วันอาทิตย์ ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ดูฤกษไล่ทุบ‘หนู’
พท.ฮึ่มรายวันอย่ายุบสภา
ทสท.จี้รบ.จับ‘เบน สมิธ’
“เพื่อไทย” ตามเจาะยางรายวัน ชี้ รัฐบาลอนุทิน ทำเสียหายเยอะ ปล่อยไว้ไม่ได้อีกต่อไป แต่ขอดูฤกษ์ ก่อนยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เตือนอย่ายุบสภาหนี “ไชยชนก” ยิ้มออก หลังปปง.ยึดทรัพย์เครือข่าย “สแกมเมอร์” หมื่นล้าน ยกเปลี่ยน รัฐบาล “อนุทิน” เป็นโดมิโน่แรกทลายเครือข่ายฯ ทสท.จี้นายกฯเร่งออกหมายจับ “เบน สมิธ”
เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2568 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.)ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีกระแสข่าวว่าพรรคพท.จะยื่นอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลในวันที่ 12 ธันวาคม นี้ ว่า ขออย่าเต้นตามข่าว เรื่องดังกล่าวยังไม่มีข้อสรุป เมื่อถามว่า หากจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเป็นช่วงเวลาใด นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ต่อให้รู้ก็บอกไม่ได้ ซึ่งกระแสข่าวที่ออกมานั้น ตนยังไม่เห็น ส่วนที่จะมีการประชุมสส.เพื่อไทย ก่อนการเปิดสมัยประชุมสภาฯ เรื่องดังกล่าวคงจะมีการคุยกันในที่ประชุม สส.เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติ ต้องถามความเห็น แต่การดำเนินการอยู่ที่คณะกรรมการบริหารพรรค หัวหน้าพรรค แต่ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป
ขอดูฤกษ์ก่อนไล่ทุบหนู ’
นายสรวงศ์ เทียนทอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ยอมรับว่า เรื่องนี้ได้มีการพูดคุยกัน ซึ่งเราพร้อมที่จะทำการยื่นอภิปราย แต่กำลังดูช่วงเวลา เพราะไม่อยากเป็นแพะในเรื่องของการถูกโยงว่าการที่พรรค พท.ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือ การเยียวยาพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยในภาคใต้ไม่สำเร็จ ดังนั้น เราจึงต้องดูช่วงเวลาที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุด เพราะเขาขู่ฟอดๆ ว่าถ้าเรายื่นก็จะยุบสภา ซึ่งถ้าจะยุบก็ยุบ เราไม่ได้กลัว เพราะเราทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน
เตือนนายกฯอย่ายุบสภาหนี
นายสรวงศ์ กล่าวว่าทั้งนี้ขอทำความเข้าใจกับประชาชนว่าการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้าน และทุกครั้งที่มีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ยังไม่เคยเห็นใครยุบสภาหนี ซึ่งหากเขายืนยันที่จะทำการยุบสภา นั่นคือเพราะไม่อยากถูกตรวจสอบ ซึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่จำเป็นต้องยุบสภา เพราะการที่นายอนุทินได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น มีเสียงสนับสนุนถึง 311 เสียง ถ้านายอนุทินคิดว่าไม่ได้ทำอะไรผิด หรือทำอะไรแล้วประเทศชาติไม่ได้รับความเสียหาย ก็ควรจะไปโน้มน้าวคนที่โหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรีให้สนับสนุนต่อ ไม่ใช่ถึงเวลาแล้วก็มาขู่ว่าถ้ามีการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็จะยุบสภา ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีคะแนนเสียงเพียง 141 เสียง พวกตนก็ไม่สามารถที่จะล้มรัฐบาลได้ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากพรรคประชาชน
เมื่อถามว่าที่ประชุมกก.บห.ของพรรคได้มีการหารือว่านายอนุทินจะยุบสภาหรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า มีการพูดคุยกันภายในพรรค ไม่ใช่แค่กก.บห.โดยมีความคิดเห็นที่หลากหลายว่านายกรัฐมนตรีจะยุบสภาหรือไม่ จะกล้ายุบหรือไม่ แต่ขณะนี้ยังไม่มีผลสรุปออกมาว่าจะยื่นอภิปรายฯ เมื่อไหร่ เพราะเราอยากให้รัฐบาลได้แก้ไขและเยียวยาพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ให้เต็มที่ ถือเป็นคนละเรื่องกับการตรวจสอบ
อ้างปชน.ปชป.พร้อมร่วมอภิปราย
“เพราะการที่รัฐบาลบริหารบ้านเมืองแล้ว มีพี่น้องประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก หากฝ่ายค้านไม่ยื่นอภิปรายนั่น คือ เรื่องแปลก และในฐานะฝ่ายค้านเราไม่สามารถให้รัฐบาลนี้บริหารประเทศต่อไปได้แม้แต่วันเดียว เพราะขณะนี้ประเทศเกิดความเสียหายขึ้นมาแล้ว” นายสรวงศ์ กล่าว
เมื่อถามว่าหากพรรคพท.ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว มองว่าพรรคประชาชนจะร่วมลงมติไม่ไว้วางใจด้วยหรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ทราบเลยว่าเขาจะลงมติอย่างไร ตนไม่ก้าวล่วง เพราะเป็นมติของพรรคประชาชน แต่ทางพรรค พท.พร้อม และได้ยินมาว่าพรรคประชาธิปัตย์และพรรคประชาชาติก็จะร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย ย้ำว่าการทำหน้าที่ฝ่ายค้านต้องใช้อำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่ จะมาปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป จะมากลัวนั่น กลัวนี่ กลัวยุบสภา ไม่มีใครกลัวใคร เราต้องคำนึงถึงประเทศชาติว่าเสียหายอย่างไร
รบ.ทำประเทศเสียหาย
ต่อข้อถามว่ามีสส.บางกลุ่มไม่เห็นด้วย เพราะเกรงจะกระทบกับกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายสรวงศ์ กล่าวว่าที่บอกว่าไม่เห็นด้วย เขาอาจจะมองว่าหากยื่นอภิปรายไปแล้วอาจจะถูกกล่าวหาว่าไม่ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือถูกกล่าวหาว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สำเร็จเป็นเพราะพรรค พท. แต่ยืนยันว่าภายในพรรคไม่มีคนเห็นแย้งและเสียงภายในพรรคเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่มีเสียงแตกว่าจะยื่นหรือไม่ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ
“การที่มีคนมาตั้งคำถามว่า จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจทำไม เพราะอีกหนึ่งเดือน ก็จะมีการยุบสภาแล้ว แต่อีกหนึ่งเดือนนั้น รัฐบาลอาจจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศอย่างมหาศาล ดังนั้น พวกตนจึงไม่สามารถปล่อยไปได้”นายสรวงศ์ ย้ำ
ทสท.จี้ออกหมายจับ”เบน สมิธ”
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ประธานยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง พรรคไทยสร้างไทย(ทสท.) แสดงความคิดเห็นต่อกระแสสังคมที่ตั้งข้อสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างนายกรัฐมนตรี กับนายเบน สมิธ หลังมีภาพปรากฏร่วมกับผู้มีอิทธิพลหลายคนในไทยรวมถึงนายอนุทิน ชาญวีรกุล แม้หลายฝ่ายจะออกมาปฏิเสธว่ารู้จักกันเพียงผิวเผินแต่กระแสสังคมยังคงเคลือบแคลงใจ เรียกร้องความชัดเจนจากฝ่ายบริหารนั้น จากคำชี้แจงของนายอนุทินที่กล่าวว่าเคยพบกับนายเบนเพียงไม่กี่ครั้ง และปฏิเสธการทำธุรกิจร่วมกัน รวมถึงการอ้างว่าเคยถูกย้ายจากกระทรวงมหาดไทยเพราะไม่ยอมอนุมัติสัญชาติไทยให้นายเบน สมิธ ทำให้เรื่องนี้จำเป็นต้องคลี่คลายอย่างเร่งด่วน โดยเชื่อว่านายอนุทินไม่น่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับนายเบน แต่ฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี น่าจะมีข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้ข้อสงสัยต่างๆ กระจ่างขึ้นได้
พล.ท.ภราดร เสนอว่าเพื่อให้รัฐบาลหลุดพ้นจากข้อครหาว่าเกี่ยวพันกับ นายเบน สมิธ ควรดำเนินการอย่างเร่งคือ. เร่งออกหมายจับนายเบน สมิธ ซึ่งเป็นบุคคลเดียวที่ยังไม่มีหมายจับจากทางการไทย พร้อมทั้งตรวจสอบเส้นทางการเงินอย่างละเอียด หากพบการกระทำผิดกฎหมาย ต้องเร่งดำเนินคดี อายัดทรัพย์ และจัดการผู้เกี่ยวข้องทุกระดับโดยไม่ละเว้น
ทั้ง เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาออกสัญชาติไทยให้แก่นายเบน สมิธ โดยเฉพาะการตรวจสอบว่าใครเป็นผู้สั่งการให้นายอนุทินในขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทย เพื่อแสดงความโปร่งใส และคลายข้อสงสัยว่ามีผู้มีอิทธิพลทางการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่
ยึดทรัพย์สแกมเมอร์1หมื่นล้าน
วันเดียวกันนายไชยชนก ชิดชอบ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวถึงกรณีสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)ยึดทรัพย์เครือข่ายสแกมเมอร์ 1หมื่นกว่าล้านบาท ในช่วงที่ผ่านมาว่า น่าจะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ที่ทำให้ตนยิ้มออก เพราะเราทำมากันอย่างเต็มที่ ไม่ใช่แค่ตน แต่เป็นหลายหน่วยงานที่ร่วมมือกัน
นายไชยชนก ยังกล่าวถึงกรณีกระแสข่าวการสแกนม่านตาแลกกับเงินบิตคอยน์ว่าก่อนอื่น ขอชี้แจงกับประชาชนก่อนว่าเทคโนโลยีการสแกนม่านตาไม่ใช่เทคโนโลยีที่ไม่ดี เทคโนโลยีไม่ได้ผิด จริงๆ แล้วการสแกนม่านตาเป็นทางออกด้วยซ้ำ หากนำมาใช้ในรูปแบบที่ถูกต้องจะกลายเป็นสิ่งที่กันไม่ให้เกิดการสแกนอีกต่อไป เพราะว่าม่านตาเป็นการยืนยันตัวตนที่ละเอียดสูงสุดแล้ว และละเอียดกว่าลายนิ้วมือ ซึ่งอาจมีการซ้ำกันได้ แต่ม่านตาเทียบเท่าดีเอ็นเอไม่สามารถก็อปปี้ หากมีใช้ในการยืนยันตัวตนต่างๆ จะไม่สามารถสวมรอยกัน
เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่เดือน ก.พ. 68 ที่เริ่มมีข่าวเกิดขึ้น โดยมี 2 ส่วนที่เป็นปัญหา ส่วนแรกคือเรื่องของการเอาข้อมูลม่านตาไปโดยที่ไม่ได้บอกพี่น้องประชาชน หรือเป็นการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่แจ้งก่อน ส่วนที่สองคือประเด็นเรื่องของการมีค่าตอบแทนหรือมีกระบวนการอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องในการเก็บข้อมูล โดยมีการรวบรวมพี่น้องประชาชนต่างจังหวัดเข้ามาร่วมโครงการ ซึ่งประชาชนจะไม่ทราบอยู่แล้วว่าการสแกนม่านตาคืออะไร และบวกกับบริษัทไม่ได้บอกในเรื่องผลตอบแทนว่าจะได้รับการตอบแทนในรูปแบบใด ซึ่งอาจจะเป็นการให้รับเหรียญในเบื้องต้น และกลายเป็นการให้เงินสดในทางปฎิบัติ เพราะชาวบ้านไม่ได้เทรดบิทคอยน์อยู่แล้ว ไม่ได้รู้เรื่องนี้ เขาก็รับเงินมาก่อนอยู่แล้ว
ทราบเรื่องเอ็มโอยูต้องบอกว่าตกใจ
นายไชยชนก ยังกล่าวถึงกรณีเอ็มโอยูระหว่างกระทรวงดีอีกับ Prime Opportunity Fund VCC เพื่อจัดตั้งโครงการนำร่องพัฒนาศูนย์ธุรกิจและการเงินดิจิทัลนานาชาติ เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไรนั้น ว่า ถ้าเราดูเนื้อหาเอ็มโอยูเพียงผิวเผินก็จะคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีและปกติ หากเราอยากยกระดับพัฒนาอุตสาหกรรมหรือด้านใดด้านหนึ่ง แต่ตอนแรกที่ตนทราบเรื่องเอ็มโอยูต้องบอกว่าตกใจ เพราะว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีการที่กระทรวงไปลงนามกับกลุ่มบริษัทที่ดูทรงแล้ว ไม่น่าจะได้มีการทำการยกระดับมาตรฐานการยืนยันตัวตน (KYC) ที่ดีด้วย โดยเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนนำมาสู่เรื่องนี้ พอมีคนโยงเราไม่เคยเห็นสัญญา ถามไปในกระทรวงก็ไม่มีหน่วยงานไหนที่รู้ ซึ่งตนเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่กระทรวงกลัวมีความผิดไปด้วย จึงไม่บอกตน สุดท้ายพอไปตรวจพบว่า ไม่ได้ผิด หน่วยงานอื่นๆ เขาไม่รู้จริงๆ
ผงะต้นตอเอ็มโอยูรัฐกับเอกชน
ต้นตอของเรื่องของเอ็มโอยูนี้ เริ่มจากเลขาของอดีตรัฐมนตรียิงเรื่องนี้ลงไป เมื่อวันที่ 25 มี.ค.67 ที่ฝ่ายกฎหมายต่างประเทศของกระทรวงและมีการส่งต่อไปยังกระทรวงการต่างประเทศ กฤษฎีกาและสำนักงานอัยการสูงสุดในวันที่ 26 มี.ค.โดยมีการตอบกลับจากกระทรวงการต่างประเทศและกฤษฎีกาว่าโอเคและดูเหมือนเป็นการเซ็นระหว่างรัฐกับเอกชน ไม่มีความผูกมัดทางกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องเข้า ครม.จากนั้นวันที่ 27มี.ค. มีการตอบกลับจากอัยการสูงสุดว่าให้ไปดูมติครม.ที่เกี่ยวกับความมือกับต่างประเทศที่เกี่ยวข้องให้ระมัดระวังในเรื่องของทรัพย์สินดิจิทัลที่ทำร่วมกัน ในเอ็มโอยูระบุว่าให้เป็นของทางผู้พัฒนาระบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทางรัฐไม่ได้เป็นเจ้าของแต่อย่างใดซึ่งอัยการสูงสุดแนะนำว่าควรเป็นเจ้าของร่วมกันแต่ก็มีการลงนามเสร็จสมบูรณ์ในวันที่27มี.ค. 67
“เท่ากับว่ากระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่ลงไปทางเลขาฯ อดีตรัฐมนตรี ผ่านทุกกระบวนการแล้วย้อนกลับมาผ่านการเซ็นโดยปลัดกระทรวง และรัฐมนตรีที่รับทราบ ใช้เวลาเพียง 3 วัน ในการเซ็นเอ็มโอยู ระหว่างประเทศยังไม่พอ ยังเป็นการเซ็นระหว่างภาครัฐกับเอกชน มันเป็นอะไรที่รวดเร็วมาก” นายไชยชนกกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี