วันอาทิตย์ ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2568
โหดร้าย-ไร้มนุษยธรรม
‘เขมร’ป่าเถื่อน
ยิงBM-21ใส่พื้นที่พลเรือน
ชาวกันทรลักษ์เจ็บ4ราย
รบ.ไทยประณามรุนแรง
ทหารกัมพูชาระดมยิงจรวด BM-21 พื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ถล่มบ้านเรือนที่กันทรลักษ์ทำให้ประชาชนบาดเจ็บ 4 ราย รัฐบาลไทยประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำอันโหดร้ายและไร้มนุษยธรรมของฝ่ายกัมพูชา ที่มุ่งเป้าโจมตีปี่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ละเมิดหลักกฎหมายมนุษยธรรมร้ายแรง ยันจะใช้ทุกกลไกเพื่อปกป้องชีวิตประชาชน
เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2568 มีรายงานสถานการณ์เหตุการปะทะและโจมตีพื้นที่พลเรือนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ
ล่าสุด เมื่อเวลา 10.00น. เพจเฟซบุ๊ก Army Military Force รายงานว่า ทหารกัมพูชาระดมยิงจรวด BM-21 โจมตีบ้านเรือนชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เบื้องต้น มีรายงานว่า ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยถึงปานกลางจำนวนหลายราย
เขมรยิงBM-21ปชช.เจ็บสาหัส4ราย
ต่อมา กองทัพบก ได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2ว่าฝ่ายกัมพูชาได้ใช้อาวุธจรวด BM-21 ยิงตกเข้ามาในพื้นที่พลเรือน บริเวณด้านหน้าบังเกอร์หลบภัย หมู่ที่ 1 ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนซึ่งได้ยินเสียงแจ้งเตือนและกำลังวิ่งเข้าหลบภัยในบังเกอร์หลบภัย ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด มีอาการสาหัส 2 ราย ได้แก่ 1. นายแก้ว กินนรา แขนขวาหัก 2. นายรำไพ สุวรรณศิลป์ ได้รับแรงกระแทกที่ศีรษะและมีเลือดออกในสมอง
กองทัพบกได้บูรณาการร่วมกับฝ่ายปกครองและสาธารณสุขในพื้นที่ เร่งนำผู้บาดเจ็บทั้งหมดส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ส่วนผู้บาดเจ็บอีก 2 ราย คือ นายคมสัน ศรีอ้วน โดนสะเก็ดระเบิดบริเวณหลังคอ และ นายเสรี ปัถอินทรี มีอาการบวมที่ศรีษะ เนื่องจากโดนสะเก็ดระเบิด ได้เร่งนำส่ง รพ.ศรีรัตนะ
ทบ.ประณามเขมรยิงBM-21ใส่พลเรือน
กองทัพบก ขอประณามการกระทำของกำลังทหารกัมพูชาอย่างรุนแรง ต่อเวทีประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นหลักฐานชัดเจนถึงการใช้อาวุธโจมตีใส่พื้นที่พลเรือนซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหารของกัมพูชา ละเมิดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์
รบ.ไทยประณามโหดร้ายไร้มนุษยธรรม
ขณะที่ ทางศูนย์แถลงข่าวร่วม สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ได้เผยแพร่เอกสารข่าวรัฐบาลไทยประณามการกระทำของฝ่ายกัมพูชาที่ยิงจรวด BM-21 มุ่งเป้าที่ประชาชนคนไทยผู้บริสุทธิ์ ความว่ารัฐบาลไทยขอประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำอันโหดร้ายและไร้มนุษยธรรมของ ฝ่ายกัมพูชา จากการใช้อาวุธจรวด BM-21 ยิงตกเข้ามาในพื้นที่พลเรือนในเขตแดนไทย บริเวณด้านหน้า บังเกอร์หลบภัย หมู่ที่ 1 ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งส่งผลให้ประชาชน ผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บสาหัส สูญเสียอวัยวะ ทรัพย์สินเสียหายและก่อให้เกิดความหวาดกลัวต่อ ความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน
ละเมิดหลักกฎหมายมนุษยธรรมร้ายแรง
การโจมตีดังกล่าวเป็นการกระทำที่ละเมิดหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ อย่างร้ายแรง โดยเฉพาะหลักการคุ้มครองพลเรือน (Principle of Civilian Protection) และหลักการจำแนก เป้าหมายทางทหารและพลเรือน (Principle of Distinction) ซึ่งเป็นพันธกรณีที่รัฐทุกประเทศต้องยึดถือ ประเทศไทย ขอยืนยันว่าพลเรือนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหารใดๆและการใช้อาวุธโจมตีพื้นที่พลเรือนเช่นนี้ ไม่อาจยอมรับได้ ภายใต้ หลักสากลรัฐบาลไทยเรียกร้องให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง 1. ยุติการใช้กำลังต่อพลเรือนโดยทันที 2. เคารพพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศและหลักมนุษยธรรม 3. แสดงความรับผิดชอบต่อความสูญเสีย ที่เกิดขึ้นกับประชาชนผู้บริสุทธิ์
ยืนยันจะปกป้องชีวิตความปลอดภัย
ประเทศไทยขอยืนยันว่าจะใช้ทุกกลไกที่มีอยู่ในการดำเนินการภายใต้กรอบที่เหมาะสม เพื่อปกป้องชีวิต ความปลอดภัย และศักดิ์ศรีของประชาชนไทย พร้อมทั้งขอเรียกร้องต่อประชาคมโลก ให้ร่วมกันติดตาม ตรวจสอบ และยืนหยัดปกป้องหลักมนุษยธรรมอย่างถึงที่สุด
กต.เร่งประสานช่วยคนไทยถูกกักตัว
นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์เมื่อเวลา22.20น.วันที่ 12ธ.ค.ที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงกรณีการช่วยเหลือคนไทยที่ติดค้างอยู่ในปอยเปต ประเทศกัมพูชา ว่า เราก็ประสานผ่านช่องทางต่างๆ รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของมาเลเซีย ให้ช่วยพูดคุยกับทางฝั่งกัมพูชา และฝ่ายทหารมาเลเซียก็ช่วยพูดคุยกับฝ่ายทหารของกัมพูชา เมื่อถามว่า ครอบครัวของผู้ติดค้าง กังวลว่าจะไม่ได้กลับมา นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้จะต้องแยกระหว่างความขัดแย้งเหตุการณ์ และการสู้รบกับเรื่องของคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือพลเรือน ซึ่งจะต้องแยกออกมา เพราะเป็นเรื่องของมนุษยธรรม เพราะคนกัมพูชาที่อยากจะกลับประเทศไป
ตอกย้ำเป็นพลเรือนไม่ใช่ทหาร
“เราก็พร้อมจะเปิดชายแดนเพื่อให้เขากลับไป ซึ่งเราก็หวังว่าฝ่ายกัมพูชา ก็จะเปิดชายแดนให้คนไทยที่อยากจะกลับได้กลับมา เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง เขาไม่ใช่ทหาร เขาเป็นพลเรือน”นายสีหศักดิ์ กล่าว
เมื่อถามว่า หากฝ่ายกัมพูชายังไม่มีการปล่อยตัวออกมา รัฐบาลไทยจะมีมาตรการใดหรือจะมีการประท้วงอย่างไรหรือไม่ นายสีหศักดิ์ ระบุว่า เราก็คงขอให้เขาทำต่อไป จนกระทั่งเราไม่มีทางเลือกอื่น และก็ต้องดู แต่เราก็จะใช้วิธีการพูดคุย ทั้งทางตรง และผ่านช่องทางต่างๆ เพราะเป็นเรื่องของคนไทย เป็นเรื่องของมนุษยธรรม และเรื่องความปลอดภัยของพลเรือน
เผยเขมรเบี้ยวปล่อยคนไทยกลับ
ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ แถลงว่ามีประเด็นที่มีความห่วงใยมากๆคือ มีคนไทยที่ติดอยู่ที่ด่านปอยเปตและอยากกลับเข้ามาฝั่งไทยด้วยความไม่มั่นใจในเรื่องความปลอดภัย ซึ่งเรื่องนี้ในส่วนของไทยเราให้ชาวกัมพูชาที่อยากกลับไปเดินทางกลับไปหมดแล้ว เราไม่มีปัญหาแต่ตอนนี้ปัญหาคือกัมพูชาไม่ยอมให้คนไทยกลับมาทั้งที่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความขัดแย้งที่ประสบอยู่ขณะนี้แต่เป็นเรื่องมนุษยธรรม
“และที่น่าเสียใจคือเดิมทีเราคุยกันแล้วว่าการเปิดด่านในช่วงบ่ายวันนี้ (13ธ.ค.)ตั้งแต่เวลา13.00น.ถึง16.00น.ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา แต่ฝ่ายกัมพูชากลับขอเลื่อนไปก่อนและในโพสต์ของทางนายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้มีการกล่าวว่าระงับการเดินทางทั้งหมดในการข้ามเขตแดนซึ่งเรื่องนี้ชัดเจนในแง่ที่ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยธรรมภายใต้กติการะหว่างประเทศทั้งหลาย โดยเฉพาะกติกากฎหมายสิทธิมนุษยชน กฎหมายหลักสิทธิมนุษยธรรมระหว่างประเทศ”รมว.ต่างประเทศ ระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี