สิ้นหวังทั้งสองพรรค ชูวิทย์ จวกยับไว้ใจไม่ได้ยึดเอา พรรคมากกว่าชาติ

สิ้นหวังทั้งสองพรรค ชูวิทย์ จวกยับไว้ใจไม่ได้ยึดเอา พรรคมากกว่าชาติ

วันศุกร์ ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 15.04 น.

หลังจากที่ นาย อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยได้มีการโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “ผมขอคืนอำนาจกลับไปยังพี่น้องประชาชนครับ” ก่อนที่จะมีรายงานข่าวว่าเมื่อค่ำวานนี้ (11 ธันวาคม พ.ศ. 2568) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการทั่วไปแล้ว

กระทั่งวันนี้ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองคนดังของประเทศไทย ได้ออกมาเคลื่อนไหวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ ที่กำลังร้อนแรงไม่แพ้ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา


ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

สิ้นหวังทั้งสองพรรค

พรรคภูมิใจไทยฉีก MOA กับพรรคประชาชนที่ตกลงจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ

โดยวางแผนจับมือกับ ส.ว. เปลี่ยนเกมโหวตรัฐธรรมนูญจากใช้เสียงข้างมากของรัฐสภา

มาเป็นต้องใช้เสียง ส.ว. 1 ใน 3

อย่างที่ผมย้ำแล้วย้ำเล่าว่าพรรคประชาชนตัดสินใจพลาดครั้งใหญ่ที่เชื่อใจพรรคอย่างภูมิใจไทยให้เป็นแกนนำรัฐบาล เลือกอนุทินเป็นนายกฯ

และความผิดพลาดนี้จะโทษใครไม่ได้ นอกจากพรรคประชาชนเอง

ความคาดหวังที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนต้องพบกับการ “เล่นละครตบตา“ ครั้งใหญ่ของพรรคภูมิใจไทย

ที่แกล้งตกลงเซ็น MOA ทั้งที่ในใจของพรรคภูมิใจไทยไม่มีเจตนาจะทำตาม MOA ของพรรคประชาชนตั้งแต่แรกเริ่มอยู่แล้ว

จะโทษพรรคภูมิใจไทยก็ได้ไม่เต็มปาก เพราะเป็น ”สันดานการเมือง“ รับไว้ก่อนแล้วไปแก้ตัวเอาดาบหน้า รู้ๆ กันอยู่

ความเห็นที่ไม่ตรงกันเรื่อง ส.ว. โหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็น “อาวุธลับ” ของพรรคภูมิใจไทยในเกมการเมืองบทนี้

แต่พรรคประชาชนนอกจากมองไม่เห็นผลเสียแล้ว ยังมองกลับด้าน กลับมุม เห็นเป็นประโยชน์เสียอีก

ความตั้งใจของพรรคภูมิใจไทย คือ ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โยกย้ายข้าราชการที่ทำกันตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้าย

ถลุงงบประมาณที่มีให้ใช้ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มจัดตั้งรัฐบาล

กวาดต้อน ส.ส. บ้านใหญ่มาสังกัด

ด้วยสถานะที่ได้เป็นรัฐบาลจึงรู้ว่าความพร้อมมีมาก

บรรดาผู้สมัครที่ไม่มีอุดมการณ์ใดๆ ก็ย่อมอยากอยู่กับพรรคที่กระสุนมีไม่จำกัด ไว้ยิงสลุตช่วงเลือกตั้งเท่านั้น

ในขณะการบริหารงานชั่วคราวของรัฐบาลอนุทินห่วยแตกตั้งแต่ต้น ไม่ว่าภาษีทรัมป์ สแกมเมอร์ น้ำท่วมหาดใหญ่ จัดแข่งขันซีเกมส์ จนถึงล่าสุด

เมื่อภัยสงครามไทยเขมรกำลังระอุ พรรคภูมิใจไทยเลือกที่จะทิ้งไพ่ใบสุดท้ายชิง “ยุบสภา” โดยอ้างเอาดื้อๆ ว่า “คุม ส.ว. ไม่ได้“

เป็นแผนที่วางไว้ตั้งแต่ต้น

พรรคภูมิใจไทยขึ้นเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้ด้วยความดื้อ ด้อยประสบการณ์ หวังแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยการพึ่งพรรคที่ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญเดิม

ส่วนพรรคประชาชนเองยอมไปเป็นฝ่ายค้าน นั่งดูพรรคภูมิใจไทยบริหารประเทศแบบขอไปที แล้วทำทุกอย่างที่ใครๆ ก็พูดว่า ”เห็นไหมล่ะ เตือนแล้ว“

พรรคภูมิใจไทยได้โอกาสที่พรรคประชาชนมอบให้ โดยเอาแค่ข้อตกลง MOA ซึ่งแม้จะตั้งเงื่อนไขมาสักร้อยข้อ

พรรคภูมิใจไทยก็เต็มใจทำเป็น เออ ออ ตกลงไปอย่างนั้น

พรรคประชาชนมีไม้ตายอยู่แค่ หากพรรคภูมิใจไทยไม่ทำตาม ก็จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะเป็นฝ่ายค้านที่มีเสียงมากกว่ารัฐบาล

โดยให้เวลาพรรคภูมิใจไทยไว้ 4 เดือน

อันเป็นเรื่องประหลาดในระบอบประชาธิปไตย

ส่วนพรรคภูมิใจไทยมีไม้ตายที่ ส.ว.

ทั้งสองพรรคจึงได้ใช้ ”อาวุธลับ“ ของตัวเองออกมาแล้ว

เพียงแต่พรรคภูมิใจไทยวางแผนใช้ตั้งแต่วันแรก

เสมือนว่า

“พรรคประชาชนซื้อล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 แต่ยกให้พรรคภูมิใจไทยขึ้นรางวัลใช้เงิน แล้วหวังว่าพรรคภูมิใจไทยจะแบ่งเงินรางวัลให้”

เมื่อพรรคภูมิใจไทยได้ดำเนินการสมประโยชน์ ต่อมาสถานการณ์สงครามทำท่าจะยืดเยื้อหลังโดนเรื่องน้ำท่วม

ไม่แน่ใจกับสถานการณ์ตัวเอง จึงตัดสินใจยุบสภาดีกว่า

แผนนี้เหี้ยม แต่ได้ผล เพราะอยู่นานกว่านี้เกมอาจพลิกไปมากกว่าที่เป็นอยู่

การยุบสภาในขณะที่ตัวเองพร้อมสรรพ แต่ชาติไม่พร้อม เพราะอยู่ในภาวะสงครามกับกัมพูชา

ขนาดว่ายิงกันทั้งวัน เครื่องบินทิ้งระเบิด อพยพชาวบ้านเป็นหลายแสนคนใน 7 จังหวัด

ใจคอจะไม่คิดถึงบ้านเมืองในภาวะสงคราม เลือกชิงยุบสภาเพื่อไม่ให้ฝ่ายค้านอภิปรายซักฟอก และโหวตล้มรัฐบาล

พูดง่ายๆ ว่าพรรคภูมิใจไทย “ได้ทุกอย่างแล้วเผ่นหนี”

ในขณะที่พรรคประชาชนก็ไม่สนใจอะไร มุ่งหัวชนฝาแต่จะแก้รัฐธรรมนูญอย่างเดียว

เมื่อไม่สมดังใจหมายก็ใช้ “อาวุธลับที่ไม่ลับ“ เพราะมีอยู่อย่างเดียว

และอีกฝ่ายรู้อยู่แล้ว จึงใช้ “อาวุธลับกว่า” อ้าง ส.ว. ไม่เอาด้วย

คนเขารู้ทั้งบ้านทั้งเมืองว่า ส.ว. ใครคุม ถึงกับตั้งฉายา ”ส.ว. สีน้ำเงิน“

ผ่านได้ผ่านดีทุกเรื่องที่ไฟเขียว และไฟแดงเรื่องที่ไม่ต้องการ

ทั้งสองพรรคจึงเห็นว่า “พรรคสำคัญกว่าชาติ” เห็นประโยชน์ของตัวเองมากกว่าประโยชน์ของชาติบ้านเมืองในขณะวิกฤตสงคราม

ไม่มีประเทศไหนที่เมื่อมีสงคราม แต่นักการเมืองยังมาห่วงเรื่องแก้กติกาของตัวเอง แล้วเผ่นหนี ยุบสภาไปเลือกตั้ง

นักการเมืองต้องรวมกัน ไม่มีฝ่ายรัฐบาลฝ่ายค้านเพื่อช่วยบ้านเมืองต่อสู้กับศัตรูไว้ก่อน

เรื่องอื่นว่ากันทีหลังดั่งที่ผมว่าไว้ “ชาติต้องมาก่อน” ในบทความก่อนหน้านี้

แต่ใช้ไม่ได้กับสองพรรคนี้ จะโทษพรรคใดพรรคหนึ่งไม่ได้

พรรคภูมิใจไทยได้เป็นรัฐบาล มีอนุทินเป็นนายกฯ ด้วยฝีมือของพรรคประชาชน

พรรคภูมิใจไทยมากประสบการณ์ในเรื่องลีลาการเมืองเป็นอย่างยิ่ง

แต่บริหารงานด้วยภัยรอบด้าน เอาตัวรอดไปวันๆ

มุ่งเน้นแต่ประโยชน์พรรคตัวเองมากกว่า

ขนาดมีภัยพิบัติน้ำท่วม หรือภัยศึกสงครามยังรีบมารับผู้สมัครที่ดูดมา ใส่เสื้อชูมือ

ส่วนพรรคประชาชนก็เป็น ”ละอ่อนทางการเมือง” ไร้ประสบการณ์

ไม่รู้จักการเมืองดีพอ แต่ส้มหล่นลงมือได้คะแนนมากเกินไป เพราะหาเสียงเก่ง

เปรียบเสมือนเด็บจบใหม่ไปสมัครงานพูดจาหน่วยก้านดี แต่พอให้ไปทำงานจริงกลับทำไม่เป็นท่า ไม่ได้เรื่องอย่างที่หวัง

เพราะขาดประสบการณ์อันถือเป็นเรื่องสำคัญสูงสุดในทุกงาน

ท้ายสุดในเรื่องนี้สอนให้ประชาชนรู้มากอย่างพวกเราได้เห็นว่า

ทั้งสองพรรคเป็นตัวเลือกให้ประชาชนในการเลือกตั้งครั้งหน้าไม่ได้

เพราะยึดเอา ”พรรคมากกว่าชาติ“

ประชาชนอย่างพวกเราจึงต้องโหวตสวน

ไม่สามารถไว้วางใจได้ทั้งสองพรรค

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

โพสต์ของนาย ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ทำให้โลกออนไลน์ถึงกับเดือดระอุเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองไทยในขณะนี้ที่รัฐบาลได้มีการยุบสภาเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว ชาวเน็ตจำนวนมากต่างเข้ามาคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นกันยกใหญ่เกี่ยวกับโพสต์ของนาย ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ 

ชูวิทย์

ชูวิทย์

ชูวิทย์

ขอขอบคุณภาพจาก เฟซบุ๊ก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top