วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2568
วันนี้ 23 ธันวาคม 2568 เวลา 10.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ขอถอนร่างพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ถอนร่างพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ฉบับที่.) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอได้
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยในคราวการประชุมคณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 มีมติให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนถอน ร่างพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ฉบับที่..) พ.ศ. .... เพื่อนำกลับมาทบทวนความเหมาะสมให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลปัจจุบันและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับการบรรเทาผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่มเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพทำให้ประเทศไทยยังคงมีความสามารถในการแข่งขันเพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจึงขอถอนร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
2.เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการประกันความรับผิดของผู้ขนส่งที่ดำเนินการรับขนทางอากาศ (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการประกันความรับผิดของผู้ขนส่งที่ดำเนินการรับขนทางอากาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วและให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของเรื่อง
1. โดยที่พระราชบัญญัติการรับขนทางอากาศระหว่างประเทศ พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 6 บัญญัติให้ผู้ขนส่งที่ดำเนินการรับขนทางอากาศภายใน เข้ามาในหรือออกไป
นอกราชอาณาจักรต้องจัดให้มีการประกันสำหรับความรับผิดของผู้ขนส่งตามพระราชบัญญัตินี้ โดยให้
การประกันเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งปัจจุบันเป็นไปตามกฎกระทรวงการประกันความรับผิดของผู้ขนส่งที่ดำเนินการรับขนทางอากาศ พ.ศ. 2562 ที่กำหนดไว้ในข้อ 3 วรรคสองว่า ในกรณีที่ผู้ขนส่งเป็นผู้ประกอบการรับจัดการขนส่งของทางอากาศที่ออกใบตราส่งทางอากาศ โดยตนเอง (House Air Waybill) ให้จำนวนเงินเอาประกันภัยสำหรับความรับผิดของผู้ขนส่งในกรมธรรม์ต้องเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท
2. ต่อมาได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเกณฑ์จำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งตามกฎหมายว่าด้วยการรับขนทางอากาศระหว่างประเทศ พ.ศ. 2568 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์จำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งในกรณีต่าง ๆ ให้สูงขึ้น ได้แก่ กรณีคนโดยสารถึงแก่ความตายหรือได้รับบาดเจ็บ กรณีการล่าช้าในการรับขนคนโดยสาร กรณีสัมภาระถูกทำลาย สูญหายเสียหายหรือล่าช้า และกรณีของที่ขนส่งถูกทำลาย สูญหาย เสียหายหรือล่าช้า เพื่อให้สอดคล้องกับการที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) ในฐานะผู้เก็บรักษาอนุสัญญา (Depository) ของอนุสัญญาเพื่อการรวบรวมกฎเกณฑ์บางประการเกี่ยวกับการรับขนระหว่างประเทศทางอากาศ ซึ่งทำขึ้น ณ เมืองมอนตริออล เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 (ประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญาฯ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม2560) มีการทบทวนเกณฑ์จำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งตามอนุสัญญาฯ ตามรอบระยะเวลา 5 ปี (ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2019 ถึง ค.ศ. 2023) โดยอ้างอิงตามอัตราเงินเฟ้อสะสม ซึ่งตามกฎกระทรวงการประกันความรับผิดของผู้ขนส่งฯ พ.ศ. 2562 กำหนดให้จำนวนเงินเอาประกันภัยสำหรับความรับผิดของผู้ขนส่งในกรมธรรม์ประกันภัยต้องเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าเกณฑ์จำกัดความรับผิดตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการรับขนทางอากาศระหว่างประเทศด้วยแล้ว ดังนั้น ผู้ขนส่งย่อมต้องจัดทำประกันภัยสำหรับความรับผิดของตนเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเกณฑ์จำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งฯ พ.ศ. 2568
3. คค. จึงได้จัดทำร่างกฎกระทรวงการประกันความรับผิดของผู้ขนส่งที่ดำเนินการรับขนทางอากาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อเพิ่มเติมจำนวนเงินเอาประกันภัยสำหรับความรับผิดของผู้ขนส่งของ (สินค้า) ในกรณีที่ผู้ขนส่งเป็นผู้ประกอบการรับจัดการขนส่งของทางอากาศที่ออกใบตราส่งทางอากาศ
โดยตนเอง และกำหนดครอบคลุมถึงกรณีให้ผู้อื่นออกใบตราส่งแทน เพื่อให้ครอบคลุมถึงกรณีในทางปฏิบัติที่ผู้ประกอบการรับจัดการขนส่งของทางอากาศไม่ได้ออกใบตราส่งทางอากาศด้วยตนเอง แต่มอบอำนาจให้ผู้ขนส่งหรือบริษัท ที่เป็นคู่สัญญารับขนทางอากาศ (Contractual Carrier) เป็นผู้ออกเอกสารใบตราส่งสินค้าแทนอีกประมาณร้อยละ 36.841 จากกฎกระทรวงการประกันความรับผิดของผู้ขนส่งฯ พ.ศ. 2562 เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์จำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งตามพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเกณฑ์จำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งฯ พ.ศ. 2568 ดังนี้
|
กฎกระทรวงเดิม |
ร่างกฎกระทรวงที่เสนอ |
|
ข้อ 3 จำนวนเงินเอาประกันภัยสำหรับความผิดของ ผู้ขนส่งในกรมธรรม์ประกันภัยตามข้อ 2 ต้องเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าเกณฑ์จำกัดความรับผิดตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการรับขนทางอากาศ ระหว่างประเทศ ในกรณีที่ผู้ขนส่งเป็นผู้ประกอบการรับจัดการขนส่งของทางอากาศที่ออกใบตราส่งทางอากาศโดยตนเอง (House Air Waybill) ให้จำนวนเงินเอาประกันภัยสำหรับความรับผิดของผู้ขนส่งในกรมธรรม์ประกันภัยตามข้อ 2 ต้องเป็นจำนวน |
ข้อ 3 จำนวนเงินเอาประกันภัยสำหรับความผิดของ ผู้ขนส่งในกรมธรรม์ประกันภัยตามข้อ 2 ต้องเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าเกณฑ์จำกัดความรับผิดตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการรับขนทางอากาศ ระหว่างประเทศ (คงเดิม) ในกรณีที่ผู้ขนส่งเป็นผู้ประกอบการรับจัดการขนส่งของทางอากาศที่ออกใบตราส่งทางอากาศโดยตนเอง (House Air Waybill) หรือให้ผู้อื่นออกใบตราส่งแทนให้จำนวนเงินเอาประกันภัยสำหรับความรับผิดของผู้ขนส่งในกรมธรรม์ประกันภัยตามข้อ 2 ต้องเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า สิบห้าล้านบาท |
4. คค. (กพท.) ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผู้ที่จะอยู่ภายใต้บังคับของ ร่างกฎกระทรวงดังกล่าว (ผู้ประกอบการขนส่งทางอากาศ) ผ่านเว็บไซต์ของ กพท. และระบบกลางทางกฎหมาย www.law.go.th ด้วยแล้ว
5. ประโยชน์และผลกระทบ
5.1 ผู้ขนส่งที่เป็นผู้ประกอบการรับจัดการขนส่งของทางอากาศที่ออกใบตราส่งทางอากาศโดยตนเอง หรือให้ผู้อื่นออกใบตราส่งแทนจะสามารถบริหารจัดการและแบ่งเบาความเสี่ยงด้วยการประกันภัยความรับผิดของตนให้สูงขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมค่าเสียหาย ที่ตนอาจจะต้องชดใช้ให้แก่ผู้ใช้บริการที่ได้รับความเสียหายจากการดำเนินการรับขนทางอากาศของตนสำหรับประเด็นการเพิ่มต้นทุนนั้น กพท. ได้สอบถามไปยังสมาคมตัวแทนขนส่งสินค้าทางอากาศไทย (Thai Airfreight Forwarder Association: TAFA) ได้รับการยืนยันแล้วว่าการกำหนดให้เพิ่มจำนวนเงินเอาประกันภัยสำหรับความรับผิดของผู้ขนส่งตามร่างกฎกระทรวงฉบับนี้จะไม่ก่อให้เกิดภาระด้านต้นทุนมากจนเกินสมควรแก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย
5.2 ผู้ใช้บริการการรับขนของ (สินค้า) ทางอากาศจะมีหลักประกันว่าจะได้รับการชดเชยความเสียหายอย่างเหมาะสมกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจและเป็นธรรมมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค (Aviation Hub) อีกด้วย
_____________
1 ร้อยละ 36.84 คือ อัตราส่วนร้อยละของเกณฑ์จำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งของ ในกรณีความเสียหายที่เกิดจากการที่ของถูกทำลาย สูญหาย หรือเสียหาย หรือกรณีล่าช้าในการรับขนของ จากเดิมที่จำนวน 19 SDR ต่อหนึ่งกิโลกรัม ตามกฎกระทรวงการประกันความรับผิดของผู้ขนส่งที่ดำเนินการรับขนทางอากาศ พ.ศ. 2562 จนเมื่อเกณฑ์จำกัดความรับผิดในกรณีดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 26 SDR ต่อหนึ่งกิโลกรัม ตามพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเกณฑ์จำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งตามกฎหมายว่าด้วยการรับขนทางอากาศระหว่างประเทศ พ.ศ. 2568 มาตรา 4 (4) กำหนดให้เกณฑ์จำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งตามมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติการรับขนทางอากาศระหว่างประเทศ พ.ศ. 2558 ในกรณีที่ของถูกทำลาย สูญหาย หรือเสียหาย หรือในกรณีล่าช้าให้เปลี่ยนแปลงเป็น 26 SDR ต่อหนึ่งกิโลกรัม (1 SDR = 1.33 ดอลลาร์สหรัฐ) Special Drawing Rights (SDR) คือ หน่วยสิทธิเพิกถอนเงินตามกฎหมายว่าด้วยการให้อำนาจและกำหนดการปฏิบัติบางประการเกี่ยวกับสิทธิพิเศษถอนเงินในกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษในช่วงเทศกาลปีใหม่ของปี พ.ศ. 2569)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่ ..)พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
สาระสำคัญ
1. ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษในช่วงเทศกาลปีใหม่ของปี พ.ศ. 2569) ที่กระทรวงคมนาคมเสนอ มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร -บ้านฉางตอนกรุงเทพมหานคร - เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 34 (บางวัว) ทางแยกเข้าชลบุรี ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง ทางแยกเข้าพัทยา และตอนบ้านหนองปรือ – บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3 (บ้านอำเภอ) และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนพระประแดง - บางแค ช่วงพระประแดง – ต่างระดับบางขุนเทียน และตอนบางปะอิน - บางพลี ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันอังคารที่ 30 ธันวาคม 2568 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันจันทร์ที่ 5 มกราคม 2569 รวม 7 วัน เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการเดินทางบนทางหลวงพิเศษในช่วงเทศกาลปีใหม่และช่วยสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเดินทางได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นทำให้การจราจรมีความคล่องตัว รวมทั้งเป็นการลดการใช้พลังงานของประเทศ
2. กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว โดยจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการแก้ไขปัญหาการจราจรบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงหยุดเทศกาลปีใหม่ของปี พ.ศ. 2569 โดยการยกเว้นค่าธรรมเนียมผ่านทางระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 – วันที่ 5 มกราคม 2569 กระทรวงคมนาคมชี้แจงว่าจะทำให้กองทุนหมุนเวียนค่าธรรมเนียมผ่านทางสูญเสียรายได้ประมาณ 185.35 ล้านบาท [เงินค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ที่จัดเก็บได้กรมทางหลวงได้รับยกเว้นไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินโดยนำส่งเป็นเงินนอกงบประมาณ (ทุนหมุนเวียน)] ซึ่งไม่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณแผ่นดิน หรือภาระทางการคลังในอนาคต และไม่เข้าข่ายเป็นการดำเนินการที่มีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ตามมาตรา 169 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี (16 ธันวาคม 2568) เรื่อง แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร อย่างไรก็ตาม การยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจโดยสามารถประเมินเป็นมูลค่าเงินได้ประมาณ 280.34 ล้านบาท ซึ่งประเมินจากมูลค่าการประหยัดค่าใช้จ่ายจากการใช้รถและมูลค่าจากการประหยัดเวลาในการเดินทาง รวมทั้งยังมีผลประโยชน์ทางอ้อมที่ไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าเงินได้รวมอยู่ด้วยจากการที่ประชาชนนำเงินที่ไม่ได้เสียจากการจัดเก็บค่าธรรมเนียม ผ่านทางบนทางหลวงพิเศษไปใช้จ่ายในส่วนอื่น ๆ ตลอดจนเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศประมาณ 256 ล้านบาท
เศรษฐกิจ-สังคม
4. เรื่อง ขอขยายระยะเวลาผูกพันวงเงินโครงการสลากการกุศลตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2565
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขยายระยะเวลาผูกพันวงเงินโครงการศูนย์วิทยาการเวชศาสตร์ผู้สูงอายุระดับชาติ (โครงการศูนย์วิทยาการเวชศาสตร์ฯ) ระยะที่ 2 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล (คณะแพทยศาสตร์ศิริราชฯ) โดยขยายระยะเวลาผูกพันวงเงินถึงเดือนมกราคม 2569 ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
เรื่องเดิม
คณะรัฐมนตรีมีมติ 26 กรกฎาคม 2565) ดังนี้
1. เห็นชอบให้มีการออกสลากการกุศลเพื่อสนับสนุนโครงการที่ขอรับการสนับสนุนเงินจากโครงการสลากการกุศล (โครงการที่ขอรับการสนับสนุนฯ) (โครงการสลากฯ) ซึ่งผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากฯ (คณะกรรมการฯ) แล้ว จำนวน 16 โครงการ วงเงิน 8,239.93 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงโครงการศูนย์วิทยาการเวชศาสตร์ฯ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชฯ วงเงิน 349.66 ล้านบาท ด้วย
2. มอบหมายให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (สำนักงานสลากฯ) เป็นผู้จัดพิมพ์ จัดจำหน่าย และจ่ายเงินรางวัลสลากการกุศล และประสานงานกับหน่วยหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ขอรับการสนับสนุน เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการออกสลากการกุศล การขออนุญาตการออกสลากการกุศล และการนำส่งเงินให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ขอรับการสนับสนุนฯ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ โดยให้ผู้รับใบอนุญาตการออกสลากการกุศลเสียภาษีการพนันเหลือร้อยละ 0.5 แห่งยอดราคาสลากซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่ายตามข้อ 12 (4) ของกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2503)
3. มอบหมายให้คณะกรรมการฯ ดำเนินการ ดังนี้
3.1 กำหนดระยะเวลาในการผูกพันวงเงินของโครงการที่ขอรับการสนับสนุนฯ และหากหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ขอรับการสนับสนุนฯ ไม่สามารถผูกพันวงเงินได้ตามกำหนด ให้ยกเลิกวงเงินดังกล่าวหรือให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาขยายระยะเวลาในการดำเนินโครงการดังกล่าว
3.2 เปลี่ยนแปลงรายละเอียดการใช้เงินภายในโครงการที่ขอรับการสนับสนุนฯ โดยจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงเป็นกิจกรรมที่แตกต่างจากโครงการที่ขอรับการสนับสนุนฯ ที่ได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ
3.3 กรณีมีวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรี (20 กรกฎาคม 2564) คงเหลือจากที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ให้คณะกรรมการฯ พิจารณากลั่นกรองโครงการที่ขอรับการสนับสนุนฯ ที่ได้จัดส่งข้อเสนอมาแล้ว โดยให้พิจารณาถึงประโยชน์แก่ประชาชนและสังคมอย่างทั่วถึงในวงกว้าง รวมทั้งความพร้อมและความจำเป็นของโครงการที่ขอรับการสนับสนุนฯ และให้เสนอ กค. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพิ่มเติมโครงการที่ขอรับการสนับสนุนฯ ที่จะได้รับการสนับสนุนต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กค. รายงานว่า ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 และ 26 กรกฎาคม 2565 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชฯ ไม่สามารถทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันวงเงินโครงการศูนย์วิทยาการเวชศาสตร์ฯ ระยะที่ 2 ได้ตามระยะเวลาที่กำหนด (ครบกำหนดวันที่ 26 กรกฎาคม 2567) เนื่องจากโครงการศูนย์วิทยาการเวชศาสตร์ฯ ดังกล่าว มีการปรับแบบอาคารผู้ป่วยในหลังที่ 2 ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้น เพื่อให้ประชาชน
ผู้รับบริการได้รับประโยชน์สูงสุด ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม รวมถึงทำให้การดำเนินการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติไว้ คณะกรรมการฯในคราวการประชุมครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน) ได้มีมติเห็นชอบการขยายระยะเวลาผูกพันวงเงินโครงการศูนย์วิทยาการเวชศาสตร์ฯ ระยะที่ 2 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชฯ โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการฯ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขยายระยะเวลาผูกพันวงเงินถึงเดือนมกราคม 2569 ตามที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชฯ เสนอ
5. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่าย โครงการ “รถตรวจสอบยานพาหนะด้วยระบบเอกซเรย์ แบบส่องผ่านและแบบสะท้อนกลับ (Z-Backscatter & Transmission Vehicle)” จำนวน 3 คัน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนเงิน 846 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ “รถตรวจสอบยานพาหนะด้วยระบบเอกซเรย์ แบบส่องผ่านและแบบสะท้อนกลับ (Z-Backscatter & Transmission Vehicle)” จำนวน 3 คัน ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว
สาระสำคัญของเรื่อง
ตร. รายงานว่า
ปัจจุบันพื้นที่ภาคเหนือตอนบนที่อยู่ในความรับผิดชอบของตำรวจภูธรภาค 5 ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดสำคัญ ทั้งยาบ้า ไอซ์ และเฮโรอีน จึงก่อให้เกิดปัญหาด้านยาเสพติด ประกอบกับการค้ามนุษย์ การลักลอบเข้าเมืองทำให้ปัญหาการก่ออาชญากรรมทวีความรุนแรงขึ้น รวมทั้งได้สร้างความเดือดร้อนต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทั่วไป โดยรูปแบบในการกระทำความผิดในพื้นที่รับผิดชอบ ส่วนใหญ่คือ การลักลอบและซุกซ่อนสิ่งผิดกฎหมายต่าง ๆ ไว้ในยานพาหนะเพื่อหลบหลีกสายตาและการตรวจตราของเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม ตำรวจภูธรภาค 5 ยังขาดแคลนอุปกรณ์ที่จะช่วยในการตรวจสอบการลักลอบขนส่งสิ่งผิดกฎหมายภายในยานพาหนะ เช่น ยาเสพติด วัตถุระเบิด อาวุธ และการลักลอบหนีเข้าประเทศหรือค้ามนุษย์ หากมีเครื่องมืออุปกรณ์พิเศษรถเอกซเรย์จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถและความแม่นยำในการค้นหาและตรวจสอบยานพาหนะที่ต้องสงสัย อีกทั้งยังสามารถเคลื่อนย้ายไปใช้งานยังพื้นที่ต่าง ๆ ที่ต้องการรักษาความปลอดภัยได้ เช่น ตามแนวชายแดน สถานที่จัดงานพิธีสำคัญต่าง ๆ และตามท่าเรือกรมศุลกากร จึงทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงพื้นที่ปฏิบัติการได้อย่างครอบคลุม รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถด้านการสืบสวนและปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมต่าง ๆ
2. เพื่อให้การสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนให้บรรลุผล ครอบคลุม และเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ตร. จึงได้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ “รถตรวจสอบยานพาหนะด้วยระบบเอกซเรย์ แบบส่องผ่านและแบบสะท้อนกลับ (Z-Backscatter & Transmission Vehicle)” จำนวน 846 ล้านบาท จำนวน 3 คัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำมาใช้ในการตรวจค้นหายาเสพติด วัตถุอันตรายและสิ่งผิดกฎหมายต่าง ๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในยานพาหนะที่สัญจรผ่านในพื้นที่ และยังสามารถเคลื่อนย้ายไปใช้งานตามสถานที่ต่าง ๆ เสริมประสิทธิภาพในการตรวจสอบ รวมถึงยับยั้งภัยคุกคามได้อย่างครอบคลุมในทุกพื้นที่อันเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวกำหนดให้ผู้ประกอบการยื่นข้อเสนอในวันที่ 5 มกราคม 2569 และกำหนดลงนามในสัญญาวันที่ 29 มกราคม - 4 กุมภาพันธ์ 2569 โดยรถที่จัดหามาจะจ่ายให้หน่วยในสังกัดตำรวจภูธรภาค 5 (จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดลำปาง จำนวนหน่วยละ 1 คัน) เป็นหน่วยรับผิดชอบควบคุมดูแล
3. สำนักงบประมาณ (สงป.) แจ้งว่า นายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นชอบให้ ตร. ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 846 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับดำเนินโครงการ “รถตรวจสอบยานพาหนะด้วยระบบเอกซเรย์ แบบส่องผ่านและแบบสะท้อนกลับ (Z-Backscatter & Transmission Vehicle)” จำนวน 3 คัน โดยเบิกจ่ายในงบลงทุน โดยให้ ตร. ได้ตรวจสอบคุณลักษณะและราคาด้วยความรอบคอบ คุ้มค่า โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการ ทั้งนี้ เนื่องจากวงเงินที่เห็นควรอนุมัติเกินกว่า 100 ล้านบาท จึงขอให้ ตร. ดำเนินการนำเรื่องดังกล่าวเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีโดยเสนอผ่านรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล แล้วแต่กรณีตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 ข้อ 9 (3) และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ขอให้ ตร. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอทำความตกลงกับ สงป. ตามขั้นตอนต่อไป
4. ตร. ได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามนัยมาตรา 27 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เรียบร้อยแล้ว
6. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน
หรือจำเป็นเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการเลือกตั้งทั่วไปและการออกเสียงประชามติที่กำหนดวันออกเสียงประชามติในวันเดียวกับวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 8,978,267,690 บาท ประกอบด้วย
1. ค่าใช้จ่ายที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการเอง จำนวน 7,276,423,790 บาท
2. ค่าใช้จ่ายของหน่วยงานสนับสนุนที่ร่วมดำเนินการ จำนวน 1,701,843,900 บาท
ทั้งนี้ ขอให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง และหน่วยงานสนับสนุนที่ร่วมดำเนินการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมรายละเอียดประกอบการพิจารณาให้ถูกต้องครบถ้วน ตลอดจนปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประหยัดการพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการเลือกตั้งทั่วไป และการออกเสียงประชามติ
ที่กำหนดวันออกเสียงประชามติในวันเดียวกับวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป เนื่องจากมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรและมีการกำหนดวันออกเสียงประชามติเป็นวันเดียวกับวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปตามมติคณะรัฐมนตรี
สาระสำคัญและข้อเท็จจริง
1. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป
2. พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 ได้ประกาศราชกิจจานุเบกษา
เล่ม 142 ตอนที่ 80 ก ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป และให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดซึ่งต้องไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ
3. ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2568 กำหนดวันเลือกตั้ง
วันรับสมัครเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง วันรับสมัครเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อและสถานที่ที่พรรคการเมืองจะส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ ดังนี้
3.1 กำหนดให้วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2569 ตั้งแต่เวลา 08.00 นาฬิกา ถึงเวลา 17.00 นาฬิกา เป็นวันเลือกตั้ง
3.2 กำหนดให้วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ตั้งแต่เวลา 08.30 นาฬิกา ถึงเวลา 16.30 นาฬิกา เป็นวันรับสมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ณ สถานที่
ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งกำหนด
3.3 กำหนดให้วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ถึงวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ระหว่างเวลา 08.30 นาฬิกา ถึงเวลา 16.30 นาฬิกา และวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ระหว่างเวลา 08.30 นาฬิกา ถึงเวลา16.00 นาฬิกา เป็นวันรับสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อและแจ้งรายชื่อบุคคล ที่พรรคการเมืองมีมติจะเสนอสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ณ ห้องประชุมแกรนด์บอลรูมวายุภักษ์ ชั้น 4 และห้องประชุมวายุภักษ์ฮอลล์ ชั้น 5 โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร
7. เรื่อง ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2568 และแนวโน้มปี 2568 – 2569
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2568 และแนวโน้มปี 2568 – 2569 ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ
สาระสำคัญ
สศช. ได้เสนอรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2568 และแนวโน้มปี 2568 - 2569 โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
1. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2568
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 1.2 ชะลอลงจากร้อยละ 2.8 ในไตรมาสที่สองของปี 2568 และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี 2568 ลดลงร้อยละ 0.6 จากไตรมาสที่สองของปี 2568 โดยแบ่งเป็น
1.1 ด้านการใช้จ่าย
การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง การส่งออกสินค้าชะลอตัว และการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลการลงทุนภาครัฐ และการส่งออกบริการลดลง
|
|
%YOY |
|
|
ไตรมาสที่สองของปี 2568 |
ไตรมาสที่สามของปี 2568 |
|
|
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน |
2.6 |
2.6 |
|
การอุปโภคภาครัฐบาล |
2.2 |
-3.9 |
|
การลงทุนรวม |
5.8 |
1.1 |
|
- ภาคเอกชน |
4.1 |
4.2 |
|
- ภาครัฐ |
10.1 |
-5.3 |
|
ปริมาณการส่งออก |
11.2 |
6.9 |
|
มูลค่าการส่งออก |
15.0 |
11.5 |
1.2 ด้านการผลิต
การขายส่งและการขายปลีกขยายตัวเร่งขึ้น ส่วนสาขาเกษตรกรรม สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและสาขาการก่อสร้างปรับตัวลดลง
|
สาขาการผลิต |
%YOY |
|
|
ไตรมาสที่สองของปี 2568 |
ไตรมาสที่สามของปี 2568 |
|
|
สาขาการผลิตที่ขยายตัวเร่งขึ้น |
||
|
สาขาขายส่ง ขายปลีก และการซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ |
6.3 |
6.5 |
|
สาขาการผลิตที่ขยายตัวชะลอลง |
||
|
สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ |
6.4 |
1.9 |
|
สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า |
3.8 |
3.0 |
|
สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร |
1.4 |
0.8 |
|
สาขากิจกรรมทางการเงินและประกันภัย |
2.5 |
0.7 |
|
สาขาการผลิตที่ลดลง |
||
|
สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม |
1.7 |
-1.6 |
|
สาขาการก่อสร้าง |
8.0 |
- 4.0 |
2. เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 0.76 ต่ำกว่าร้อยละ 0.88 ในไตรมาสก่อน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ร้อยละ -0.7 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.8 ส่วน ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 88.3 พันล้านบาท นอกจากนี้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ อยู่ที่ 262.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และหนี้สาธารณะมีมูลค่าทั้งสิ้น 12.23 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 64.8 ของ GDP
3. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2568 - 2569
- แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.0 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 2.5 ในปี 2567 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย อยู่ที่ร้อยละ -0.2 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.8 ของ GDP
- แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2569 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.2 - 2.2 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐบาล การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และการเพิ่มขึ้นของผลผลิตทางการเกษตร
|
|
|
|
|
|
|
||||
|
ข้อมูลจริง |
ประมาณการ |
||||||||
|
ปี 2566 |
ปี 2567 |
ปี 2568 |
ปี 2569 |
||||||
|
ณ 18 สิงหาคม 2568 |
ณ 17 สิงหาคม 2568 |
||||||||
|
GDP |
2.0 |
2.5 |
1.8 – 2.3 |
2.0 |
1.2-2.2 |
||||
|
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน |
6.9 |
4.4 |
2.1 |
2.8 |
2.1 |
||||
|
การอุปโภคภาครัฐบาล |
-4.7 |
2.5 |
1.2 |
0.3 |
1.2 |
||||
|
การลงทุนภาคเอกชน |
3.1 |
-1.6 |
1.0 |
2.0 |
0.9 |
||||
|
การลงทุนภาครัฐ |
-4.2 |
4.8 |
5.2 |
6.8 |
2.9 |
||||
|
มูลค่าการส่งออก (รูปเงินดอลลาร์สหรัฐ) |
-1.5 |
5.9 |
5.5 |
11.2 |
-0.3 |
||||
|
เงินเฟ้อ (ร้อยละ) |
1.2 |
0.4 |
0.0-0.5 |
-0.2 |
0.0-1.0 |
||||
|
ดุลบัญชีเดินสะพัด GDP |
1.4 |
2.2 |
2.1 |
2.8 |
2.4 |
||||
ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ตลอดจนความเสี่ยงและข้อจำกัดที่จะส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจในปี 2559 ได้แก่
|
ปัจจัยสนับสนุน |
ข้อจำกัด/ปัจจัยเสี่ยง |
|
(1) การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน (2) แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐบาล (3) การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่อง (4) แนวโน้มการขยายตัวในเกณฑ์ดีของภาคเกษตร
|
(1) มาตรการปรับขึ้นภาษีศุลกากรนำเข้าของสหรัฐอเมริกาต่อไทย (2) แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก (3) ระดับหนี้สินภาคเอกชนที่อยู่ในระดับสูงที่จะเป็น ข้อจำกัดของการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ (4) บรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองในช่วง ก่อนและหลังการเลือกตั้งที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่น ของผู้บริโภคและนักลงทุน |
4. แนวทางการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2568 และปี 2569
สศช. เห็นว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2568 และปี 2569 รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ ดังนี้
4.1 การเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อรักษาแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ
โดยให้ความสำคัญกับ (1) การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนภายใต้กรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 ของกรอบงบประมาณรายจ่ายลงทุน (2) การเร่งดำเนินการตามมาตรการภายใต้กรอบมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้มีการอนุมัติไปแล้ว และ (3) เร่งรัดกระบวนการจัดทำร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2570
4.2 การเร่งรัดการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวโดยให้ความสำคัญกับ
(1) การแก้ปัญหาความปลอดภัยและการหลอกลวงนักท่องเที่ยว (2) การแก้ปัญหาอาชญากรรมและเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมายข้ามชาติที่แฝงตัวกับภาคการท่องเที่ยว (3) การเตรียมมาตรการเพื่อรองรับปัญหามลพิษทางอากาศ (PM 2.5) (4) การทำการตลาดที่สอดคล้องกับภาวะการแข่งขันที่มีความรุนแรงมากขึ้น และ (5) การเร่งเจรจากับพันธมิตรสายการบิน
4.3 การดูแลภาคการเกษตร โดยให้ความสำคัญกับ (1) การฟื้นฟูเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยให้สามารถฟื้นตัวและมีความพร้อมสำหรับปีการเพาะปลูก 2569/70 (2) การเตรียมความพร้อมรองรับผลผลิตทางการเกษตร จะออกสู่ตลาดในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่ผลผลิตมีแนวโน้มออกสู่ตลาดในปริมาณมาก และ (3) การเร่งรัดโครงการสำคัญ ๆ ภายใต้แผนหลักการบริหารจัดการน้ำ
4.4 การขับเคลื่อนภาคการส่งออก โดยให้ความสำคัญกับ (1) การลดต้นทุนการผลิตของภาคการผลิตและการส่งออก (2) การลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกา (3) การขยายตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา (4) การส่งเสริมการใช้สินค้าและวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางในประเทศ (5) การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการสำคัญ ๆ ของประเทศคู่ค้าที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2569 - 2570 (6) การส่งเสริมให้ภาคธุรกิจบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนในภาคธุรกิจ
4.5 การขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชน โดยให้ความสำคัญกับ (1) การเร่งรัดนักลงทุนที่ได้รับการอนุมัติและการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในที่ในช่วงปี 2567 – 2569 ให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว (2) การเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ เพื่อดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และ (3) การใช้ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนทางการค้าและการลงทุนที่เกิดจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกา
4.6 การแก้ไขปัญหาด้านการเข้าถึงสินเชื่อของภาคธุรกิจภาคครัวเรือน ได้แก่
(1) การลดแรงกดดันจากสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในภาคครัวเรือน (2) การให้ความช่วยเหลือทางการเงินให้แก่ภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ที่ประสบปัญหาด้านการเข้าถึงสภาพคล่องและได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากมาตรการกีดกันทางการค้า และ (3) การเร่งดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนในระยะต่อไป
4.7 การรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง
8. เรื่อง ผลการพิจารณาข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของวุฒิสภาในการพิจารณาญัตติ เรื่อง แนวทางการปฏิรูปการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของวุฒิสภาในการพิจารณาญัตติ เรื่อง แนวทางการปฏิรูปการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงศึกษาธิการได้เสนอผลการพิจารณาข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของวุฒิสภาในการพิจารณาญัตติ เรื่อง แนวทางการปฏิรูปการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยสรุปผลการพิจารณาได้ ดังนี้
1. กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการนำนโยบายทางการศึกษาผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบด้านมาใช้กับการศึกษา โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยในการจัดการเรียนรู้การพัฒนาทักษะดิจิทัล และการพัฒนาทักษะภาษาต่างประเทศ กระจายอำนาจการบริหารการศึกษาให้ท้องถิ่นมีบทบาทมากขึ้น จัดให้มีโรงเรียนต้นแบบที่หลากหลายในด้านต่าง ๆ เช่น โรงเรียนมาตรฐานสากล โรงเรียนภาษา เปิดโอกาสให้สถานศึกษาสามารถดำเนินการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับอัตลักษณ์ตนเองและจังหวัดได้ มีนโยบายส่งเสริมและพัฒนาทักษะที่ใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตจริงของผู้เรียนและมีการพัฒนาระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นตอบโจทย์ศักยภาพผู้เรียน กำหนดแนวทางการสร้างโอกาสเข้าถึงบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างทั่วถือ เสมอภาค เช่น การพัฒนาการศึกษาผ่านระบบหน่วยการเรียนรู้ มีนโยบายลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา เช่น ปรับลดภาระงานที่ไม่จำเป็นหรือซ้ำซ้อนจัดหาอุปกรณ์การสอนและสวัสดิการให้เพียงพอและเหมาะสม ขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษา
เพื่อลดปัญหาที่ทำให้เกิดผลกระทบที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนของครู
2. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมมีโครงการที่สนับสนุนการผลิตและพัฒนากำลังคนที่เชื่อมโยงการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เพื่อสร้างกำลังคนให้มีศักยภาพสูงทั้งเชิงวิชาการและวิชาชีพที่ทันต่อความต้องการของการทำงานในอุตสาหกรรมใหม่ มีคณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษาดำเนินการเกี่ยวกับการรับรองมาตรฐานการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา ของรัฐ รวมถึงส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาสามารถออกแบบการเรียนรู้ระดับปริญญาตรี โดยบูรณาการการเรียนรู้ ด้านการเงิน หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเศรษฐศาสตร์ ที่เน้นการปฏิบัติจริงและเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน กระทรวงแรงงานร่วมมือกับสถานประกอบกิจการให้โอกาสนักเรียนนักศึกษาเข้าฝึกงานในรูปแบบทวิภาคีเพื่อให้นักเรียนนักศึกษาได้รับประสบการณ์ในการทำงานและเพิ่มโอกาสการได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำ หลังจบการศึกษา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินโครงการพัฒนาเยาวชนสู่การประกอบกิจการเพื่อสังคมและเพื่อส่งเสริมองค์ความรู้และทักษะทางอาชีพให้แก่เด็กและเยาวชนให้สามารถรองรับความต้องการของตลาดแรงงาน
9. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำเดือนกันยายน 2568
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำเดือนกันยายน 2568 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
สาระสำคัญ
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกันยายน 2568 เมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) อยู่ที่ระดับ 94.56 ขยายตัวร้อยละ 1.0 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากการผลิตยานยนต์ขยายตัวและมีความต้องการรถยนต์นั่งทั้งในส่วนปลั๊กอินไฮบริดและไฟฟ้า รวมทั้ง มีการจัดงาน BIG Motor Sale 2025 เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2568
อุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ MPI เดือนกันยายน 2568ขยายตัว เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน คือ
1. ยานยนต์ ขยายตัวร้อยละ 5.6 จากรถยนต์ไฮบริดไม่เกิน 1800 ซีซี รถยนต์นั่งปลั๊กอินไฮบริด เครื่องยนต์ดีเซล และรถยนต์นั่งไฟฟ้าเป็นหลัก ตามการขยายตัวของตลาดในประเทศและตลาดส่งออกจากความนิยมที่เพิ่มขึ้นแทนที่รถสันดาป สำหรับรถบรรทุกปิกอัพขยายตัวได้มากขึ้นทั้งตลาดในประเทศและส่งออก
2. ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม ขยายตัวร้อยละ 3.6 ขยายตัวจากน้ำมันเครื่องบินน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และแก๊สโซฮอล์ เป็นหลัก ตามความต้องการของตลาดที่ขยายตัวรวมถึงผลของฐานต่ำในปีก่อนที่มีผู้ผลิตบางรายหยุดซ่อมบำรุงหน่วยผลิตบางส่วน
3. ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวร้อยละ 9.4 จาก Printed Circuit Board Assembly (PCBA) เป็นหลัก ตามความต้องการของตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
อุตสาหกรรมสำคัญที่ MPI หดตัวในเดือนกันยายน 2568 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน คือ
1. เครื่องปรับอากาศ หดตัวร้อยละ 23.0 ตามการหดตัวของตลาดในประเทศและส่งออกจากกำลังซื้อในประเทศที่ลดลง ประกอบกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ
2. กาแฟ ชา และสมุนไพรผงสำหรับชง หดตัวร้อยละ 85.2 จากกาแฟสำเร็จรูปเป็นหลักจากผู้ผลิตรายใหญ่หยุดผลิตต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ประกอบกับมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศแทน เนื่องจากมีราคาถูก
3. ผลิตภัณฑ์คอนกรีต หดตัวร้อยละ 8.0 จากเสาเข็มคอนกรีต คอนกรีตผสมเสร็จ
และท่อซีเมนต์ เป็นหลัก ตามการชะลอตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และงานก่อสร้าง จากภาวะเศรษฐกิจและสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ ประกอบกับราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบ
10. เรื่อง ภาพรวมการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่จังหวัดสงขลา
คณะรัฐมนตรีรับทราบภาพรวมการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่จังหวัดสงขลาตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
สมช. เสนอว่า
1. โดยที่เกิดสถานการณ์ฝนตกหนัก ระหว่างวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ถึงวันที่ 6 ธันวาคม 2568 จนเกิดมหาอุทกภัยในเขตท้องที่จังหวัดสงขลา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้บูรณาการการทำงานภายใต้ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย (ศป.กฉ.)และศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัยส่วนหน้า (ศป.กฉ.สน.) ในพื้นที่รับผิดชอบ เนื้อที่ประมาณ 22.45 ตารางกิโลเมตร โดยแบ่งการรับผิดชอบเป็น 4 หน่วยงาน ประกอบด้วยกองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงคมนาคม นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนความช่วยเหลือจากกองทัพเรือ และกองทัพอากาศ โดยมีกำลังพลเข้าร่วมปฏิบัติการทั้งสิ้น 7,821 นาย ทั้งนี้ ในสถานการณ์มหาอุทกภัยดังกล่าว ได้เกิดความเสียหายและมีจำนวนผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ดังนี้
1.1 ความเสียหายและจำนวนผู้ได้รับผลกระทบ มีดังต่อไปนี้
(1) มีครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ จำนวน 69,016 ครัวเรือน
(2) มีประชาชนที่ได้รับผลกระทบ จำนวน 191,468 คน
(3) มีผู้เสียชีวิต จำนวน 232 ราย
1.2 ประชาชนที่ได้รับความช่วยเหลือ มีดังต่อไปนี้
(1) เจ้าหน้าที่ได้เข้าช่วยเหลือประชาชนและอพยพไปอยู่ในสถานที่ ปลอดภัย จำนวน 9,975 คน
(2) มีการแจกจ่ายถุงยังชีพพระราชทาน จำนวน 3,100 ชุด
(3) มีการแจกจ่ายถุงยังชีพ จำนวน 557,955 ชุด
1.3 ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในฐานะเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบ ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินได้สั่งการให้มีเจ้าหน้าที่ชุดลาดตระเวน เพื่อดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทุกโซนพื้นที่ในเวลากลางคืน โดยมีการดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์มหาอุทกภัยในเขตท้องที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จำนวน 57 คดี รวมทั้งได้ดำเนินการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลและรับแจ้งบุคคลสูญหาย จำนวน 145 ราย โดยมีบุคคลสูญหาย 21 ราย นอกจากนี้ได้ดำเนินการแก้ไขและฟื้นฟูเส้นทางคมนาคมทางบกในเขตเมืองให้กลับสู่สภาวะปกติด้วย
2. ในการสนับสนุนและฟื้นฟูสถานการณ์มหาอุทกภัยดังกล่าวนั้นฝ่ายปกครอง
ฝ่ายสาธารณสุข และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการบูรณาการยุทโธปกรณ์ การดูแลศูนย์พักพิงชั่วคราว การจัดตั้งศูนย์ซ่อมสร้าง การจัดการสุขาภิบาล และการจัดการสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ประชาชนให้การยอมรับและชื่นชมบทบาทในการทำงานโดยเฉพาะการปฏิบัติหน้าที่อย่างทุ่มเท เสียสละ อดทน และเสี่ยงอันตรายเพื่อเข้าถึงพื้นที่ประสบภัย ได้อย่างรวดเร็ว และสามารถเป็นที่พึ่งให้กับประชาชนเมื่อยามเกิดภัยพิบัติได้อย่างแท้จริง
3. ในปัจจุบันสถานการณ์มหาอุทกภัยในเขตท้องที่จังหวัดสงขลาได้คลี่คลายลง เนื่องจากระดับน้ำลดลงและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และภาคประชาชนในการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ จนสามารถแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินได้ในระดับที่พ้นขีดอันตราย ทั้งสามารถเยียวยาและฟื้นฟูความเสียหาย จนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถ บังคับใช้มาตรการตามที่กำหนดในกฎหมายต่าง ๆ ได้ตามปกติแล้ว โดยที่พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 5 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อบังคับใช้ทั่วราชอาณาจักรหรือในบางเขตบางท้องที่ได้ตามความจำเป็นแห่งสถานการณ์ และวรรคสาม บัญญัติให้เมื่อสถานการณ์ฉุกเฉินสิ้นสุดลงแล้วให้นายกรัฐมนตรีประกาศยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น นายกรัฐมนตรีจึงได้ออกประกาศ เรื่อง ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่จังหวัดสงขลา ประกาศ ข้อกำหนด และคำสั่งที่เกี่ยวข้อง ลงวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568 โดยให้บรรดาข้อกำหนด ประกาศ และคำสั่งอันเนื่องมาจากได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว รวมทั้งคำสั่ง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาที่สั่งตามข้อกำหนดเป็นอันสิ้นสุดลง ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2568 เป็นต้น
11. เรื่อง รายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 [เรื่อง โครงการจังหวัดนำร่องป้องกันและลดอัตราความพิการแต่กำเนิด (Birth Defects Sandbox) จังหวัดเชียงราย เป็นต้นแบบดำเนินงานการป้องกันและลดอัตราความพิการแต่กำเนิดให้แก่จังหวัดต่าง ๆ]
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน ตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 [เรื่อง โครงการจังหวัดนำร่องป้องกันและลดอัตราความพิการแต่กำเนิด (Birth Defects Sandbox) จังหวัดเชียงราย เป็นต้นแบบดำเนินงานการป้องกันและลดอัตราความพิการแต่กำเนิดให้แก่จังหวัดต่าง ๆ] ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผผ.) เสนอ รวมทั้งให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของ ผผ. ในเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้ สธ. สรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจาก สลค. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สาระสำคัญ
1. ผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผผ.) ได้เคยมีข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีกรณีที่หน่วยงานของรัฐ
ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เรื่อง
สิทธิของมารดาในช่วงระหว่างก่อนและหลังการคลอดบุตร กรณีการบริโภควิตามินโฟลิก เอซิด (วิตามิน B9)
(เช่น ให้องค์การเภสัชกรรมผลิตโฟลิก เอซิด ขนาด 400 ไมโครกรัม เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงวิตามินดังกล่าวได้อย่างทั่วถึง) ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผผ. จึงได้ให้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจัดทำโครงการจังหวัดนำร่องป้องกันความพิการแต่กำเนิด
(Birth Defects Sandbox) ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เนื่องจากหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของจังหวัดเชียงรายได้ร่วมขับเคลื่อนในเรื่องดังกล่าวอย่างเข้มแข็ง โดยดำเนินการภายใต้รูปแบบคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการจังหวัดนำร่องป้องกันและลดอัตราความพิการแต่กำเนิด (Birth Defects Sandbox) จังหวัดเชียงรายรวมทั้งแต่งตั้งคณะทำงานดำเนินการขับเคลื่อนและประชาสัมพันธ์ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านสถานศึกษา ด้านสถานประกอบการ และด้านชุมชน อย่างไรก็ตาม จากการติดตามผลการดำเนินโครงการพบปัญหาและข้อจำกัดในทางปฏิบัติ เช่น การขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันและลดอัตราความพิการแต่กำเนิด ประโยชน์ของการได้รับวิตามินโฟลิก เอซิด โดยเฉพาะหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ยังอยู่ในระบบการศึกษา ซึ่งอาจนำไปสู่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่าจะเป็นการส่งเสริมให้มีการตั้งครรภ์แรงงานหญิงส่วนใหญ่เป็นต่างด้าวซึ่งไม่มีหลักประกันสุขภาพ ทำให้มีข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ด้านสาธารณสุขของแรงงาน
2. เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ผผ. จึงเสนอรายงานพร้อมข้อเสนอแนะ เรื่อง โครงการจังหวัดนำร่องฯ จังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นต้นแบบดำเนินงานการป้องกันและลดอัตราความพิการแต่กำเนิดให้แก่จังหวัดต่าง ๆ สรุปได้ ดังนี้
|
ข้อเสนอแนะ
|
รายละเอียด เช่น
|
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
|
|
(1) ด้านนโยบาย
|
1) ให้รัฐบาลผลักดันเรื่องการป้องกันความพิการแต่กำเนิดเป็นวาระแห่งชาติ 2) ให้ สธ. ผลักดันให้มีการจัดทำกฎหมายสิทธิแม่และเด็ก เพื่อให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือมารดาและหญิงตั้งครรภ์อย่างเหมาะสมตามนัยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 48 วรรคหนึ่ง
|
- สธ. (หน่วยงานหลัก) - กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) - กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) - กระทรวงมหาดไทย (มท.) |
|
(2) ด้านการบริหาร จัดการ เช่น
|
1) ให้ทุกจังหวัดนำรูปแบบโครงการจังหวัดนำร่องป้องกันและลดอัตราความพิการแต่กำเนิด จังหวัดเชียงราย ไปปฏิบัติ และให้ทุกจังหวัดแต่งตั้งคณะทำงานด้านวิชาการในคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการจังหวัดนำร่องป้องกันและลดอัตราความพิการแต่กำเนิด (Birth Defects Sandbox) 2) ให้ สธ. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สนับสนุนงบประมาณจัดบริการวิตามินโฟลิก เอซิด ให้แก่หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่เป็นแรงงานต่างด้าวนอกระบบและกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่มีบัตรประชาชน |
- สธ. (หน่วยงานหลัก) - มท. - ศธ. - สปสช. - องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น - สสส. |
|
(3) ด้านการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
|
1) ด้านข้อมูลวิชาการสาธารณสุข : ให้ สธ. และ สปสช. สนับสนุนข้อมูลความรู้ประโยชน์ของการรับประทานวิตามินโฟลิก เอซิด และช่องทางการเข้าถึงวิตามินโฟลิก เอซิด ตามชุดสิทธิประโยชน์ของ สปสช. ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2) ด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน : ให้ สธ. พม. มท. กระทรวงแรงงาน (รง.) กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ที่หลากหลายและเข้าใจง่ายเกี่ยวกับการป้องกันความพิการแต่กำเนิด ประโยชน์ของการรับประทานวิตามินโฟลิก เอซิด |
- สธ. (หน่วยงานหลัก) - พม. - มท. - รง. - สำนักงานตำรวจแห่งชาติ - สปสช.
|
12. เรื่อง รายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (เรื่อง แนวทางการ
รับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการดำเนินการที่ส่งผลกระทบ ต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน ตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (เรื่อง แนวทางการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการดำเนินการที่ส่งผลกระทบ ต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน) พร้อมข้อเสนอแนะ ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผผ.) เสนอ รวมทั้งให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของ ผผ. ในเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้ สปน. สรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวมแล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจาก สลค. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผผ.) ได้รับเรื่องร้องเรียนของประชาชนกรณีได้รับความเดือดร้อนจากกระบวนการรับฟังความคิดเห็นในการดำเนินโครงการหรือกิจการของรัฐที่อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนหรือชุมชนที่ไม่เหมาะสม ผผ. จึงได้ศึกษาและพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งได้ลงพื้นที่แสวงหาข้อเท็จจริง ซึ่งพบปัญหาต่าง ๆ เช่น (1) ปัญหาการไม่มีกฎหมายกลางระดับพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยปัจจุบันมีเพียงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 ซึ่งเป็นกฎหมายลำดับรองที่ยังไม่สามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ยังไม่มีการกำหนดคำนิยามให้เกิดความชัดเจน โดยเฉพาะคำว่า
“มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชาชนเป็นส่วนรวม” ส่งผลให้การจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบ สิ่งแวดล้อมไม่ครอบคลุมทุกรูปแบบการประเมิน (2) ปัญหากระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเฉพาะการกำหนดบทลงโทษที่ยังขาดความชัดเจน และไม่สอดคล้องกับความเสียหายจากผลกระทบจากการดำเนินโครงการหรือกิจการ ดังนั้น ผผ. จึงได้จัดทำรายงานฯ พร้อมข้อเสนอแนะเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
2. ข้อเสนอแนะในระยะสั้น
2.1 ควรให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ศึกษาและแก้ไขระเบียบ
สำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. .... ในประเด็นต่าง ๆ ให้ชัดเจนและเหมาะสม เช่น (1) การกำหนดคำนิยามให้มีความชัดเจน (2) การพิจารณาทบทวนระยะเวลาการประชาสัมพันธ์และปิดประกาศของหน่วยงานของรัฐในการดำเนินโครงการหรือกิจการของรัฐเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำให้เหมาะสมกับลักษณะของโครงการหรือกิจการ
2.2 ให้หน่วยงานของรัฐอื่นที่มีกฎหมาย ระเบียบ หรือประกาศที่เกี่ยวกับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนพิจารณานำหลักการ แนวทาง หรือขั้นตอนตามที่ได้แก้ไขปรับปรุงในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. .... ไปปรับปรุงหรือพัฒนากฎหมาย ระเบียบ หรือประกาศที่มีอยู่ให้มีความสอดคล้องและมีมาตรฐานเดียวกันทั้งระบบราชการ เพื่อเสริมสร้างหลักธรรมาภิบาลในการบริหารราชการแผ่นดินและส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการกำหนดนโยบายหรือมาตรการของรัฐ
3. ข้อเสนอแนะในระยะยาว
3.1 ให้สำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ศึกษาและร่างพระราชบัญญัติรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. .... ซึ่งจะเป็นกฎหมายกลางเพื่อรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็น การเข้าถึงข้อมูล และการตรวจสอบการดำเนินโครงการหรือกิจการของรัฐได้อย่างแท้จริงและทั่วถึง
ซึ่งจะเพิ่มความน่าเชื่อถือ ความโปร่งใสและความรับผิดชอบของหน่วยงานของรัฐในการดำเนินโครงการ
3.2 ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมศึกษาและแก้ไขพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... และประกาศที่เกี่ยวข้องในประเด็นต่าง ๆ เช่น
ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พิจารณาแก้ไขบทลงโทษให้เป็นไปตามมูลค่าโครงการหรือขนาดผลกระทบ รวมทั้งเพิ่มบทลงโทษเป็นหลายระดับ
13. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติม เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ และขอทบทวนหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ปี 2568 เพื่อเป็นค่าเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ปี 2568 เพื่อเป็นค่าเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน
2. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติม จำนวน 467,128 ครัวเรือน วงเงิน 2,335,640,000 บาท เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ปี 2568 เพื่อเป็นค่าเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน ตามข้อ 1 โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยผ่านธนาคารออมสิน โดยให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป รวมทั้งให้สามารถถัวจ่ายข้ามจังหวัดได้
3. อนุมัติระยะเวลาการจ่ายเงินช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 โดยให้จ่ายเงินช่วยเหลือให้แล้วเสร็จ ภายใน 30 วัน ตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม
สาระสำคัญ
มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 เห็นชอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ปี 2568 ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเสนอ ในพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และจังหวัดตราด ดังนี้
1. กรณีอพยพตั้งแต่ 8 วันขึ้นไป ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 5,000 บาท
2. กรณีอพยพไม่เกิน 7 วัน ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 2,000 บาท
เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยมีความทั่วถึงอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกพื้นที่ กระทรวงมหาดไทยจึงได้ทบทวนหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงิน ช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ปี 2568 เพื่อเป็นค่าเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน ดังนี้
จากเดิม
3. เงื่อนไขการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ปี 2568 เพื่อเป็นค่าเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน ดังนี้
3.1 ต้องเป็นประชาชนผู้ที่อาศัยประจำในพื้นที่ที่ได้ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน อพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว/พื้นที่ปลอดภัย และ
(1) มีหนังสือรับรองผู้ประสบภัยที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกให้ (ตาม พ.ร.บ.ปภ. 2550 ม. 30) และ
(2) ต้องผ่านการประชาคมหมู่บ้านของแต่ละพื้นที่ประสบสาธารณภัย และ
(3) ผ่านการตรวจสอบและยืนยันข้อมูลจากคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) และคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ข.ภ.จ.)
3.2 กรณีที่ผู้ประสบภัยต้องอพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว/พื้นที่ปลอดภัยหลายครั้งให้ได้รับความช่วยเหลือเพียงครั้งเดียว
ขอทบทวนเป็น
3. เงื่อนไขการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ปี 2568 เพื่อเป็นค่าเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน ดังนี้
ต้องเป็นประชาชนผู้ที่อาศัยประจำในพื้นที่ที่ได้ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน อพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว/พื้นที่ปลอดภัย และ
(1) มีหนังสือรับรองผู้ประสบภัยที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกให้ (ตาม พ.ร.บ.ปภ. 2550 ม. 30) และ
(2) ต้องได้รับการรับรองว่าเป็นผู้ประสบภัยตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จากผู้นำชุมชนหรือ ผู้ใหญ่บ้าน หรือ กำนัน คนใดคนหนึ่งเป็นผู้รับรอง และ
(3) ผ่านการตรวจสอบและยืนยันข้อมูลจากคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) และคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.)
ทั้งนี้ ให้จังหวัดที่ประสบภัยเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องตามหลักเกณฑ์และช่วยเหลือให้แล้วเสร็จ ภายใน 30 วัน ตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ โดยขอรับการสนับสนุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ปี 2568 เพื่อเป็นค่าเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน จำนวน 467,128 ครัวเรือน วงเงิน 2,335,640,000 บาท โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยผ่านธนาคารออมสิน โดยให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป รวมทั้งให้สามารถถัวจ่ายข้ามจังหวัดได้
ประโยชน์และผลกระทบ
ครัวเรือนผู้ประสบภัยตามข้อมูลที่จังหวัดยืนยันข้อมูลครัวเรือนเบื้องต้นที่ได้รับผลกระทบจากภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ จำนวน 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และจังหวัดตราด ได้รับการเยียวยาความเดือดร้อนในเบื้องต้นและเพื่อให้การดำรงชีพของประชาชนเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
ต่างประเทศ
14. เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 เรื่อง การประชุมคณะกรรมการนโยบาย ยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ที่เห็นชอบตามมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 ในประเด็นการมอบหมายหน่วยงานดำเนินการ เรื่อง การขยายเวลาการผลิตชดเชยตามมาตรการ EV3 จาก “มอบหมายให้กรมสรรพสามิต ดำเนินการออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป” เป็น “มอบหมายให้กรมสรรพสามิต รับผิดชอบการออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตามมาตรการฯ และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ และ/หรือนำเสนอต่อผู้มีอำนาจ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป” ตามที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 เห็นชอบเรื่องการพิจารณาข้อเสนอการขยายเวลาการผลิตชดเชยตามมาตรการ EV3 โดยมีมติให้กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพสามิตดำเนินการออกประกาศที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกและตลาดภายในประเทศ และเพื่อช่วยลดและป้องกันปัญหาการผลิตล้นตลาดในประเทศ (Oversupply) ของยานยนต์ไฟฟ้า ที่อาจทำให้เกิดสงครามราคาที่รุนแรง และลดผลกระทบจากความผันผวนทางเศรษฐกิจให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับการสนับสนุนภายใต้มาตรการ EV3 และ EV3.5
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมาตรการ EV3 จะสิ้นสุดภายในสิ้นปี 2568 และกรมสรรพสามิตมีอำนาจในการออกประกาศที่เกี่ยวข้องโดยไม่จำเป็นต้องนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเห็นชอบ ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ 1/2567 วันที่ 4 ธันวาคม 2567 และเพื่อลดขั้นตอนในการดำเนินการเพื่อให้กรมสรรพสามิตสามารถออกประกาศที่เกี่ยวข้องได้ภายในปี 2568 สำนักงานจึงขอเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 เรื่อง การประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 ให้กรมสรรพสามิตสามารถดำเนินการนำเสนอประกาศที่เกี่ยวข้องต่อผู้มีอำนาจเพื่อพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสม ในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 23 ธันวาคม 2568
สาระสำคัญและข้อเท็จจริง
1. มติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 ในประเด็นการพิจารณาข้อเสนอการขยายเวลาการผลิตชดเชยตามมาตรการ EV3 เป็นดังนี้
1) เห็นชอบการปรับปรุงเงื่อนไขมาตรการ EV3 โดยให้ผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3 ที่ไม่สามารถผลิตชดเชยได้ครบตามเงื่อนไขที่กำหนด สามารถดำเนินการดังต่อไปนี้ได้ ตามความเหมาะสม
1.1) ให้ขยายเวลาผลิตชดเชยตามมาตรการ EV3 ไปผลิตชดเชยภายใต้เงื่อนไขของมาตรการ EV3.5 ได้ (ผลิตชดเชย 2 เท่า ภายในปี 2569 หรือ 3 เท่าภายในปี 2570) โดยรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับการขยายเวลาข้างต้นจะไม่ได้รับเงินอุดหนุน และรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตชดเชยภายใต้มาตรการ EV3.5 จะได้รับเงินอุดหนุนเมื่อผลิตชดเชยภายใต้มาตรการ EV3 ครบตามจำนวนที่ได้รับสิทธิขยายเวลาแล้ว ทั้งนี้ กรณีดำเนินการไม่ได้ตามเงื่อนไขเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ จะต้องรับบทลงโทษตามเงื่อนไขมาตรการ EV3.5 และ/หรือ
1.2) ให้ส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป (CBU) ที่นำเข้าสำเร็จภายใต้มาตรการ EV3 ไปยังต่างประเทศโดยไม่นับเป็นยอดที่ต้องผลิตชดเชย
2) มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
2.1) มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ในฐานะ ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามข้อ 1)
2.2) มอบหมายให้กรมสรรพสามิต รับผิดชอบการออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตามมาตรการฯ และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ และ/หรือนำเสนอต่อผู้มีอำนาจเพื่อพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป
2. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 รับทราบมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 และเห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบาย ยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติเสนอ ซึ่งในประเด็นการขยายเวลาการผลิตชดเชยตามมาตรการ EV3 เป็นดังนี้
“8.3 พิจารณาให้ความเห็นชอบการขยายเวลาการผลิตชดเชยตามมาตรการ EV3 และมอบหมายหน่วยงาน ดังนี้
(1) เห็นชอบการปรับปรุงเงื่อนไขมาตรการ EV3 โดยให้ผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3 ที่ไม่สามารถผลิตชดเชยได้ครบตามเงื่อนไขที่กำหนดสามารถขยายเวลาผลิตชดเชยตามมาตรการ EV3 ไปผลิตชดเชยภายใต้เงื่อนไขมาตรการ EV3.5 ได้ โดยผู้เข้าร่วมมาตรการดังกล่าวต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด และ/หรือให้ส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป (CBU) ที่นำเข้าสำเร็จภายใต้มาตรการ EV3 ไปยังต่างประเทศโดยไม่นับเป็นยอดที่ต้องผลิตชดเชย
(2) มอบหมายให้กรมสรรพสามิต ดำเนินการออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป”
3. เพื่อให้มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 มีความสอดคล้องกับมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 และให้กรมสรรพสามิตสามารถดำเนินการออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องได้ตามระยะเวลาที่กำหนด จึงขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ในประเด็นการขยายเวลาการผลิตชดเชยตามมาตรการ EV3 ข้อ 8.3 (2) จาก “มอบหมายให้กรมสรรพสามิตดำเนินการออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป” เป็น “มอบหมายให้กรมสรรพสามิต รับผิดชอบการออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตามมาตรการฯ และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ และ/หรือนำเสนอต่อผู้มีอำนาจเพื่อพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป”
4. เนื่องจากเรื่องนี้เป็นการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีให้สอดคล้องกับมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติครั้งที่ 1/2567 และเพื่อให้กรมสรรพสามิตดำเนินการออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องได้ตามระยะเวลาที่กำหนด เรื่องนี้จึงไม่เข้าลักษณะเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ตามนัยมาตรา 169(1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และสามารถเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบได้
ประโยชน์และผลกระทบ
การกำหนดมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย จะทำให้มีการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า สามารถรักษาฐานการผลิตยานยนต์ของประเทศไทยให้สอดรับกับทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต และความต้องการของตลาดยานยนต์ในประเทศและต่างประเทศ สร้างความสามารถในการแข่งขัน เพื่อยกระดับศักยภาพในหลากหลายมิติควบคู่กับการขยายโอกาสของประเทศไทยในเวทีโลก เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก และดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายการผลิตและการใช้ยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle: ZEV) ในปี พ.ศ. 2573
15. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 เรื่อง ขอความเห็นชอบมาตรการเยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการใช้เงินเยียวยาที่เหลือจากกรอบวงเงินตามหลักเกณฑ์ให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา เพื่อให้สามารถจ่ายให้กับผู้ได้รับผลกระทบฯ จากเดิม คือ วันที่ 16 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2568 เป็น ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2568 จนกว่าสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
2. เห็นชอบให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องสามารถขอเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อเยียวยาประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 โดยให้กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นหน่วยรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับผลกระทบ และให้กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาประชาชน
3. เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรวบรวมกรอบวงเงินที่ต้องการได้รับการจัดสรรสำหรับเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบฯ เพิ่มเติม เสนอให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 เรื่อง ขอความเห็นชอบมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์ให้เงินเยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา นับตั้งแต่วันที่16 กรกฎาคม 2568 จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้ หากมีผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มเติม ให้หน่วยงานขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป นอกจากนี้ ได้เห็นชอบกรอบอัตราเงินเยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา และเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา (วันที่ 16 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2568) จำนวน 404,600,000 บาท
ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นหน่วยรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับผลกระทบ และให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
2. ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2568 ยังคงมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดเป็นระยะ นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ได้เกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาในพื้นที่บริเวณฐานภูผาเหล็ก พลาญหินแปดก้อน อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลให้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย - กัมพูชา มีความรุนแรงขึ้น และเกิดการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันได้ปรากฏการขยายพื้นที่แนวการสู้รบออกไปในวงกว้าง ครอบคลุมทั่วทั้งพื้นที่ 7 จังหวัดตลอดแนวชายแดนไทย - กัมพูชา และส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 20 นาย และประชาชนเสียชีวิตจากการปะทะฯ จำนวน 1 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2568) ดังนั้น สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ จึงประเมินว่าสถานการณ์ความขัดแย้งและการปะทะตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ยังคงมีความรุนแรงและมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อบานปลายจนส่งผลกระทบในวงกว้างและอาจเพิ่มระดับความรุนแรง ด้วยอาวุธสนับสนุน อาทิ ปืนใหญ่ปืน ค. เครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง (BM – 21) หรือการใช้อาวุธที่มีศักยภาพสูงขึ้น อาทิ เครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง PHL- 03 นอกจากนี้ ยังมีข้อห่วงกังวลกรณีการเสริมสร้างขีดความสามารถทางด้านยุทโธปกรณ์อย่างต่อเนื่องและโดรนพลีชีพของกัมพูชา
3. เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568 สำนักงานฯ ได้จัดการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติครั้งที่ 16/2568 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์ไทย - กัมพูชาและการเยียวยาผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา โดยมีมติมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เร่งรัดเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั้งจากประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐตามหลักเกณฑ์ให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชาและกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ โดยหากมีผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มเติม ให้หน่วยงานขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมตามขั้นตอนต่อไป
ประโยชน์และผลกระทบ
การทบทวนมติคณะรัฐมนตรี จะช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการตามกระบวนการเยียวยาต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มา หรือการสูญเสียรายได้
1. งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. 2559
2. กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับบริจาคและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
16. เรื่อง รายงานผลการเข้าร่วมลงนามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเข้าร่วมลงนามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้าน
อาชญากรรมไซเบอร์ (United Nations Convention against Cybercrime) (อนุสัญญาฯ) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ดศ. รายงานว่า
1. เดิมคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (21 ตุลาคม 2568) (1) เห็นชอบอนุสัญญาฯ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสร้างมาตรการในการป้องกันและต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกและเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันและต่อต้านอาชญากรรม
ไซเบอร์ โดยสาระสำคัญของอนุสัญญาฯ ครอบคลุมมาตรการป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก การเผยแพร่ภาพส่วนบุคคลทางออนไลน์โดยไม่ได้รับความยินยอม การกำหนดมาตรการเกี่ยวกับการเก็บรักษาข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ การอายัด ยึด และริบทรัพย์ จากอาชญากรรม เพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีและบังคับใช้กฎหมาย การติดตามและนำทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิดกลับคืนรวมถึงการแลกเปลี่ยนพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน การสนับสนุนด้านเทคนิคและการเสริมสร้างขีดความสามารถในการป้องกันและต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเข้าร่วมพิธีลงนามอนุสัญญาฯ ระหว่างวันที่ 25 - 26 ตุลาคม 2568 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (เวียดนาม) และ (2) เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ (คณะกรรมการฯ) เพื่อศึกษาพันธกรณีและเตรียมความพร้อมของกฎหมายภายในของไทยในการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ตามที่ ดศ. เสนอ
2. ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เข้าร่วมพิธีลงนามอนุสัญญาฯ และการประชุมระดับสูง (High-Level Conference) ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime: UNODC) ร่วมกับรัฐบาลเวียดนาม เมื่อวันที่ 25 - 26 ตุลาคม 2568 ณ กรุงฮานอย เวียดนาม โดยมีประธานาธิบดีเวียดนาม และเลขาธิการสหประชาชาติเป็นประธานร่วม โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
2.1 พิธีลงนามอนุสัญญาฯ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ร่วมลงนามอนุสัญญาฯ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 โดยมีประเทศที่ร่วมรวมทั้งสิ้น 71 ประเทศ และสหภาพยุโรป ซึ่งภายหลังจากนี้
ดศ. จะดำเนินการจัดการประชุมคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาและศึกษาในส่วนของกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีความสอดคล้องตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาฯ และรองรับการดำเนินการให้สัตยาบันสารต่อไป
2.2. การประชุมระดับสูง (High-Level Conference) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 - 26 ตุลาคม 2568 โดยผู้แทนที่เข้าร่วมได้มีการกล่าวถ้อยแถลง (Statement) สรุปได้ ดังนี้
|
ผู้แทน |
ถ้อยแถลงฯ |
|
เลขาธิการสหประชาชาติ |
1) เน้นย้ำว่า เทคโนโลยีสร้างการเชื่อมโยงทั่วโลกแต่ก็เปิดช่องให้อาชญากรรมไซเบอร์เติบโต เช่น การหลอกลวงออนไลน์หรือการละเมิดทางเพศต่อเด็กทางออนไลน์ ซึ่งอนุสัญญานี้มีหลักการสำคัญ ได้แก่ (1) เป็นกรอบกฎหมายสากลในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ควบคู่กับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนออนไลน์ (2) เป็นกลไกการแลกเปลี่ยนพยานหลักฐานดิจิทัลข้ามพรมแดน และ (3) จัดตั้งเครือข่ายความร่วมมือ 2) ขอให้ประเทศสมาชิก UN เร่งให้สัตยาบันและดำเนินการตามอนุสัญญาฯ อย่างเป็นรูปธรรม ให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานของ UNODC ภายในปี 2570 |
|
ผู้อำนวยการ UNODC |
1) กล่าวถึงเทคโนโลยีซอฟต์แวร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทำให้อาชญากรรมไซเบอร์มีความซับซ้อนและอันตรายมากขึ้น การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของการค้ามนุษย์ทางออนไลน์และสื่อลามกเด็ก และผลกระทบของอาชญากรรมไซเบอร์ต่อชีวิตทรัพย์สิน และศักดิ์ศรีของผู้คน โดยอนุสัญญาฯ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ (Paradigm Shift) ที่กำหนดมาตรฐานทางกฎหมายสากลและกลไกความร่วมมือข้ามพรมแดน เช่น การแลกเปลี่ยนพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ 2) เรียกร้องให้เร่งรัดการมีผลบังคับใช้ของอนุสัญญาฯ ผ่านการลงนามและให้สัตยาบันจากประเทศสมาชิก การให้การสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา และการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและประชาสังคม |
|
ประเทศไทย |
1) เน้นย้ำถึงความรุนแรงของการหลอกลวงออนไลน์ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน 2) สนับสนุนการประสานงานในระดับประเทศให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อดำเนินมาตรการตอบโต้เมื่อจำเป็น และเพิ่มบทลงโทษให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้นโดยไทยพร้อมร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อให้สามารถติดตาม ตรวจจับ และสามารถยับยั้งเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ได้อย่างรวดเร็ว |
|
ประเทศสมาชิกอาเซียน |
ร่วมกล่าวถ้อยแถลงในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 1) การตระหนักถึงความรุนแรงของอาชญากรรมไซเบอร์ 2) นโยบายและการดำเนินการเพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าวของรัฐบาลแต่ละประเทศ 3) กลไกความร่วมมือของอาเซียนเพื่อประสานงานและต่อสู้กับอาชญากรรมไซเบอร์ในระดับภูมิภาค 4) การยกระดับและการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบภายในประเทศให้มีความสอดคล้องรองรับกับการดำเนินการตามอนุสัญญาฯ 5) เน้นย้ำความร่วมมือระหว่างประเทศในการรับมือปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ประเทศไทย |
ทั้งนี้ ดศ. แจ้งว่า การเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ จะช่วยให้ประเทศสมาชิกสามารถเข้าถึงเครือข่ายความร่วมมือได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อการแลกเปลี่ยนพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และการดำเนินการอย่างเร่งด่วนรวมถึงการขอความร่วมมือด้านการสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดี การระบุตัว การอายัด การยึด และการส่งคืนทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายระหว่างประเทศและการส่งผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อให้ผู้เสียหายได้รับความช่วยเหลือและการคุ้มครองที่จำเป็น โดยครอบคลุมถึงการเข้าถึงบริการสนับสนุน เช่น การฟื้นฟูสภาพร่างกาย การชดใช้และคืนทรัพย์สิน และการลบเนื้อหาที่ผิดกฎหมายออกจากระบบออนไลน์ นอกจากนี้ การเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ จะช่วยให้ไทยมีเครื่องมือที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพในการดำเนินการเกี่ยวกับอาชญากรรมไซเบอร์มากยิ่งขึ้นด้วย
17. เรื่อง ขอความเห็นชอบให้สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศจัดการศึกษาในประเทศไทย
(Global Link Institute)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศจัดการศึกษาในประเทศไทย (Global Link Institute) ตามความในข้อ 4 แห่งคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 29/2560 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2560 ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ
สาระสำคัญ
1. อว. รายงานว่า บริษัท โกลบอล เอ็ดดูเคชั่นแนล เอ็กเซลเลนซ์ จำกัด (ผู้ยื่นคำขอ) ได้มีหนังสือถึงสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม [ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาการจัดการศึกษาโดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ (คพอต.)] เพื่อยื่นคำขอ
จัดตั้งมหาวิทยาลัยตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 29/2560 เรื่อง การส่งเสริมการจัดการศึกษาโดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ (คำสั่งหัวหน้า คสช.) ในชื่อมหาวิทยาลัยโกลบอลลิงก์ (Global Link University)
โดยจะนำหลักสูตรของมหาวิทยาลัยจากสหราชอาณาจักร 3 แห่ง ได้แก่ University of Manchester University of Birmingham และ University of Reading มาจัดการศึกษาในประเทศไทย (ไทย) ร่วมกับสถาบันอุดมศึกษาของรัฐในไทย ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในระดับปริญญาตรี จำนวน 3 หลักสูตร และระดับปริญญาโท จำนวน 4 หลักสูตร สรุปได้ ดังนี้
|
ชื่อมหาวิทยาลัย |
หลักสูตรที่ขอเข้ามาดำเนินการจัดการศึกษาในไทย |
|
|
ระดับปริญญาตรี |
ระดับปริญญาโท |
|
|
University of Manchester |
หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีชีวภาพกับการเป็นผู้ประกอบการ |
หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีชีวภาพและการประกอบการ |
|
University of Birmingham |
หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาบริหารธุรกิจและการจัดการการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ |
หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ |
|
หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการตลาด |
||
|
University of Reading |
หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาบริหารธุรกิจและการจัดการแบบบูรณาการหลักสูตรปรับพื้นฐาน |
หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการ |
2. ในการประชุม คพอต. ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่า
ผู้ยื่นคำขอได้เสนอจัดการศึกษาโดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศในไทยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ฯ และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 เรื่อง หลักเกณฑ์ รูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขในการดำเนินการจัดการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ (หลักเกณฑ์ฯ) เช่น (1) University of Manchester University of Birmingham และ University of Reading ได้รับการรับรอง
ในสาขาวิชาจากการจัดอันดับของ Quacquarelli Symonds และ Times Higher Education (2) มีการจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรที่เป็นประโยชน์และมีความสำคัญต่อการพัฒนาไทยตามประกาศ คพอต. เรื่อง การกำหนดศาสตร์วิทยาการและสาขาวิชาที่เป็นประโยชน์และมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศที่สถาบันอุดมศึกษามีศักยภาพสูงจากต่างประเทศสามารถจัดการศึกษาในไทย (3) มีการจัดการศึกษาในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ
ภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) และกรุงเทพมหานคร อย่างไรก็ตาม ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังกล่าวกำหนดให้การดำเนินการจัดการศึกษาในไทยต้องไม่ทำให้เกิดองค์กร ที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสาธารณชนในเรื่องสถานะความเป็นสถาบันอุดมศึกษาและต้องไม่ใช้คำว่ามหาวิทยาลัย (University) เป็นส่วนหนึ่งของชื่อ ทั้งนี้ อาจใช้คำว่า Center หรือ Academy หรืออื่น ๆ แทน ดังนั้น คพอต. จึงมีมติอนุมัติให้สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ (Global Link University) จัดการศึกษาในไทย ตามความในข้อ 4 แห่งคำสั่งหัวหน้า คสช.ฯ ภายใต้ชื่อ Global Link Institute แทน
3. ประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินการ เช่น (1) ส่งเสริม สนับสนุนเละพัฒนาระบบการศึกษาของไทยให้มีมาตรฐานเทียบเท่าระดับสากล สามารถตอบสนองต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาของประเทศในด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะในบริบทของ EEC สร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญระดับสูง พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมและการเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมเป้าหมายในไทย เช่น หลักสูตรด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) เพื่อรองรับการแพทย์สมัยใหม่ หลักสูตรด้านการจัดการธุรกิจและการเงินเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการ และหลักสูตรด้านการวิเคราะห์ข้อมูลและการตลาดดิจิทัลซึ่งเป็นทักษะสำคัญในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล(2) ช่วยยกระดับศักยภาพของสถาบันอุดมศึกษาไทยผ่านกระบวนการร่วมสอน (Co-teaching) การพัฒนาหลักสูตรร่วมกันและการทำวิจัยในระดับสากล เกิดโครงสร้างถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เอื้อต่อการยกระดับมาตรฐานวิชาการของคณาจารย์และสถาบันอุดมศึกษาไทยอย่างยั่งยืน ทั้งยังเป็นการขยายโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากร ความรู้ และเครือข่ายวิชาชีพระดับโลก อันจะนำไปสู่การพัฒนาไทยให้เป็นศูนย์กลางการศึกษาระดับภูมิภาคอาเซียน
แต่งตั้ง
18. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งนายดนย์วิศว์ พูลสวัสดิ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง กงสุลใหญ่ สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ สาธารณรัฐอินเดีย ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับ และนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว
19. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายธีรัชย์
อัตนวานิช เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน แทน ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ ประธานกรรมการเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของประธานกรรมการซึ่งตนแทน ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว
20. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอแต่งตั้ง นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ แทน นายพันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ประธานกรรมการเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายโสภณ ซารัมย์) ได้พิจารณาเห็นชอบด้วยแล้ว
21. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายภราดร ปริศนานันทกุล) เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล รวม 2 คน แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก ดังนี้
1. นายจิรพล สังข์โพธิ์ ประธานกรรมการ
2. นายธีรศานต์ สหัสสพาศน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการบริหารจัดการและ
ทรัพยากรบุคคล)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของประธานกรรมการหรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้วซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี