วันพุธ ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2568
กกต.ยันพร้อมทำประชามติวันเลือกตั้ง แต่รอรัฐบาลประกาศวันชัดเจน เตือนพรรค-ผู้สมัครหาเสียงแก้รัฐธรรมนูญได้ แต่ห้ามชี้ควรเห็นชอบ-ไม่เห็นชอบ ส่วนเวทีประชามติห้ามหาเสียง ล้ำเส้นเสี่ยงผิดกม.
วันที่ 17 ธันวาคม 2568 นายแสวง บุญมี เลขาธิการกกต. กล่าวถึงการจัดทำประชามติ ว่า วานนี้ (16 ธ.ค.) รัฐบาลได้ส่งหนังสือเรื่องการขอให้กกต.จัดทำประชามติ มาถึงกกต. ตามมาตรา 15 ของพ.ร.บ.งประชามติ 2564 โดยมีรายละเอียด 5 เรื่อง เช่น เหตุผลความจำเป็น สาระสำคัญของเรื่องที่จะทำประชามติ งบประมาณ ตามกฎหมายกำหนดเพื่อให้กกต. เตรียมเอกสารที่จะส่งให้กับประชาชน ซึ่งยังถือว่ากระบวนการประชามติยังไม่เริ่ม 100% ต้องรออีก 15 วัน ที่กฎหมายกำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ประกาศวันออกเสียงประชามติ ซึ่งจะตรงกับวันเลือกตั้งที่ 8 ก.พ.หรือไม่ขึ้นอยู่กับรัฐบาล แต่โดยกฎหมายและการบริหารของกกต. สามารถทำประชามติในวันเดียวกันกับวันเลือกตั้งได้ และกกต. ได้ให้ข้อมูลนี้กับรัฐบาลไปแล้วในวันที่มีการหารือร่วมกัน ดังนั้นกกต. พร้อม แต่อยู่ที่รัฐบาลจะคิดอย่างไร ตอบแทนไม่ได้
นายแสวง ยังอธิบายถึงการหาเสียงเลือกตั้ง และการรณรงค์การออกเสียงประชามติ ว่า การหาเสียงคือการที่พรรคหาคะแนนนิยมเพื่อให้ประชาชนเลือกผู้สมัคร หรือพรรคของตัวเอง แต่การทำประชามติคือการให้ข้อมูลความรู้ สาระสำคัญของประเด็นที่จะทำประชามติเพื่อให้ประชาชนพิจารณาว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ซึ่งหน่วยงานที่จะให้กกต.จัดทำประชามติได้ส่งข้อมูล มาให้กกต.เพื่อเผยแพร่ให้กับประชาชนแล้วตามมาตรา 15 และอีกส่วนคือการจัดให้มีการแสดงความคิดเห็นทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ซึ่งก็จะใช้ระยะเวลาอีกช่วงหนึ่งในการดำเนินการ
"จริงๆประเด็นหาเสียง เป็นการเสนอแนวทางและนโยบายว่าพรรคจะทำอะไร แต่เมื่อขึ้นเวทีประชามติเรื่องการแสดงความคิดเห็น เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เราต้องพูดเฉพาะเนื้อหา ไม่ใช่การหาเสียง ซึ่งมันต้องแยกกันให้ชัด และในข้อมูลที่ครม.ส่งมาตามมาตรา 15 ต้องไม่เป็นการชี้นำ ต้องเป็นกลาง ซึ่งการจัดเวทีแสดงความคิดเห็นกกต. ก็ต้องจัดให้ทัดเทียมกันทั้งฝ่ายเห็นด้วย แล้วไม่เห็นด้วย"
เมื่อถามว่าผู้สมัคร และพรรคการเมืองสามารถแสดงความคิดเห็นได้แต่ชี้นำว่าควรเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบไม่ได้ใช่หรือไม่ นายแสวง กล่าวว่า การแสดงความคิดเห็นมันชี้นำอยู่แล้ว ซึ่งข้อมูลที่รัฐบาลส่งมา หรือที่สภาทำส่งมาให้ ข้อมูลนี้ชี้นำไม่ได้ เวลาที่ให้ข้อมูลกับประชาชนฝ่ายที่เห็นชอบก็จะให้ข้อมูลโน้มน้าวให้ประชาชนเห็นตามเขา ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็จะต้องให้ข้อมูลโน้มน้าวไปอีกทางหนึ่ง ดังนั้นในส่วนของประชามติจะมี 2 ส่วน คือส่วนของข้อมูลและส่วนของความคิดเห็น ซึ่งเป็นอย่างนี้ทั่วโลกส
ส่วนการหาเสียงเลือกตั้ง ผู้สมัครพรรคการเมืองสามารถนำประเด็นประชามติไปหาเสียงได้ แต่ถ้าเป็นเวทีของการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำประชามติ ในหนังสือที่ครม.ส่งมาให้กกต.ระบุว่า ให้กสทช.ดูแลสื่อของรัฐและสื่อเอกชน จัดให้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างเท่าเทียมกัน สำนักงานฯก็จะทำความเข้าใจเรื่องนี้กับสื่อและประชาชนไปพร้อมกัน
เมื่อถามว่าในเวทีปราศรัยหาเสียงของพรรคสามารถบอกเลยได้หรือไม่ว่าประชาชนควรจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับประเด็นที่ประชามติ นายแสวง กล่าวว่า พรรคสามารถบอกได้ว่ามีนโยบายเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ เพราะเป็นการหาเสียง แต่ในเวทีประชามติคนที่พูดไม่ใช่พรรค หากอยากพูดก็ต้องไปลงทะเบียน เป็นฝ่ายเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ซึ่งมันใช้กฎหมายคนละฉบับ ดังนั้นการหาเสียงของพรรคจึงทำได้เพียงสามารถเสนอว่าพรรคมีนโยบายเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร แต่ไม่ใช่ไปบอกว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ เพราะถ้าทำเช่นนั้นมันจะเป็นเรื่องของการทำประชามติไปแล้ว และในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วก็มีการเสนอนโยบายเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญมาหาเสียงซึ่งก็ไม่ผิดกฎหมาย ขึ้นอยู่กับประชาชนว่าจะเลือกหรือไม่เลือก แต่ถ้าไปตั้งเวทีรณรงค์ว่ามีการเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เป็นเรื่องของกฎหมายประชามติ
ตอนนี้พรรคการเมืองจึงต้องระมัดระวัง พรรคจึงหาเสียงว่า จะแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่แก้รัฐธรรมนูญได้ แต่จะไปพูดว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบเพราะมันดีอย่างนั้นอย่างนี้นั้นไม่ได้ และถ้าหากมีการล้ำเส้นก็จะมีโทษตามกฎหมาย
"ผู้สมัครและพรรคต้องระวังต้องคิดว่าขณะที่พูดๆในเวทีกรอบกฎหมายเลือกตั้งหรือในกรอบการทำประชามติ ถ้าพูดในกรอบประชามติต้องไปลงทะเบียน ว่าเป็นฝ่ายเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เนื่องจากมันมีเวทีให้แสดงความคิดเห็นอยู่ แต่ถ้าพูดในฐานะสส.มันเปิดกว้าง พูดอย่างไรก็ได้ แต่อย่าไปพูดว่าควรเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ มันจะข้ามไปกฎหมายการทำประชามติ"
นายแสวง ยังกล่าวถึงครม.เตรียมหารือในเรื่องคำถามที่จะทำประชามติว่าจะใช้คำถามที่รัฐสภาส่งผ่านครม. หรือครม.เป็นผู้คิดคำถาม ว่า กกต.ขอเวลาดูรายละเอียดหนังสือที่ครม.ส่งมาก่อน แต่โดยหลักกฎหมายแล้วเป็นอำนาจของหน่วยงานที่ส่งเรื่องมาให้ทำประชามติ ไม่ใช่กกต.เป็นผู้เลือกคำถาม ซึ่งยังไม่ขอตอบว่าครม.ส่งคำถามมาตามวงเล็บไหนของกฎหมายประชามติ ส่วนงบประมาณในการจัดทำประชามติถ้าไม่รวมกับการจัดการเลือกตั้ง จะใช้ใกล้เคียงกันเพราะผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีจำนวน 53 ล้านคนซึ่งถ้าแยกกันทำก็จะรวมประมาณหมื่นล้านบาท แต่ถ้าจัดพร้อมกันก็จะอยู่ที่ 8 พันล้านบาท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี