วันอาทิตย์ ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2568
‘สีหศักดิ์’ซัดแหลกกลางUN
‘เขมร’ลวงโลก!
ยังละเมิดกฎหมายสากล
งัดคลิปมัดวางทุ่นระเบิด
โฆษกทบ.ตามสับไม่ยั้ง
ชี้เป็นภัยร้ายต่อภูมิภาค
กระทรวงการต่างประเทศและกองทัพบก ผนึกกำลัง “สู้ศึกข้อมูล” ตอบโต้กัมพูชาดุเดือดกลางเวทีโลก! “สีหศักดิ์” รมว.การต่างประเทศ เดินหน้าชนกลางที่ประชุมอนุสัญญาออตตาวา ชี้กัมพูชาละเมิดกฎหมายสากล ใช้ทุ่นระเบิดทำทหารไทยสูญเสีย 7 นาย ย้ำต้องตั้งคณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอิสระ ด้านเอกอัครราชทูตฯ งัดคลิปวิดีโอ “ทหารกัมพูชาฝึกวางระเบิด” ตบหน้าคำกล่าวอ้างบิดเบือน ขณะที่โฆษก ทบ. “พลตรี วินธัย” ตามซ้ำ จี้นานาชาติจับตา ผอ. CMAC “เฮง รัตนา” สร้างเรื่องหลอกลวงสังคมโลก ทำลายสันติภาพและความไว้วางใจในภูมิภาคอย่างร้ายแรง
วันที่ 6 ธ.ค.68 นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้พบหารือกับนายโวลเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ในโอกาสเยือนนครเจนีวา เพื่อเข้าร่วมการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 22 หรืออนุสัญญาออตตาวา โดยได้ใช้โอกาสนี้ชี้แจงท่าทีไทยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา พร้อมย้ำว่า ไทยยึดมั่นต่อหลักการสันติภาพ แต่กัมพูชาขาดความจริงใจในการแก้ไขปัญหาและเป็นฝ่ายใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งทำให้ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดและสูญเสียขาจำนวน 7 คนถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา และขัดต่อการดำเนินการตาม Joint Declaration (JD) ของฝ่ายกัมพูชา
ดูแลเชลยศึกเขมรอย่างดี
ขณะเดียวกันนายสีหศักดิ์ ยังยืนยันด้วยว่า เชลยศึก 18 คนที่อยู่ในความควบคุมของไทยได้รับการดูแลตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และไทยได้อำนวยความสะดวกให้คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (International Red Cross Committee: ICRC) เข้าเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง
ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อความร่วมมือระหว่างไทยและสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Office of the High Commissioner for Human Rights: OHCHR) ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง และการมีบทบาทที่สร้างสรรค์ของไทยในฐานะสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Human Rights Council: HRC) และแลกเปลี่ยนทัศนะเกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชนที่ไทยและ OHCHR ให้ความสำคัญ อาทิ สถานการณ์ในเมียนมา การแก้ไขปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังได้เชิญข้าหลวงใหญ่ฯเข้าร่วมการประชุม International Conference on the Global Partnership against Online Scams ระหว่างวันที่ 17 - 18 ธันวาคม 2568 ที่กรุงเทพฯ และหารือประเด็นการปรับปรุงโครงสร้างการทำงาน OHCHR และการเพิ่มบทบาทของสำนักงานภูมิภาคของ OHCHR ในกรุงเทพฯด้วย
เปิดหลักฐานกัมพูชาบิด
นอกจากนี้ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยังได้กล่าวถ้อยแถลงในวาระการพิจารณาคำขอตามข้อ 8 ของอนุสัญญาออตตาวา ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 22 ณ นครเจนีวาด้วย
โดยนายสีหศักดิ์ ชี้แจงข้อเท็จจริงและจุดยืนของไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชาโดยย้ำว่าไทยมีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาฯมาตลอด และได้ใช้กลไกทวิภาคีทุกช่องทางด้วยความจริงใจเพื่อแก้ไขสถานการณ์ ไทยไม่ประสงค์ที่จะทำให้ประเด็นนี้กลายเป็นประเด็นทางการเมือง แต่การที่ทหารของไทยได้รับความสูญเสียและต้องทุพลภาพอย่างถาวรจากการใช้ทุ่นระเบิดของกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดข้อ 1 ของอนุสัญญาฯ อย่างชัดแจ้งนั้นจึงจำเป็นต้องกล่าวถ้อยแถลงนี้ในนามของประชาชนผู้ที่ต้องเผชิญกับการกระทำที่ไม่ควรเกิดขึ้น
นายสีหศักดิ์ ระบุว่า ไทยไม่มีทางเลือกและต้องสงวนสิทธิในการดำเนินการตามกลไกข้อ 8 วรรค 2 ของอนุสัญญาฯเพื่อขอคำชี้แจงจากกัมพูชา แต่คำชี้แจงของกัมพูชากลับขัดแย้งกับหลักฐานที่ได้ผ่านการตรวจสอบแล้วอีกทั้งยังมีการบิดเบือนข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
ชี้เขมรต้องรับกรรม
“หากรัฐภาคีสามารถวางทุ่นระเบิดใหม่แล้วเพียงปฏิเสธได้โดยไม่ต้องรับผลการกระทำใดๆ จะเกิดอะไรขึ้น หากมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ในครั้งถัดไป การดำเนินการต่อไปที่เป็นธรรม มีประสิทธิภาพ และโปร่งใสที่สุด คือการร้องขอให้เลขาธิการสหประชาชาติอำนวยความสะดวก (good offices) ในการจัดตั้งคณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact-finding mission) ที่เป็นอิสระ อย่างทันท่วงที”
นายสีหศักดิ์ กล่าวอีกว่า วัตถุประสงค์ของไทยคือเพื่อไม่ให้ประเด็นนี้ถูกนำมาทำให้เป็นประเด็นทางการเมือง โดยการพึ่งพากลไกของอนุสัญญาฯ ซึ่งจะเป็นการปกป้องความน่าเชื่อถือของอนุสัญญาฯ และแสดงให้เห็นว่า กลไกดังกล่าวสามารถนำมาใช้ได้จริงในยามที่จำเป็นที่สุดด้วย
ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา
นอกจากนี้ นางสาวอุศณา พีรานนท์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ได้ใช้สิทธิตอบโต้ (Right of Reply) แย้งคำกล่าวหาที่ปราศจากการพิสูจน์ข้อมูลของกัมพูชาว่า ไทยได้ดำเนินการฝ่ายเดียว ขาดความน่าเชื่อถือและทำให้ความสูญเสียของทหารทั้ง 7 นายเป็นประเด็นทางการเมือง โดยได้แสดงหลักฐานเชิงประจักษ์ของการละเมิดพันธกรณีอนุสัญญาฯ ของฝ่ายกัมพูชา ต่อที่ประชุมรัฐภาคีฯ รวมถึงคลิปวิดีทัศน์ที่ทหารกัมพูชากำลังฝึกวางทุ่นระเบิด PMN-2 ซึ่งฝ่ายไทยได้นำส่งหลักฐานเหล่านี้ให้กับเลขาธิการสหประชาชาติทั้งหมดด้วยแล้ว พร้อมทั้งชี้ว่า การจัดตั้งคณะผู้ตรวจสอบความจริงตามที่ไทยได้เสนอนั้นจะช่วยยืนยันข้อเท็จจริงและเสริมสร้างความโปร่งใสของการดำเนินการของทุกฝ่าย ซึ่งหากกัมพูชามีความสุจริตใจที่จะแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างแท้จริง ก็ควรที่จะยอมรับข้อเสนอดังกล่าว
ทั้งนี้ ตลอดห้วงการประชุมรัฐภาคีฯ คณะผู้แทนไทยจากกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงคณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ กรุงเจนีวา ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (ศทช.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพและแสดงท่าทีเป็นเสียงเดียวกัน โดยผู้แทนของแต่ละหน่วยงานได้กล่าวถ้อยแถลงและใช้สิทธิตอบโต้ในระเบียบวาระที่ไทยถูกพาดพิง เพื่อยืนยันท่าทีและปกป้องผลประโยชน์ของไทยในการประชุมรัฐภาคีฯ ครั้งนี้อย่างถึงที่สุด
ทบ.จับตา”เฮง รัตนา”
ทางด้าน พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวกรณีที่เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2568 นายเฮง รัตนา ผอ. CMAC กัมพูชาเผยแพร่ข้อความระบุว่าวันนี้ตนและทีมงานอยู่ระหว่างติดตั้งซากระเบิด MK84 ที่นำมาจัดแสดงภายในอาคารรูปทรง PMN-2 เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความมุ่งมั่นและผลสำเร็จที่ได้รับการยอมรับของกัมพูชาในการปฏิบัติตามอนุสัญญาออตตาวา รวมถึงกล่าวหาว่า ไทยพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของนานาชาติจากการรุกรานและยึดครองดินแดนกัมพูชา โดยกล่าวโทษว่าฝ่ายกัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่จนทำให้ทหารไทยเสียชีวิต และใช้ถ้อยคำเปรียบไทยว่าเป็นโจรที่กลับฟ้องเจ้าของที่ดิน พร้อมอ้างว่า หากไทยไม่บุกเข้ามายึดครองพื้นที่ของกัมพูชาก็จะไม่เกิดเหตุใด ๆ กับกำลังพลไทย
พลตรี วินธัย กล่าวว่า นายเฮง รัตนา ยังคงใช้จินตนาการปั้นแต่งเรื่องราวเพื่อหลอกลวงสังคมโลก เบี่ยงเบนประเด็นที่แท้จริง และปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องการลักลอบติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่ในเขตประเทศไทยโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ทหารไทยได้รับความสูญเสียในพื้นที่ชายแดน ถ้อยคำที่นายเฮง รัตนา ใช้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่สะท้อนความเป็นสุภาพบุรุษทางการทูต ไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แต่กลับกล่าวหาไทยว่าเป็นฝ่ายรุกราน ทั้งที่ข้อเท็จจริงกลับตรงกันข้ามอย่างชัดเจน พฤติกรรมดังกล่าวกำลังทำลายบรรยากาศแห่งความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีของทั้งสองประเทศ และเป็นการจงใจสร้างความขัดแย้งและความเกลียดชังให้รุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเสถียรภาพของภูมิภาคโดยรวม ฝ่ายไทยมีจุดยืนที่ชัดเจน ยืนยันการให้ข้อมูลและหลักฐานที่ถูกต้อง ทั้งเชิงประจักษ์และเชิงเทคนิค ซึ่งสามารถเปิดให้บุคคลหรือองค์กรระหว่างประเทศเข้าตรวจสอบได้อย่างเปิดเผย จึงขอเรียกร้องให้สังคมโลกตระหนักและร่วมต่อต้านการนำเสนอข้อมูลเท็จของนายเฮง รัตนา ซึ่งเป็นบ่อนทำลายความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือของกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ และเป็นอุปสรรคต่อความพยายามสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนในภูมิภาค
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี