เพื่อไทยจ่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญ  ฟันจริยธรรมรมต.  ชิมลางก่อนเปิดศึกซักฟอกรบ.

เพื่อไทยจ่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ฟันจริยธรรมรมต. ชิมลางก่อนเปิดศึกซักฟอกรบ.

วันจันทร์ ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

เพื่อไทยจ่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญ

ฟันจริยธรรมรมต.

ชิมลางก่อนเปิดศึกซักฟอกรบ.

ดักคออย่าเร่งยุบสภาหนี

โฆษกรัฐบาลสับกลับไร้สาระ

“เพื่อไทย” สาดน้ำลายไปเรื่อยๆ ล่าสุดขู่ยื่นร้องศาลรธน.เอาผิดจริยธรรมรัฐมนตรีในรัฐบาลอนุทินก่อนยื่นซักฟอกต่อ ทั้งเตือนอย่ายุบสภาหนี ด้านโฆษกรัฐบาลโต้กลับเพื่อไทยตีกินไปเรื่อยเปื่อยไร้สาระ

เมื่อวันที่ 7 ธั2568 นายสุทิน คลังแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า พรรคเพื่อไทยขอดูทิศทางการอภิปรายในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2 ก่อน จากนั้นจึงจะประเมินสถานการณ์กันว่าจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อเลย หรือยื่นหลังร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ผ่าน เนื่องจากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงตลอด ดังนั้นหากฟังการอภิปรายในวาระ 2 แล้วก็พอจะประเมินได้ว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 จะผ่านหรือไม่ แล้วจะกำหนดวันเวลาที่จะยื่นอีกครั้ง ก่อนยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคจะยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญเอาผิดจริยธรรมกับรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลก่อน ส่วนจะมีใครบ้างนั้นเชื่อว่าสังคมพอคาดเดาได้ ทั้งเรื่องคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี พฤติกรรมก่อนและหลังการเป็นรัฐมนตรี ซึ่งคุณสมบัติมิชอบมีอยู่หลายคน โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและ รมว.มหาดไทย ก็อยู่ในข่ายด้วย


เชื่อรัฐบาลยกธงขาว

นายสุทินกล่าวอีกว่า รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่มีประเด็น และข้อมูลเยอะที่สุดจากรัฐบาลที่เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจมา วันนี้เรามีแต่คิดว่าจะตัดประเด็นไหนออก เพราะมีเรื่องเยอะจริงๆ เช่น เรื่องการจัดทำงบประมาณที่รัฐบาลชุดนี้อนุมัติงบแบบคาใจ ทำประชาชนตาค้าง เรื่องการจัดการเป็นเจ้าภาพกีฬาซีเกมส์ซึ่งก็มีแต่ปัญหา “รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยเวลาถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เขาจะยกธงท้าสู้ แอ่นอกไม่กลัวการตรวจสอบ แสดงความมั่นใจว่าไม่ผิด แต่รัฐบาลชุดนี้กลับยกธงขาวเตรียมเผ่น เป็นเรื่องแปลกที่สุด ไม่เคยพบเจอ และที่มาบอกว่าถ้าหากพรรคเพื่อไทยยื่นอภิปรายจะยุบสภาหนีนั้น ท่านขู่เราเหมือนท่านภูมิใจทั้งที่เป็นเรื่องน่าอาย ต้องไว้เชิงบ้าง ส่วนเมื่อพรรคเพื่อไทยยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแล้ว พรรคประชาชนจะร่วมด้วยหรือไม่ก็สุดแล้วแต่ ขณะนี้พรรคประชาชนยังมีท่าทียึกยัก เราก็ไม่รอ เดินหน้าเอง พวกท่านก็ตอบสังคมให้ได้ หากจะยังเป็นฝ่ายค้ำแล้วตัวเองดีขึ้นก็ไปค้ำ ระวังค้ำกันไปมาจะล้มทับกันเอง“ นายสุทินกล่าว

อย่ายุบสภาหนีไปก่อน

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและ รมว.มหาดไทย ออกมาระบุรัฐบาลเสียงข้างน้อย เตรียมความพร้อมที่จะยุบสภาทุกเมื่อ หากพรรคเพื่อไทยยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า พรรคเพื่อไทยจัดเตรียมขุนพลอภิปรายในการประชุมร่วมกัน เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระสอง เพื่อเดินหน้าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่นายอนุทินกลับส่งสัญญาณหลายครั้งถึงการเตรียมการที่จะยุบสภา หากพรรคเพื่อไทยยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ความกลัวทำให้เสื่อม นายอนุทินไม่ควรยุบสภา หนีการตรวจสอบ แต่เวลานี้ควรเป็นเวลาที่จะเร่งฟื้นฟูเยียวยาพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์วิกฤตน้ำท่วมใหญ่ เร่งแก้ปัญหาดราม่าการจัดซีเกมส์ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก รวมถึงปัญหาทุนเทา สแกมเมอร์

ควรเปิดให้มีการซักฟอก

นายอนุสรณ์กล่าวต่อว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นภารกิจหลักที่ฝ่ายค้ำใน MOA ต้องการให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยเดินหน้าผลักดันให้เต็มที่ นายอนุทินไม่ต้องกลัวว่าพรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคฝ่ายค้าน จะใช้โอกาสในการอภิปรายแก้ไขรัฐธรรมนูญ อภิปรายความล้มเหลวของรัฐบาลเสียงข้างน้อย สิ่งที่นายอนุทินในฐานะหัวหน้ารัฐบาลเสียงข้างน้อยพึงทำ คือเร่งประสานขอความร่วมมือจากพรรคฝ่ายค้ำใน MOA ให้การันตีพร้อมค้ำรัฐบาลนายอนุทินทุกสถานการณ์ ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะอภิปรายถล่มรัฐบาลหนักหนาสาหัสขนาดไหนก็ตาม พรรคฝ่ายค้ำก็จะยังยืนยันสนับสนุนรัฐบาลเสียงข้างน้อยต่อไป

“พรรคเพื่อไทยมีหลายฉากทัศน์ในการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล แต่หัวใจสำคัญต้องเป็นการยื่นอภิปรายที่พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์ ปัญหาความเดือดร้อนต้องได้รับการแก้ไข รัฐบาลเสียงข้างน้อยอย่าชิงยุบสภาหนีปัญหา หนีการตรวจสอบเร็วเกินไปจนความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนไม่ได้รับการแก้ไข” นายอนุสรณ์กล่าว

กกต.คำนวนสส.บัญชีรายชื่อ

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่เอกสารข่าวระบุว่า กรณีการประกาศจำนวน ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้งและจำนวนเขตเลือกตั้งของแต่ละจังหวัดจะพึงมี ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2568 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 โดยมีสาระสำคัญดังนี้ 1.การกำหนดจำนวน ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 400 เขต เป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 86 (1) ซึ่งบัญญัติให้ใช้จำนวนราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้ง เฉลี่ยด้วยจำนวน ส.ส. 400 คน โดยได้นำจำนวนราษฎรสัญชาติไทยทั่วราชอาณาจักร ณ วันที่ 31 ธ.ค.2567 จำนวน 64,953,661 คน มาใช้เป็นฐานคำนวณ แล้วหารด้วยจำนวน ส.ส. 400 คน ส่งผลให้มีค่าเฉลี่ย 162,384 คน ต่อ สส. 1 คน (รายละเอียดตามประกาศ กกต.จำนวน สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง)

พร้อมจัดเลือกตั้งปี2569

2.กรณีที่มีการยุบสภาและต้องจัดให้มีการเลือกตั้งเป็นการทั่วไป ปี พ.ศ. 2569 และสำนักทะเบียนกลางได้มีประกาศ เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักรตามหลักฐานทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2568 จะกำหนดจำนวน ส.ส. และเขตเลือกตั้ง ส.ส. ในแต่ละจังหวัดใหม่ โดยนำจำนวนราษฎรสัญชาติไทย ณ วันที่ 31 ธ.ค.68 มาใช้เป็นฐานคำนวณตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ อาจส่งผลให้บางจังหวัดมีจำนวน สส. และเขตเลือกตั้งเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้

3.จำนวน ส.ส. และจำนวนเขตเลือกตั้งที่แต่ละจังหวัดพึงมี ใช้ข้อมูลจำนวนราษฎรที่มีสัญชาติไทยเท่านั้น โดยไม่ได้นำข้อมูลจำนวนราษฎรที่ไม่มีสัญชาติมาใช้ในการคำนวณจำนวน ส.ส.และจำนวนเขตเลือกตั้ง (ซึ่งเป็นไปตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 2/2566 เมื่อวันที่ 3 มี.ค.66 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่า การกำหนดจำนวน ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่แต่ละจังหวัดจะพึงมีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 86 (1) ที่กำหนดให้ใช้จำนวนราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้ง นั้น คำว่า “ราษฎร” ไม่รวมถึงผู้ไม่ได้สัญชาติไทย) รายละเอียดตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ

สำนักงาน กกต.ขอเรียนว่า การกำหนดจำนวน ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เป็นการดำเนินการโดยยึดหลักกฎหมาย รัฐธรรมนูญ และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด

โฆษกรัฐบาลโต้กลับ’เพื่อไทย’

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักงานนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยเตรียมยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมาตรฐานจริยธรรม นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ว่า เป็นการยื่นในประเด็นการเมือง ก่อนหน้านี้ที่เคยร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยก็ทำงานกันได้ แต่พอแยกทางกัน ผลออกมาเป็นอย่างนี้ ยอมรับเป็นสิทธิ์ของพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้ รัฐบาลคงไม่กังวลอะไร เพราะก่อนที่รัฐมนตรีจะรับตำแหน่งต้องตรวจคุณสมบัติก่อน ซึ่งตนยังไม่ทราบว่าพรรคเพื่อไทยจะยื่นในประเด็นใด ส่วนจะยื่นอะไรก็แล้วแต่เขาเลย 

เมื่อถามว่า เรื่องที่นายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ระบุว่ารัฐบาลนี้มีการอนุมัติงบแบบคาใจนั้น นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ตั้งแต่พรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากการเป็นรัฐบาล ก็เห็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทยปรับงบประมาณ และงบประมาณที่ใช้กันตอนนี้เป็นงบที่พรรคเพื่อไทยจัดสรรเองหมดเลย จึงอยากถามว่าจะไปร้องจริยธรรมประเด็นไหน ถ้าจะร้องก็ต้องร้องคนที่ปรับปรุงงบด้วย ประเด็นที่เขาจะยื่นไม่มีอะไรเป็นประเด็นทางการเมือง ดิสเครดิต ไม่ใช่ทีตัวเองทำถูกหมด พอเป็นพรรคอื่นทำผิดหมดเลย

ชี้พท.หวังผลทางการเมือง

เมื่อถามว่า กรณีนายสุทินระบุว่าปกติไม่มีรัฐบาลไหนยุบสภาหนีมีแต่พรรคภูมิใจไทยเท่านั้น นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ไม่ใช่หรอก และนายสุทินพูดไม่ครบ เพราะปกติกระบวนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นเรื่องที่ปกติรัฐบาลจะมีเสียงข้างมาก การอภิปรายในอดีตเป็นเรื่องการควบคุมเสียงมากกว่าการดูเนื้อหา แต่ของเราคราวนี้เราเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยตั้งแต่วันแรก และตาม MOA ที่ทำกับพรรคประชาชนจะไม่หาเสียงสส.เพิ่ม กลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก ดังนั้นหากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจพรรคเพื่อไทยมีแต่ได้กับได้ คือ หากนายกฯยุบสภาจะเป็นอย่างที่เขากล่าวหาว่าหนีซักฟอก แต่ถ้าเราปล่อยให้ไปถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ การที่เราจะผ่านการซักฟอกไปได้ พรรคประชาชนจะต้องยกมือสนับสนุน ไม่เช่นนั้นเสียงไม่พอ และหลังจากนั้นพรรคประชาชนจะเป็นเหยื่อทางการเมืองต่อไปที่จะโดนพรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่ามาอุ้ม มาค้ำ ขณะเดียวกันหากนายกฯไม่สามารถผ่านได้ คนที่มีสิทธิ์เป็นรัฐบาลต่อคือพรรคเพื่อไทย ซึ่งอายุสภาเหลืออีกประมาณปีกว่า หมากเกมนี้พรรคเพื่อไทยหวังผลทางการเมืองแน่นอน และพรรคเพื่อไทยก็ตั้งใจอย่างนี้อยู่แล้ว เพราะตัวเองเป็นรัฐบาลมาสองปีผลงานน้อยถึงเวลาก็มาเคลมกับเพื่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top