วันเสาร์ ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568
‘นายกฯ’เข้ม!เอาจริงปราบสแกมเมอร์
ไม่มีรบ.ไหนกล้า
โว2เดือนลุยทำงานต่อเนื่อง
ลุยอายัดทรัพย์สินหมื่นล้าน
กล้าเปิดรายชื่อเครือข่ายแก๊ง
นายกฯอนุทินโว ไม่มีรัฐบาลไหนกล้าปราบ “สแกมเมอร์” ยึดอายัดทรัพย์หมื่นล้าน ฉุนพวกจีนเทา-สับปะรังเค ลักไฟใช้ทำรัฐสูญ 2 พันล้าน ตอกกลับ “เพื่อไทย” ถ้าทำงานห่วยจริง ให้ย้ายจาก มท. คุม สธ. ดูแลประชาชนทำไม ขอทุกพรรคช่วยผลักดันแก้รัฐธรรมนูญให้สำเร็จก่อนยุบสภา ย้ำภท.พร้อมเลือกตั้ง ไม่ต้องกังวลจัดสรรพื้นที่บ้านใหญ่ ทับซ้อนลงตัว ขอพรรคอื่น เลิกสาดโคลน คิดนโยบายแข่งกันดีกว่า ด้าน เพื่อไทย เหน็บไม่ควรเอาเรื่องแก้รธน.มาเป็นตัวประกัน อย่ายุบสภาหนีการตรวจสอบ
เมื่อเวลา 08.05 น. วันที่ 5 ธันวาคม 2568 ที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.มหาดไทย กล่าวภายหลังทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติและวันพ่อแห่งชาติ 5 ธ.ค.68 ว่าพระได้ให้พรอะไรหรือไม่ว่า ให้มีความสุขความเจริญ วันนี้วันดี ซึ่งหลังจากนี้ตนจะเดินทางไปไหว้ศาลหลักเมืองต่อ
เมื่อถามว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่มีแผนจะไปเที่ยวไหนหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า จะไปเที่ยวได้อย่างไร 3 ปีหลังที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ไม่ได้ไปไหน ตรวจการจราจร ตรวจความสะดวกของคนที่จะเดินทางกลับบ้าน นั่นก็เหมือนเที่ยวแล้ว ได้ไปนั่นไปนี่
นายกฯขอทุกพรรคช่วยแก้รธน.
นายกฯอนุทิน ยัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่รัฐสภาจะเปิดประชุมวิ สามัญในวันที่ 10-11 ธ.ค.68 คาดหวังว่า จะสําเร็จหรือไม่ ว่าก็สําเร็จสิ ทุกอย่างเป็นไปตามไทม์ไลน์ที่กําหนด เดี๋ยววันที่ 10.ธ.ค. ก็จะเข้าวาระสองแล้ว และเมื่อผ่านวาระสามก็จะประกาศยุบสภา
เมื่อถามว่าหากมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนการโหวตวาระ 3 จะทําอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่สําคัญ ทุกพรรคก็มีดำริที่จะแก้ไข ซึ่งผ่านวาระ1 มาแล้วฉะนั้นก็ช่วยกันผลักดันไประยะเวลานิดเดียว
เมื่อถามว่า ขณะนี้ มีกลุ่มบ้านใหญ่หลายกลุ่มไหลเข้ามาภูมิใจไทยจะมีปัญหาเรื่องการจัดสรรพื้นที่หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ไม่ได้กังวล ทุกอย่างบริหารจัดการได้หมด ถามว่า จะมีกลุ่มบ้านใหญ่อื่นๆ ไหลเข้ามาอีกหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ดูไปเรื่อย ๆ
เมื่อถามว่า เรื่องราวที่ถาโถมมายังพรรคภูมิใจไทย นายกฯมองสถานการณ์ อย่างไร นายกฯ กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยก็พร้อมเข้าสู่การเลือกตั้ง เดือนมกราคม ยุบสภาแน่นอน ซึ่งขั้นตอนการเตรียมผู้สมัครก็พร้อมหมดแล้ว ทุกพรรคที่เอาแต่สาดโคลนใส่กัน ควรจะไปเตรียมตัว สร้างนโยบาย เตรียมพร้อมกับการเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งเกิดขึ้นแน่นอน
เชื่อใช้เวลา2วันจบวาระสอง
ด้านนายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สมาชิกวุฒิสภา เปิดเผยว่า วันที่ 10-11 ธันวาคม ที่จะมีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อพิจารณร่างรัฐธรรมนูญ ในวาระสอง ตนจะร่วมอภิปรายด้วยในฐานะผู้สงวนคำแปรญัตติ กรณีการวาะดำรงตำแหน่งของสมาชิกวุฒิสภา และอำนาจสว.ในการลงคะแนนแก้รัฐธรรมนูญ ที่ต้องการให้คงไว้ตามรัฐธรรมนูญปี60 จะต้องมีเสียงสว. 1ใน3 เหมือนเดิม ส่วนประเด็นคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และสูตรที่ให้สมาชิกรัฐสภา 20 คน เลือกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 1 คน ตนและเพื่อนสมาชิกคนอื่นๆไม่ได้ติดใจ
ทั้งนี้ ร่างรัฐธรรมนูญ มีจำนวนทั้งสิ้น 43 มาตรา คาดว่าที่ประชุมรัฐสภาน่าจะใช้เวลาพิจารณา 2 วัน ก็จบวาระสองได้แล้ว ส่วนที่สมาชิกวุฒิสภาตกเป็นที่เพ่งเล็งของสังคม ว่าจะเป็นฝ่ายที่โหวตไม่เห็นชอบในวาระสามนั้น ตนขอให้รอดูวาระที่สองก่อนว่าจะเป็นอย่างไร สำหรับกรณีที่นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร สมาชิกวุฒิสภา จะนัดสมาชิกพูดคุยทำความเข้าใจเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญนั้น ทราบว่ากำหนดคร่าวๆเป็นวันที่ 8 หรือ 9 ธันวาคม แต่ยังจะต้องคุยถึงกรอบให้ความชัดเจนอีกครั้ง
อย่าเอารธน.เป็นตัวประกัน
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกมาระบุได้คาดเข็มขัดนิรภัย พร้อมเผชิญอุบัติเหตุทางการเมืองทุกสถานการณ์ ว่า ไม่เหนือความคาดหมาย เพราะนายอนุทิน ส่งสัญญาณพร้อมยุบสภา หนีการตรวจสอบ ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่สิ่งที่นายอนุทินต้องระวังคือ เข็มขัดสั้น คาดไม่ถึง ความเชื่อมั่นจมหาย ไปกับเหตุการณ์น้ำท่วม จนคนในรัฐบาลยอมรับเองว่าเป็นรัฐล้มเหลว แม้จะรัดเข็ดขัดแต่อาจไม่สามารถรอดพ้นจากแรงกระแทกอันรุนแรงจากพายุความผิดพลาด มือไม่ถึง ที่ถาโถมเข้าใส่อย่างไม่คาดคิด รัฐบาลเสียงข้างน้อยอยู่มา 2 เดือนยังสั่นคลอนถึงเพียงนี้
หากต้องบริหารราชการแผ่นดินยาวนานถึง 4 ปี ประเทศชาติจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนเพียงใด ความหวาดกลัวต่อการตรวจสอบ ของรัฐบาลเสียงข้างน้อย ยิ่งทำให้ความชอบธรรมของรัฐบาลถดถอยลงไปทุกขณะ รัฐบาลเสียงข้างน้อย และตัวนายอนุทินในฐานะหัวหน้ารัฐบาล จะต้องแยกแยะ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นภารกิจที่คนไทยจับตามอง ในการฟื้นฟูหลักประชาธิปไตยให้กลับมาอยู่ในครรลองที่ถูกต้อง ยึดโยงกับประชาชน กับการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้าน ในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามกลไกของระบบรัฐสภา ไม่ควรนำ 2 เรื่องนี้มาผูกโยงเป็นตัวประกัน หรือใช้เป็นข้ออ้างเพื่อสร้างเงื่อนไขในการยุบสภาหนีการตรวจสอบ เมื่อพรรคเพื่อไทยได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว สภาก็ยังสามารถเดินหน้ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปได้ควบคู่กัน ไม่มีความจำเป็นต้องตีตนไปก่อนไข้ หรือสร้างภาพว่าฝ่ายค้านกำลัง ตัดตอน คว่ำไม่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ข้ออ้างที่ว่า เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ต่อให้ตอบคำถามได้ดีเพียงใด ก็จะถูกคว่ำกลางสภา เพราะเสียงสนับสนุนไม่พอนั้น ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะรัฐบาลเสียงข้างน้อยชุดนี้ ยังมีพรรคฝ่ายค้ำ ที่ประกาศตน แสดงตัวอย่างชัดเจนตาม MOA พร้อมให้การค้ำ และเคยสนับสนุนนายอนุทินขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแบบยกพรรคมาแล้ว
เหน็บสแมเมอร์รุนแรง
ดังนั้นข้อกังวลเรื่องถูกคว่ำในสภา จึงเป็นเพียงการสร้างวาทกรรมทางการเมืองเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น ยุบสภาหนีการตรวจสอบ เท่านั้น สำหรับประเด็นเนื้อหาที่ฝ่ายค้านจะหยิบยกขึ้นอภิปรายนั้น นอกจากคดี สแกมเมอร์ ทุนเทา เขากระโดง ฮั๊วสว. ในช่วงเวลาเพียง 2 เดือน เกิดเหตุการณ์ที่สะเทือนศรัทธาประชาชนเป็นจำนวนมาก และเพียงพอที่จะตั้งคำถามต่อความสามารถและความโปร่งใสของรัฐบาลชุดนี้ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณจัด Moto GP 4,000 ล้านบาท ข้อตกลง MOU แร่แรร์เอิร์ธระหว่าง สหรัฐฯ–ไทย ท่ามกลางศึกชิงทรัพยากรระดับมหาอำนาจ วิกฤตน้ำท่วมที่คนในรัฐบาลเสียงข้างน้อยเองยังยอมรับว่าเป็นบทพิสูจน์ความล้มเหลวของรัฐ ตลอดจนกรณีภาพถ่ายและภาพหลุดต่างๆ ที่สั่นคลอนความน่าเชื่อถือของผู้นำรัฐบาลอย่างรุนแรง จนแม้แต่นักการเมืองในรัฐบาลยังไม่รู้จะชี้แจงประชาชนอย่างไร
“รัฐบาลเสียงข้างน้อยของนายอนุทินไม่ควรยุบสภา หนีการตรวจสอบ และไม่ควรนำประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาใช้เป็นตัวประกันทางการเมือง” นายอนุสรณ์ กล่าว
“หนู”แจงสารพัดปัญหา
อีกประเด็นหนึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย กล่าวให้สัมภาษณ์ถึงความรู้สึกที่เจอหลากหลายสถานการณ์ในช่วงนี้รวมถึงเรื่องการปราบสแกมเมอร์โดยถามกลับว่า ตอนนี้มีอะไรที่ถาโถม พร้อมถามต่อเรื่องการปราบสแกมเมอร์ว่า เคยมีใครเคยยึดทรัพย์และเงินทีเดียวหมื่นล้านบาท เคยมีใครประกาศชื่อ คนที่อยู่เมืองไทยมานานและมีเครือข่าย ซึ่งที่ผ่านมาทุกคนเงียบกันหมด มีรัฐบาลไหนที่ทำได้แบบนี้ ตนประกาศรายชื่อสแกมเมอร์และเส้นทางการเงิน ยึดทรัพย์ อายัดทรัพย์ บ้าน ที่ดิน เรือยอชต์ หุ้น รถ 386 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่ออายัดเสร็จแล้วก็มาถามว่าทำไมไม่ดำเนินคดี เพราะคนถามไม่รู้เรื่อง การอายัดต้องไปดำเนินคดีต่อตามขั้นตอน
ขณะเดียวกันก็ยังมีการจับเครื่องขุดบิดคอยน์ มูลค่า 3-4 พันล้านบาท ซึ่งคนเหล่านี้นอกจากจะทำความชั่ว ก่อให้เกิดความเสียหาย ก่ออาชญากรรมในประเทศ และยังมีการลักไฟใช้ เสียหายไปแล้วประมาณ 2 พันล้านบาท ไม่เคยมีรัฐบาลไหนไปดูแล โดยเมื่อวานนี้ (4 ธันวาคม 2568) ตนได้เชิญผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เข้ามาพูดคุยและให้ไปดำเนินการ ก็จะได้เห็นอีกว่ามีขาใหญ่อะไรอีกหรือไม่ที่ลักไฟใช้
“ขนาดไอ้พวกจีนเทา ไอ้จีนสับปะรังเคพวกนี้มันยังใช้ ขนาดมันเป็นคนต่างชาติ มันยังแอบใช้ไฟของคนไทยได้ แล้วขาใหญ่ประเทศไทยมีหรือเปล่าก็ต้องดู มันจะเกิดการขยายผลมากมาย นี่แหละครับ 2 เดือน ทำงานกันหมดทุกคน”นายอนุทินกล่าว
เดินหน้าเชิงรุกปราบสแกมเมอร์
ส่วนมาตรการเดินหน้าเชิงรุกในการปราบสแกมเมอร์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็จะดำเนินการไปเรื่อยๆ พร้อมยกตัวอย่างสแกมเมอร์ที่ข้ามฝั่งเข้ามาในประเทศไทยหลังจากถูกทรมาน และเหยียบกับระเบิดไปแล้ว ก็ถูกจับไปได้อีก 1 คน ส่วนเรื่องการเมืองก็ไม่มีอะไร การที่มาบอกว่าตนถูกปรับออกจากกระทรวงมหาดไทยเพราะทำงานช้า ไม่มีประสิทธิภาพ เขาคงลืมอ่านโพลไป ในยุครัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นอกจาก 2 คนนี้ตนก็เป็นลำดับ 2 พรรคเพื่อไทยยังไม่ได้ลำดับ 2 เลย ซึ่งตนได้ลำดับที่ 2 โดยทิ้งลำดับที่ 3 ห่างด้วย
ฉะนั้นเวลาพูดก็พูดไปเรื่อย คนไม่รู้เรื่อง คิดอะไรไม่ได้ก็โทษโน่นโทษนี่ไปก่อน แต่ของตนชัดเจน และหากห่วยจริง การที่ขอมหาดไทยคืนและย้ายตนไปอยู่สาธารณสุข ถ้าห่วยจริง ไม่มีประสิทธิภาพจริง คนที่ขอให้ออกจากมหาดไทย ที่รับผิดชอบความมั่นคง จะเอาคนห่วยๆ ไปดูแลชีวิตประชาชนจะไม่ยิ่งหนักไปกว่าเดิมหรือ ฉะนั้นไม่ได้ห่วย เพราะท่านก็บอกว่าทำงานได้ดี ทุกคนก็ชม เมื่อถามว่าคะแนนเต็ม 10 ให้ตัวเองเท่าไหร่ นายกรัฐมนตรี หัวเราะก่อนบอกว่า “เดี๋ยวหาว่าคุย”
ผู้สื่อข่าวถามต่อกรณีที่นางสาวแพทองธาร แชร์โพสต์สตอรี่อินสตาแกรม พร้อมข้อความ “เอ๊า” หลังมีการเสนอข่าวต้องออกจากมหาดไทยเพราะไม่ให้สัญชาติ นายเบน สมิธ ว่า ท่านรู้เรื่องดีหมด เวลาที่คุยกันก็มีนายกฯ อิ๊งค์ ทุกครั้ง และมีนายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นด้วย ก็อย่าลืมว่าไม่ได้ถูกปลด และพรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล การที่มาบอกว่าตนทำงานช้า มันจับโกหกได้หลายอย่าง เพราะคะแนนโพลตนก็มาที่ 2 ซึ่งดีแล้ว โชคดีที่ไม่มาที่ 1 ถ้าทำงานไม่ดีจริงก็คงไม่ปรับไปอยู่กับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งดูแลชีวิตของประชาชน การเอาคนไม่ได้เรื่องไปดูแลชีวิตประชาชน เท่ากับคนแต่งตั้งแย่ ตนจึงคิดว่าคนที่ออกมาให้สัมภาษณ์แบบนั้น รอให้คนที่อยู่ในการพูดคุยมาให้ข้อมูล ให้คนที่รู้เรื่องออกมาให้ข้อมูลดีกว่า ส่วนคนที่ไม่รู้เรื่องอย่าไปฟัง เพราะเขามาไม่ถึง.
เอกนิติ แจงปมร่วมเฟรม เบน สมิธ
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีภาพถ่ายร่วมกับนายเบญจมิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือ เบน สมิธว่า ไม่มีอะไร วันนี้ขออนุญาตอาจจะไม่เหมาะ ย้ำว่าตนได้อธิบายไปแล้ว เนื่องจากตนเป็นอาจารย์ในหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พท. จับโป๊ะหนูปมภาพหลุด
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี ภาพหลุด นายกฯอนุทิน ชาญวีรกุล ร่วมเฟรม กับนายเบน สมิธ เป็นสาเหตุที่รัฐบาลไม่กล้าปราบปรามหรือไม่ ว่า เมื่อครั้งที่นายอนุทิน ดูดสส. จากพรรคฝ่ายค้าน ไปเปิดตัวกับพรรคภูมิใจไทย ใช้การอธิบายว่า ให้ภาพเล่าเรื่อง แต่ พอมีภาพหลุดร่วมเฟรมกับนายเบน สมิธ นายอนุทิน จะไม่ยอมเล่าอะไรเลยไม่ได้ ประชาชนอยากรู้ว่าใครเป็นคนปล่อยภาพหลุด และมีเป้าประสงค์อย่างไร เพราะนายอนุทินบอกเองว่า รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยภาพหลุดนี้ การยอมรับว่ารับเคยเจอ นายเบน สมิธ 5-6 ครั้งนั้น ประชาชนสงสัยว่านายอนุทิน พบนายเบน สมิธ ครั้งหลังสุดเมื่อไหร่ กินข้าวกันครั้งล่าสุดวันไหน ถ้าเพิ่งพบกันในระยะใกล้ๆนี้ ประชาชนจะได้รู้ชะตากรรมของตัวเอง เพราะปัญหาสแกมเมอร์ ดูเหมือนรัฐบาลเสียงข้างน้อยจะไม่ได้ขยับอะไรเลย เกรงใจใครหรือไม่ รวมถึงปมสินบน งดปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์เดือนละ 40 ล้านบาท ซึ่งประชาชนเฝ้ารอฟังผลสอบว่าจะออกมากี่โมง และใครเป็นคนเสนอสินบนงดปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ดังกล่าว
“นายอนุทิน ต้อง ระมัดระวังให้มากในการตอบคำถาม กรณีภาพหลุดร่วมเฟรมกับนายเบนสมิธ เพราะหากมีภาพหลุดออกมาเพิ่มอีก แล้วย้อนแย้งกับสิ่งที่นายอนุทินพูด จะเป็นดิจิทัลฟุตพริ้นท์ที่ทิ่มแทง ทำให้นายอนุทินดิ้นไม่หลุด และเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก” นายอนุสรณ์ กล่าว
ยึดทรัพย์”ยิมเลียก-เบน สมิธ”
นายวิทยา นีติธรรม ผู้ช่วยเลขาธิการ ปปง. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ปปง. เปิดเผยผ่านรายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ว่า กรณีที่สำนักงานกฎหมายได้เผยแพร่เอกสารยืนยันว่า นายยิม เลียก ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ น.ส.แตงไทย ที่เป็น 1 ใน 4 รายคดีของ ปปง. ตามที่คณะกรรมการธุรกรรมได้มีมติยึดและอายัดทรัพย์นั้น ถือเป็นสิทธิของทนายความของเจ้าของทรัพย์สิน ซึ่งย่อมมีสิทธิชี้แจงว่ารู้จักหรือไม่ และกรณีที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติอายัด ก็สืบเนื่องจากรายคดี น.ส.แตงไทย ที่เสมือนกับเป็นผู้บริหารจัดการบัญชีม้า และเงินดังกล่าวก็โอนไปเป็นทอด ๆ ซึ่งก็ไปสัมพันธ์กับนายยิม เลียก และนายเบน สมิธ จึงนำไปสู่การยึดและอายัด
อย่างไรก็ดี เมื่อคณะกรรมการธุรกรรมได้มีมติยึดอายัดไปแล้ว ผู้ที่ได้รับคำสั่งดังกล่าวจะต้องใช้เวลาภายใน 30 วัน ดำเนินการชี้แจงว่าทรัพย์สินที่ถูกยึดอายัดไปนั้นไม่เกี่ยวกับการกระทำความผิดคดีมูลฐานอย่างไรบ้าง ส่วนว่ามีปี พ.ศ. 2567 หนังสือในทนายความระบุว่า ปปง. เคยดำเนินการยึดและอายัดไปแล้ว แต่ก็เพิกถอนไปเพราะไม่พบว่านายยิม เลียก มีความเชื่อมโยงกับ น.ส.แตงไทย นั้น ส่วนนี้ตนไม่แน่ใจ เพราะกรณีของ น.ส.แตงไทย บางทีธุรกรรมไปหลายทอด หรือบางทีธุรกรรมต่าง ๆ ก็มีคนถือแทน อย่างไรคงต้องดูสิ่งที่เขากล่าวอ้างว่ามันตรงข้อมูลที่ ปปง. มีหรือไม่ จึงต้องไปตรวจสอบรายละเอียดกันก่อน
ชี้มีข้อมูลหลักฐานซับซ้อน
เมื่อถามว่าสำหรับคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินกว่า 9,279 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ประมาณ 5,800 ล้านบาท เป็นหุ้นบางจากที่อยู่ในชื่อของบริษัท อัลฟ่าฯ แล้วเป็นบริษัทของใคร ระหว่างนายยิม เลียก หรือนายเบน สมิธ นั้น นายวิทยา ระบุว่า ถ้าชื่อตรง ๆ ตนมองว่าสาธารณชนสามารถไปดูเองได้อยู่แล้ว แต่กรณีนี้มันค่อนข้างมีความซับซ้อนตามสมควรในการดำเนินการ นอกจากการไล่สายคดีมูลฐานที่เกิดขึ้นในประเทศไทยแล้ว ปปง. ยังได้รับข้อมูลจากต่างประเทศ เช่น ร่างกฎหมายของ สส.ประเทศสหรัฐ ที่มีการปราบขบวนการโกงข้ามชาติ ซึ่งในร่างนี้ก็มีรายชื่อของสองคนนี้ด้วย
แต่หลักฐานสำคัญคือเราได้รับรายงานจากหน่วยข่าวกรองทางการเงินจากสหรัฐ ซึ่งรายงานเป็นธุรกรรมสงสัย มีการระบุชัดเจนที่เกี่ยวกับสองคนนี้ว่ามีธุรกรรมตั้งแต่ปี 2564-2568 ที่น่าสงสัยประมาณ 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท แต่ต้องย้ำว่านี่คือธุรกรรมที่มีเหตุควรสงสัย คือ เป็นธุรกรรมที่เกิดจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างนิติบุคคลที่มีโครงสร้างที่ไม่ชัดเจน ไม่มีบริบทที่สนับสนุนวัตถุประสงค์ในทางธุรกรรมที่ชัดเจน แหล่งเงินมีความน่าสงสัย ซึ่ง ปปง. ก็มีข้อมูลพอสมควรว่าแหล่งเงินเขามาจากไหน แต่พูดไม่ได้
ดังนั้น กฎหมาย ปปง. ในการจะยึดอายัดทรัพย์สิน เราแค่หาสาเหตุอันควรสงสัย แต่การจะเสนอคณะกรรมการธุรกรรมยึดอายัด เราก็ต้องมีพยานหลักฐานพอสมควร เพื่อกรรมการเชื่อและมีคำสั่งมติยึดอายัดได้ ตนจึงไม่ตอบตรง ๆ ว่าบริษัท อัลฟ่าฯ ใครเป็นผู้ถือหุ้นอย่างไรบ้าง แต่ที่มาของเงิน เราก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการจัดตั้งทุนจดทะเบียนไม่ถึงร้อยล้านบาท แต่สามารถระดุมทุนได้ถึงหมื่นล้านบาท ฉะนั้น ปปง. ก็มีคำถามเช่นกันว่าเงินซื้อหุ้นที่เป็นหมื่นล้านบาทนั้นเอามาจากไหน แต่เรามีข้อมูลแล้วเกี่ยวข้องกับสองคนนี้อย่างไร ซึ่งอยู่ในกระบวนการทั้งหมด ตนพูดไม่ได้ ขอให้เขามาชี้แจงก่อน
ต้องแจงรายละเอียดให้ได้
นายวิทยา กล่าวด้วยว่าหน่วยข่าวกรองทางการเงินของสหรัฐ ใช้คำว่าเป็นเงินที่มีการโอนไปมาระหว่างบริษัทต่าง ๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ เสมือนว่ามีการทำธุรกิจ และใช้บริษัทในการถือครองทรัพย์สินแทนตนและบุคคลใกล้ชิด ซึ่งเป็นการทำธุรกรรมทางการเงินและถือครองทรัพย์สินในลักษณะที่มีความซับซ้อน ดังนั้น เขาก็ต้องชี้แจงว่าบริษัท อัลฟ่าฯ คือใคร เอาเงินมาจากไหน ได้เงินมาอย่างไร เป็นต้น ทั้งนี้ หากมองประเด็นว่า จะเป็นการเอาเงินมาฟอกผ่านบริษัทในตลาดหุ้นผ่านการซื้อหุ้นต่าง ๆ ที่อยู่ในตลาดหุ้นหรือไม่นั้น จึงต้องให้เขาพิสูจน์ โดยเจ้าตัวไม่จำเป็นต้องมาชี้แจงเองก็ได้ เพราะนี่คือมาตรการทางแพ่ง สามารถมอบใครมาชี้แจงหรือจะส่งเอกสารมาก็ได้
นายวิทยา กล่าวอีกว่ามีคนตั้งคำถามว่าเป็นการยึดอายัดเพื่อกลบกระแสข่าวน้ำท่วมหรือไม่ ปปง. ทำจริงหรือไม่ ตนอยากเรียนว่า ตั้งแต่ตรากฎหมาย ปปง. มาแต่ปี พ.ศ. 2542 ซึ่งกระบวนการขั้นต้นของเราคือการยึดและอายัดไว้ชั่วคราวไม่เกิน 90 วัน ซึ่งเจ้าตัวสามารถชี้แจงภายใน 30 วันนับแต่ได้รับหนังสือ ซึ่งถ้าชี้แจงได้ แล้วคณะกรรมการธุรกรรมพิจารณาแล้วพบว่าทรัพย์สินดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์ที่มาจากการกระทำความผิด เป็นเงินจากธุรกิจที่รับรองได้ คณะกรรมการธุรกรรมก็จะเพิกถอนให้ แต่ถ้าชี้แจงไม่ได้ คณะกรรมการธุรกรรมก็จะต้องส่งสำนวนให้พนักงานอัยการคดีพิเศษ เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองสิทธิผู้เสียหาย (ชดใช้คืนผู้เสียหาย) แทนคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เพราะมันเป็นคดีการหลอกลวง
กรณีมีการตั้งคำถามว่าเหตุใดมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์ในส่วนของนายยิม เลียก และภรรยา นายเบน สมิธ และอดีตภรรยา กับภรรยาปัจจุบัน รวมกว่า 9,279 ล้านบาท แต่เมื่อดูเนื้อหาภายในพบว่าแทบไม่แตะทรัพย์สินของภรรยาคนปัจจุบันของนายเบน สมิธ แต่แตะทรัพย์ของอดีตภรรยามากกว่านั้น
นายวิทยา ปิดท้ายว่า จริง ๆ มันมีทรัพย์เกี่ยวข้องจำนวนมาก แต่แม้กฎหมายใช้คำว่าเหตุอันควรสงสัย แต่ถ้าเอาเป๊ะ ๆ จะยึดได้มากกว่านี้ แต่เราก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับเขา เพราะหลายรายการทรัพย์สิน ปปง. ก็อยู่ระหว่างการขอพยานหลักฐานเพิ่มเติม เพราะเราต้องใช้ตอบคณะกรรมการธุรกรรม ว่าเหตุใดทรัพย์สินนี้จึงต้องยึดอายัด แต่ในส่วนที่ยังไม่มี ตามที่นายกฯ เคยย้ำว่ากรณีนี้แค่จุดเริ่มต้น แต่มันยังไม่จบแน่นอน ทั้งนี้ ประเด็นที่ว่ามีการอายัดทรัพย์นายยิม เลียก และออกหมายจับแล้ว แต่นายเบน สมิธ มีการอายัดทรัพย์สิน แต่กลับไม่มีการออกหมายจับนายเบน สมิธ นั้น
‘โรม’เปิดคำฟ้องธรรมนัส
นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน โพสต์ข้อความ พร้อมเปิดเอกสาร กรณีถูกร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯและ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ฟ้องหมิ่นประมาท ระบุว่า ไหนๆ ก็เคยได้พูดว่า ร้อยเอกธรรมนัสฟ้องผมที่พะเยา ก็ขอเอาคำฟ้องมาเผยแพร่ให้พี่น้องประชาชน และผู้สนใจด้านกฎหมายได้อ่าน เราจะได้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้ที่เป็นรองนายกรัฐมนตรี ว่ามีพฤติกรรมการใช้กฎหมาย เพื่อปิดปากฝ่ายตรวจสอบอย่างไร ผมต้องย้ำว่า วิธีการแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับ สส.ฝ่ายค้านเท่านั้น แต่เกิดขึ้นทั่วไปต่อพี่น้องสื่อมวลชน และพี่น้องประชาชนอีกด้วย
