน้ำสูงเท่าอก ชุมชน-ถนน 7 เส้นทางหลักถูกตัดขาด ยังเฝ้าระวังระดับน้ำ-ดินถล่ม “ปัตตานี” ยังหนัก มวลน้ำจากยะลาไหลมาสมทบ ขณะที่ รองผวจ.ปัตตานีฝ่ากระแสน้ำเชี่ยว ลอยคอนำอาหารไปส่งชาวบ้าน หลังเรือขัดข้องกลางทาง ด้านยะลาเริ่มคลี่คลาย บางพื้นที่ระดับน้ำเริ่มลด

เมื่อวันที่ 27พฤศจิกายน ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศนภ.) ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรมชลประทาน กรมประมง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา กองทัพ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อติดตามวางแผนบริหารจัดการอุทกภัยในพื้นที่อ.หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา หลังสถานการณ์น้ำเริ่มลดลงต่อเนื่อง


ถกแผนรับมือหลังน้ำลด-ตั้งเครื่องระบายน้ำ

ร้อยเอกธรรมนัสกล่าวว่า แม้น้ำจะลดลงแต่ทุกยุทโธปกรณ์ยังตั้งกำลังสแตนด์บายอยู่ในพื้นที่ โดยเร่งใช้เครื่องสูบน้ำระบายจากจุดน้ำท่วมขัง ซึ่งกรมชลประทานจะจัดทีมลงพื้นที่วางแผนปฏิบัติการอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันได้ประสานกองทัพดูแลศูนย์อพยพฝั่งตะวันออก ส่วนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ตำรวจ ภาคเอกชนและจิตอาสา จะสนับสนุนการขนย้ายและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่จำเป็น คาดว่าตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายนเป็นต้นไป ปริมาณฝนในสงขลาและจังหวัดใกล้เคียงจะเบาบางลงจนเกือบไม่มี ทำให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

เคลียร์รถกีดขวางสะพานข้ามคลองอุ่ตะเภา

“ผมสั่งการเคลียร์สะพานข้ามคลองอู่ตะเภา เป็นการเร่งด่วน เพราะบริเวณนั้นมีรถยนต์และรถจักรยานยนต์จำนวนมากขวางเส้นทาง ส่งผลให้ไม่สามารถลำเลียงอาหาร-น้ำดื่มเข้าสู่ชุมชนได้ จำเป็นต้องเข้าจัดการด้วยการเคลื่อนย้ายหรือดันรถให้พ้นพื้นที่ ผมขอให้ประชาชนเข้าใจว่า ไม่ใช่การทำลายทรัพย์สิน แต่เพื่อเปิดทางช่วยเหลือผู้ที่ไม่ได้รับอาหารและยังเดือดร้อน”ร้อยเอกธรรมนัสกล่าวและว่า วันนี้เราเตรียมทำอาหารวันละ 18,000-20,000 กล่อง เพื่อนำส่งให้ประชาชน โดยเฉพาะพื้นที่เขต 8 ที่ขณะนี้น้ำเริ่มลงมากแล้ว วันนี้เราจะใช้รถลำเลียงอาหารเข้าไปให้ประชาชน และตนได้พูดคุยกับเลขาธิการ กสทช.ผู้แทนจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์ทรู-เอไอเอส ยืนยันว่า พื้นที่ตั้งแต่โลตัสหาดใหญ่จนถึงสี่แยกสนามบินจ่ายไฟฟ้าได้แล้ว ส่งผลให้สัญญาณโทรศัพท์กลับมาใช้งานปกติ ยกเว้นจุดที่น้ำยังท่วมต้องรอประเมินความปลอดภัยก่อน

และสั่งการให้ตำรวจกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ระดมกำลังพล ดูแลศูนย์พักพิงทั้งจุดโรงเรียนหาดใหญ่รัฐประชาสรรค์ และจุดอื่นๆ ช่วยเพื่อรักษาความปลอดภัย และจัดระเบียบการเคลื่อนย้ายประชาชนกลับบ้าน เนื่องจากมีผู้อพยพกว่า 20,000-30,000 คน

โดยศูนย์พักพิงขนาดใหญ่ที่โรงเรียนยรส มีผู้ประสบภัยถึง 7,000 คน ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลังจากนี้จะเข้าสู่ช่วงเตรียมแผนฟื้นฟูพื้นที่เมืองสงขลาทั้งหมด โดยรอคำสั่งจากนายกฯถึงภารกิจฟื้นฟู

สงขลาอ่วมแสนครัวเดือดร้อน

ที่ค่ายเสนาณรงค์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พล.อ.อุกฤษฎ์บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.ทสส.)ในฐานะผู้อำนวยการสถานการณ์การบูรณาการความช่วยเหลือ หลังครม.ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครอบคลุมพื้นที่จ.สงขลา มอบให้ผบ.ทสส.บัญชาการหน้างาน พร้อมพล.ท.นรธิปโพยนอก แม่ทัพภาคที่ 4ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 และทุกภาคส่วนร่วมหารือติดตามสถานการณ์น้ำท่วมสงขลา เพื่อปรับแผนเข้าช่วยเหลือประชาชนได้รวดเร็วทั่วถึงมากที่สุด

ผบ.ทสส.กล่าวต่อ่ว่าจากสถานการณ์ครั้งนี้ มีประชาชนได้รับผลกระทบรุนแรง มีรายงานพบความเสียหายครอบคลุมพื้นที่ 15 ตำบล 57 หมู่บ้าน และ 162 ชุมชน คิดเป็นจำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบสูงถึง 104,917 ครัวเรือน และมีประชาชนเดือดร้อนรวม 243,778 คน ส่วนการช่วยเหลือได้เร่งรัดต่อเนื่อง โดยเฉพาะการอพยพประชาชนนอกจากนี้ ยังตั้งศูนย์พักพิงเพื่อรองรับผู้ประสบภัยรวม 11 แห่ง ซึ่งปัจจุบันมีผู้อพยพพักพิงอยู่รวม 14,160 คน ในส่วนการช่วยเหลือนักท่องเที่ยว ได้อำนวยความสะดวกและให้ความช่วยเหลือไปแล้ว 3,190 คน

ตั้งรพ.สนาม-ศูนย์ฟอกไต-ศูนย์พักพิงเพิ่ม

สำหรับภารกิจบรรเทาสาธารณภัย ได้มีการใช้ อากาศยานปฏิบัติการไปแล้ว 29 เที่ยวบิน แม้ว่าสภาวะโดยรวมจะยังปกติ แต่ยังมี ฝนตกหนักในบางแห่ง ดังนั้น จึงมีการเน้นย้ำให้ทุกส่วนเร่งเข้าช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่ติดค้าง โดยใช้ทั้งรถ เรือ และอากาศยาน ในการเข้าถึงพื้นที่ พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการลำเลียงอาหารและการเร่งผลิตเสบียงให้เพียงพอและทั่วถึง และยังวางแผนถึงการฟื้นฟูบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย ที่ได้รับความเสียหาย ตลอดจนขยะที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ส่วนแผนการดำเนินงานต่อไป ได้วางแผนเตรียมจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวเพิ่มเติม เพื่อรองรับการอพยพที่อาจเพิ่มขึ้น รวมถึงการยกระดับบริการทางการแพทย์ โดยจะจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม และศูนย์ฟอกไตของสภากาชาดไทยเพิ่ม ซึ่งจะเร่งดำเนินการจัดหาสิ่งของจำเป็นสำหรับผู้ป่วยให้รวดเร็วที่สุด

ปริมาณน้ำเริ่มลด-ระดมเครื่องสูบพร้อม

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมการช่วยเหลือประชาชนที่ตกค้างในพื้นที่ประสบอุทกภัยของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)ว่า เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายนช่วยออกมาได้ 1,000 คน แต่ประชาชนบางคนขออยู่บ้าน ไม่ยอมออกจากพื้นที่ โดยปภ.จะส่งข้าวส่งน้ำ ส่วนปริมาณน้ำในพื้นที่ได้พูดคุยกับนายรัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ว่าฯสงขลาว่า ปริมาณน้ำในพื้นที่ลดลงเยอะแล้ว และได้พูดคุยกับหน่วยงานราชการต่างๆทราบว่าได้นำเครื่องสูบน้ำประมาณ 200-300 เครื่อง ตั้งแต่ 24-40 นิ้ว ในการติดตั้งในพื้นที่ และคาดการณ์ว่าหากสูบน้ำออกได้ก็จะสูบทันที โดยปัญหาหลักที่พบกระแสน้ำเชี่ยว เรือท้องแบนบางจุดเข้าไม่ได้

โต้ปภ.ไม่ได้ทำงานช้า-พื้นที่กว้าง

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการทำงานของ ปภ. ค่อนข้างล่าช้า นายศักดิ์ดา กล่าวว่า ไม่ได้ล่าช้า แต่อย่าลืมว่าพื้นที่กว้างใหญ่ ไม่ใช่จุดเล็กๆ ไม่ใช่เฉพาะพื้นที่ในเขตเทศบาล เราก็เปิดศูนย์รับข้อมูลข่าวสารเข้ามา

เมื่อถามว่า ขณะนี้มีน้ำท่วมหนักทั้งในพื้นที่พัทลุงและสตูล จะกระจายความช่วยเหลืออย่างไร นายศักดิ์ดา กล่าวว่า หนักทุกพื้นที่ เราต้องขนอุปกรณ์จากภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสานบางส่วนเข้าไปช่วย

ขอให้เชื่อมั่นรัฐบาล ทุกคนลงไปอยู่ในพื้นที่ ทั้งนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี อธิบดี และปลัดกระทรวงอยู่ในพื้นที่หมด ยืนยันการสั่งการไม่ซ้ำซ้อน เพราะมีศูนย์บัญชาการ และแบ่งพื้นที่รับผิดชอบเป็น 4 โซน มีหัวหน้าทีมชัดเจน ส่วนเรื่องความโกลาหลเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่ลงไปดูมากกว่า 1,000 คนที่ช่วยกัน ส่วนเหตุประชาชนยิงปืนไล่หน่วยกู้ภัยที่ลงพื้นที่ อยู่ระหว่างการตรวจสอบ

ปลัดมท.สั่งเร่งฟื้นฟูหาดใหญ่

นายอรรษิษฐ์สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงการบริหารจัดการสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยทุกภาคส่วนได้น้อมนำพระราชกระแสห่วงใยและรับสั่งให้ระดมสรรพกำลังทุกฝ่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ได้สั่งการหน่วยงานทหาร ฝ่ายปกครอง ตำรวจ ได้ระดมสรรพกําลังช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้อยู่ในพื้นที่พักพิงที่ปลอดภัย และบูรณาการเร่งฟื้นฟูให้เร็วที่สุดตอนนี้ได้รับรายงานถึงสถานการณ์ในพื้นที่ปริมาณน้ำลดลงเรื่อย ๆ และเราก็จะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู โดยระดมสรรพกำลัง ทั้งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดน และหน่วยงานทหาร ได้ลงไประดมทุกภาคส่วนเร่งช่วยเหลือประชาชนในการทำความสะอาดบ้านเรือน ถนนหนทาง ฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพปกติให้เร็วที่สุด และเร่งเยียวยาตามระเบียบกฎหมาย และหลักเกณฑ์ที่รัฐบาลอนุมัติ

รมว.สธ.สั่งเร่งย้ายผู้ป่วยฉุกเฉิน

นายพัฒนา พร้อมพัฒน์รมว.สาธารณสุข ประชุมทางไกล (Web Conference) ติดตามสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม พื้นที่ภาคใต้ ก่อนเผยว่า ที่ประชุมคุยกัน 3เรื่องหลัก เรื่องที่ 1 การขนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉิน ผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งเป็นการขนย้ายทางเฮลิคอปเตอร์ จากโรงพยาบาล (รพ.) หาดใหญ่ไปรพ.ใกล้เคียง เช่น รพ.สงขลา รพ.สงขลานครินทร์หรือมอ.ซึ่งที่ผ่านมาได้ทยอยขนย้ายผู้ป่วยไปจำนวนหนึ่งแล้ว ตอนนี้เหลือประมาณ 20 ราย วันนี้ต้องขนย้ายให้ครบทุกราย อย่างไรก็ตาม ระดับน้ำในรพ.หาดใหญ่เริ่มลดลงแล้ว ซึ่งรถยกสูงของหน่วยทหาร (GMC) สามารถเข้าประตูด้านหลังรพ.ได้ ซึ่งสามารถลำเลียงขนส่งอาหารและเวชภัณฑ์ยาเข้าไปให้ภายในรพ.หาดใหญ่ เพราะขณะนี้ยังมีผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว สีเหลืองประมาณ500 ราย รวมถึงญาติและบุคลากรทางการแพทย์อีกหลายร้อยราย ยังอยู่ในรพ.หาดใหญ่ ทั้งนี้ ถังบรรจุออกซิเจนสำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในรพ.หาดใหญ่ คาดว่าจะเพียงพอจนถึงประมาณ 48 ชั่วโมง

สั่งตั้งรพ.สนาม7แห่งรอบหาดใหญ่

นายพัฒนา กล่าวว่า เรื่องที่ 2 การจัดตั้ง รพ.สนาม ขนาด 50 เตียง ในพื้นที่ใกล้เคียงรวม 7 แห่ง ซึ่งมอบหมายให้ทางผู้อำนวยการโรงพยาบาลต่างๆ เป็นผู้อำนวยการ รพ.สนาม เพื่อง่ายต่อการบริหารจัดการ โดย รพ.สนาม ทั้ง 7 แห่ง ดังนี้ 1.รพ.สุราษฎร์ธานี ดูแล รพ.สนามเทศบาลคลองเรียน 2.รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช ดูแล รพ.สนามหาดใหญ่ 3.รพ.ตรัง ดูแล รพ.สนามศาลาเทศบาลหาดใหญ่ 4.รพ.ยะลา ดูแล รพ.สนามเทศบาลควนลัง 5.รพ.พัทลุง ดูแล รพ.สนามเทศบาลรัตภูมิ 6.รพ.นราธิวาส ดูแล รพ.สนามบริษัทหาดทิพย์ จำกัด และ 7.รพ.สงขลา ดูแล รพ.สนามสนามบินหาดใหญ่ ขณะที่ รพ.สนาม ที่ มอ. จะมีกรมการแพทย์เป็นผู้บริหารจัดการ โดยคาดว่าภายในวันนี้จะสามารถจัดตั้ง รพ.สนามได้ครบทุกแห่ง

“เรื่องที่ขอยืนยันคือ รพ.หาดใหญ่ เราจะไม่ปิด เราจะพยายามรักษาเอาไว้ในลักษณะนี้ เมื่อน้ำเริ่มลดเราก็จะส่งกำลังบำรุงไปเพิ่มเติม ส่งเวชภัณฑ์เข้าไป รพ.หาดใหญ่ ได้ เราจะพยายามกู้ รพ.หาดใหญ่ ให้กลับมามีศักยภาพในการให้บริการประชาชน เพราะเป็น รพ.ขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสูง ขณะที่ รพ.สนาม ที่จัดตั้งขึ้นมา 7 แห่ง ก็จะสามารถรองรับผู้ป่วย ประชาชนที่ออกมาจากพื้นที่หลังน้ำลด เรื่องที่3 การฟื้นฟูระบบสาธารณสุข โดยกรมอนามัย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กรมการแพทย์และกรมควบคุมโรค โดยจะจัดส่งวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ไปในพื้นที่ รวมถึงเวชภัณฑ์ยาให้เพียงพอรองรับกับประชาชนที่จะเข้ามารับการบริการหลังน้ำลด’นายพัฒนา

สตูลวิกฤติต่อเนื่องเมืองยังจม

ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์น้ำท่วมในจ.สตูล แม้ปริมาณฝนจะเริ่มลดลง แต่สถานการณ์น้ำท่วมในเขตตัวเมือง ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ โดยหลายเส้นทางยังถูกน้ำท่วมขังต่อเนื่อง โดยเฉพาะถนนสายหลักที่มุ่งหน้าเข้าสู่เขตเทศบาลเมืองสตูล บริเวณสะพานคลองตายายระดับน้ำยังสูงจนรถยนต์ขนาดเล็กไม่สามารถข้ามผ่านได้ หลายคันติดค้างอยู่กลางกระแสน้ำ ขณะที่รถยนต์ขนาดใหญ่แม้มีโอกาสลุยน้ำได้ แต่ยังต้องประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ส่วนรถจักรยานยนต์จำเป็นต้องใช้ทักษะและความระมัดระวังสูงในการประคองรถฝ่าแนวน้ำเชี่ยวเพื่อเข้าไปทำธุระในพื้นที่ชั้นในของตัวเมืองภายในเขตชุมชนเมืองสตูล ตั้งแต่ย่านตลาดสด ชุมชนปานชูรำลึก ไปถึงชุมชนโคกพยอม ปริมาณน้ำลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น บ้านเรือนจำนวนมากยังได้รับผลกระทบหนักจากภาวะน้ำท่วมขัง โดยในบางชุมชนที่ระดับน้ำยังสูง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจึงจำเป็นต้องตัดกระแสไฟฟ้าชั่วคราวป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่วและไฟฟ้าช็อต

ด้านสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสตูล (ปภ.) ออกประกาศแจ้งเตือนเป็นระยะเกี่ยวกับความเสี่ยงดินโคลนถล่มในพื้นที่ลาดชันและเชิงเขา ช่วงวันที่ 26-29 พฤศจิกายนนี้ เนื่องจากฝนตกหนักต่อเนื่องทำให้มีปริมาณน้ำฝนสะสมจำนวนมาก โดยพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด ได้แก่ อำเภอควนกาหลง อำเภอเมืองสตูล และอำเภอมะนัง พร้อมแนะนำประชาชนในพื้นที่เสี่ยงให้เตรียมสิ่งของจำเป็น เช่น ไฟฉาย ยา และเอกสารสำคัญ หากพบสัญญาณผิดปกติให้รีบอพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวทันที

อ.ละงูน้ำสูงเท่าอก-ชุมชนถูกตัดขาด

ที่อ.ละงู ซึ่งเป็นย่านเศรษฐกิจสำคัญและแหล่งท่องเที่ยวของ จ.สตูล ยังอยู่ในภาวะวิกฤตรุนแรง หลายจุดมีระดับน้ำสูงถึงระดับอก การสัญจรด้วยรถทุกชนิดแทบเป็นไปไม่ได้ ทำให้หลายชุมชนถูกตัดขาดจากถนนสายหลักโดยสมบูรณ์ หน่วยรักษาความปลอดภัยทางทะเล กองทัพเรือ (นรภ.ทร.) เกาะหลีเป๊ะ พร้อมสถานีเรือละงู และเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลกำแพงระดมกำลังเข้าช่วยเหลือประชาชนในซอยปากปิง นำอาหาร น้ำดื่ม และของจำเป็นลุยเข้าไปแจกจ่ายให้ผู้ประสบภัย โดยต้องใช้เรือท้องแบนฝ่ากระแสน้ำที่เชี่ยวกรากเข้าไปยังจุดที่น้ำท่วมสูง เจ้าหน้าที่เผยว่าหลายพื้นที่เป็นที่ลุ่มต่ำ มีระดับน้ำสูงมากจนการเข้าช่วยเหลือเป็นไปอย่างยากลำบาก ต้องใช้เวลาและความระมัดระวังอย่างมาก

เฝ้าระวังระดับน้ำ-ดินสไลด์เพิ่ม

ทั้งนี้ แม้จะมีการแจ้งเตือนให้ชาวบ้านในจุดเสี่ยงเร่งอพยพ แต่ประชาชนจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในบ้าน 2 ชั้นยังคงปฏิเสธการย้ายออก โดยให้เหตุผลว่ายังใช้ชั้นบนพักพิงได้ และต้องการอยู่ดูแลทรัพย์สินในบ้าน ขณะที่เจ้าหน้าที่ย้ำให้ทุกครัวเรือนติดตามประกาศแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำใกล้ชิด หากระดับน้ำยังเพิ่มขึ้นหรือเกิดดินสไลด์เพิ่ม ต้องพร้อมอพยพทันทีเพื่อความปลอดภัย

ฝนยังหนักน้ำป่าจมแล้ว7อำเภอ

ข้อมูลอัพเดทเมื่อวานนี้ (26 พฤศจิกายน) จ.สตูลเผชิญฝนตกหนักต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มหลายพื้นที่ โดยพื้นที่ได้รับผลกระทบ 7 อำเภอ 30 ตำบล 219 หมู่บ้าน 20 ชุมชน ประชาชนได้รับผลกระทบ 26,349 ครัวเรือน รวม 68,926 คน ผู้บาดเจ็บ: 18 คน ผู้เสียชีวิต 2 ราย คมนาคมทางหลวงรวม 17 เส้นทาง ผ่านได้ 10 เส้นทาง ผ่านไม่ได้ 7 เส้นทาง จากน้ำท่วมผิวทางแนวโน้มสถานการณ์แม้ฝนจะเริ่มลดลงในหลายพื้นที่ แต่ยังต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาและชุมชนริมลำธาร อาจเกิดเหตุซ้ำซ้อนได้หากมีฝนเพิ่มขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย

ปัตตานีอ่วมรับน้ำยะลาแรงสุด30ปี

เช่นเดียวกับ สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดปัตตานีที่ยังวิกฤติ หลังมวลน้ำจากจังหวัดยะลา ไหลสมทบในแม่น้ำปัตตานีต่อเนื่อง ทำให้หลายพื้นที่ถูกน้ำท่วมขยายวงกว้าง ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นทุกชั่วโมง โดยเหตุการณ์ครั้งนี้ถือว่าเป็นน้ำท่วมรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 30 ปี สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนจำนวนมาก หนึ่งในพื้นที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือ อำเภอโคกโพธิ์ หลายหมู่บ้านระดับน้ำสูง 1-2 เมตร บางจุดสูงถึง 3 เมตร ถนนหลายสายถูกตัดขาด การสัญจรเข้าออกต้องใช้เรือเท่านั้น โดยเฉพาะบ้านเรือนชั้นเดียวที่น้ำท่วมจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ ทำให้ชาวบ้านหลายครัวเรือนต้องรีบอพยพออกจากพื้นที่ พร้อมเตรียมอพยพเพิ่มเติมหากระดับน้ำยังเพิ่มสูงขึ้น

รองผวจ.ลอยคอฝ่าน้ำแจกสิ่งของ

นายไชย พรนิยมแก้ว รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีพร้อมนายเชาวลิต สิทธิฤทธิ์ นายอำเภอโคกโพธิ์ หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ปกครอง ผู้นำท้องที่ รวมถึงกำลังจากชุดสันติสุขที่ 504 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่บ้านชะเมา หมู่ 2 ตำบลนาเกตุ เพื่อตรวจสอบสถานการณ์และนำสิ่งของยังชีพเข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก แต่ระหว่างทางเรือยนต์เกิดขัดข้อง ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องลอยคอนำอาหารและน้ำดื่มเข้าไปให้ประชาชน รองผู้ว่าฯจึงตัดสินใจเดินฝ่าน้ำท่วมเข้าไปแจกสิ่งของด้วยตนเอง ท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยวและระดับน้ำที่สูงกว่า 1-2เมตร ส่วนศูนย์พักพิงชั่วคราวโรงเรียนบ้านชะเมา ซึ่งก่อนหน้านี้ใช้รองรับผู้ประสบภัย ขณะนี้ระดับน้ำสูงขึ้นถึง 3-4 เมตร แต่ยังสามารถอยู่ได้

รายงานล่าสุดระบุว่า อำเภอโคกโพธิ์ ได้รับผลกระทบรวม 12 ตำบล 83 หมู่บ้าน 11,640 ครัวเรือน ประชาชนเดือดร้อนกว่า 40,195 คน เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายยังคงเร่งลงพื้นที่ช่วยเหลือต่อเนื่อง ทั้งการอพยพ การส่งอาหาร และการดูแลผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ และเด็กเล็กช่วงบ่าย รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ยังได้เดินทางไปให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนที่มาใช้บริการที่สถานีตำรวจตุยง อำเภอหนองจิก ซึ่งถูกจัดตั้งเป็นโรงพยาบาลสนามชั่วคราว หลังจากโรงพยาบาลสนามอำเภอหนองจิกเดิมถูกน้ำท่วมสูงจนไม่สามารถเปิดบริการได้ โดยสถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากปริมาณน้ำจากพื้นที่ตอนเหนือยังคงไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้จังหวัดต้องเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมประเมินความเสี่ยงเพื่อเตรียมสนับสนุนการช่วยเหลือประชาชนเพิ่มเติมในพื้นที่เสี่ยงสูง

ท่วมยะลาเริ่มคลี่คลายน้ำลดบางจุด

ที่จ.ยะลาหลังฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้เกิดน้ำท่วมขังเป็นบริเวณกว้าง ล่าสุดฝนหยุดตกแล้ว ฟ้าสว่าง มีฝนตกลงมาเพียงบางเบาบางช่วง ระดับน้ำในหลายจุดเริ่มลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ตำบลท่าสาป ตำบลหน้าถ้ำ ตำบลสะเตงนอก ตำบลสะเตง รวมถึงเขตเทศบาลนครยะลา พื้นที่กระทบหนักในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาจากการสำรวจพบว่า ชุมชนหัวสะพาน (สะเตง) ใกล้แม่น้ำปัตตานี ระดับน้ำเริ่มลดลง ชาวบ้านบางส่วนเริ่มทำความสะอาดที่พัก ขณะที่บริเวณสวนขวัญเมือง น้ำยังคงขังล้อมรอบพื้นที่ รอการเร่งระบายน้ำลงสู่คลองมูซอและเชื่อมต่อสู่แม่น้ำปัตตานี ทั้งนี้ระดับน้ำในแม่น้ำปัตตานีลดลงประมาณ 30 เซนติเมตร ส่งสัญญาณดีต่อการคลี่คลายสถานการณ์โดยรวม อย่างไรก็ตาม บางพื้นที่ลุ่มต่ำในเขตตำบลท่าสาป ยังมีน้ำท่วมสูง ชาวบ้านต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด หากไม่มีฝนตกเพิ่ม แนวโน้มว่าน้ำจะลดลงภายใน 1-2วัน

ติดตั้งเครื่องสูบเร่งระบายน้ำ

ด้านการบริหารจัดการน้ำ นายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีนครยะลา ได้ระดมทีมสำนักช่าง โดยมี นางโซฟีนา อามิน ผู้อำนวยการสำนักช่าง ลงพื้นที่ติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมบริเวณด้านหลังสถานีขนส่งเทศบาลนครยะลา (ตลาดเมืองใหม่) 3 เครื่องเพิ่มประสิทธิภาพในการเร่งระบายน้ำออกสู่แม่น้ำปัตตานี บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและช่วยให้พื้นที่กลับคืนสู่ภาวะปกติเร็วที่สุด ส่วนพื้นที่รอบนอกยังมีการจัดทีมเข้าให้การช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งมอบอาหาร น้ำดื่ม และสนับสนุนการเดินทางในพื้นที่ที่ยังมีน้ำท่วมขังสูง

ดับเซ่นน้ำท่วม85ศพ-สงขลา55ศพ

เวลา 16.10 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัยส่วนหน้า (ศป.กฉ.) แถลงผลการประชุม ศป.กฉ.ว่า กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้รายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์มหาอุทกภัย โดยข้อมูลโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ถึงวันที่ 27 พ.ย. มีผู้เสียชีวิตแล้ว
85 ศพ เฉพาะใน จ.สงขลา โดยแบ่งเป็นเคสน้ำท่วม 55 ศพ และเคสที่ไม่ได้เกิดจากสถานการณ์น้ำท่วม 30 ศพ โดยขอแสดงความเสียใจต่อผู้สูญเสียด้วย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำหนดกรอบในการเยียวยาไว้แล้ว ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 พ.ย. ศป.กฉ.ส่วนหลัง ได้ส่งข้อมูลไปให้ ศป.กฉ.ส่วนหน้าถึงกรณีที่มีการร้องขอช่วยเหลือเร่งด่วน จำนวนทั้งสิ้น 4,010 เคส สามารถดำเนินการแล้วเสร็จ
นำคนกลับมาเข้าสู่ศูนย์อพยพได้ 3,492 เคส คิดเป็น 87% ของทั้งหมด ขณะเดียวกัน ได้อนุมัติเงินปลงศพสำหรับผู้เสียชีวิตในกรณีน้ำท่วมศพละ 2 ล้านบาท

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top