“ผมยืนยันอีกครั้งว่า ผมต้องการปกป้องประเทศไทย จากทุนเทายึดประเทศ ผมออกมาพูดเรื่องนี้ แม้จะรู้ว่าอำนาจมืดนั้นยิ่งใหญ่เพียงไร น่าคิดว่าร้อยเอกธรรมนัสกำลังทำอยู่เป็นการปกป้องใคร “ชาติ หรือ ทุนเทาสแกมเมอร์”
ไอติมแนะหนูอย่าใช้ภาษาอังกฤษ
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงภาพที่ปรากฏ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ร่วมเฟรมกับนายเบญจมิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือ เบน สมิธ ว่า วานนี้(4ธ.ค.) นายอนุทินได้ชี้แจงแล้ว ตนคิดว่าสิ่งที่จะพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนที่สุดว่ารัฐบาลมีความจริงใจจริงจังในการแก้ปัญหาสแกมเมอร์หรือไม่ รัฐบาลมีความเกรงใจบุคคลใดที่มีความเชื่อมโยงเครือข่ายสแกมเมอร์หรือไม่ ไม่ใช่คำพูดของนายกฯ แต่เป็นการกระทำของนายกฯและรัฐบาล
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า ตนเห็นนายอนุทินมีการชี้แจงเป็นภาษาอังกฤษบางคำ ตนมองว่า หากนายอนุทินอยากใช้ภาษาอังกฤษให้เป็นประโยชน์สิ่งสำคัญตอนนี้คือการพยายามประสานความร่วมมือกับเวทีนานาชาติเพราะเรื่องสแกมเมอร์เป็นเรื่องที่ไม่ได้กระทบแค่คนไทยเท่านั้นแต่กระทบถึงชีวิตและทรัพย์สินของคนในหลายประเทศ ซึ่งหลายประเทศรู้ดีว่าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ต้องอาศัยประเทศไทยเพราะประเทศไทยมีเชิงภูมิศาสตร์อยู่ระหว่างสองชายแดนที่ถูกมองว่าเป็นฐานของศูนย์สแกมเมอร์ จึงคิดว่าประเทศไทยต้องใช้ประโยชน์จากความร่วมมือในระดับนานาชาติด้วยเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้และปกป้องผลประโยชน์ของคนไทย ทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลการแลกเปลี่ยนทรัพยากรรวมถึงการพูดคุยการวางมาตรฐานในเรื่องของการฟอกเงินที่ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกประเทศ รวมถึงการอาศัยความร่วมมือในการดำเนินคดีของผู้กระทำความผิดที่อาจจะมีการเดินทางไประหว่างประเทศเป็นต้น
เมื่อถามว่าพรรคประชาชนดำเนินเรื่องการปราบสแกมเมอร์มาสักระยะหนึ่งแล้ว และตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์ก็นำหลักฐานสแกมเมอร์ไปยื่นร้องหน่วยงาน ทำให้หลายคนวิจารณ์ว่าเป็นการเคลมผลงานกันหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องของสแกมเมอร์เป็นเรื่องที่กระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งตอนนี้มีหลายภาคส่วนเข้ามาเอาจริงเอาจังเข้ามาร่วมกันตรวจสอบเรื่องนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ดี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี