ประเสริฐ เข้าให้ปากคำ DSI ปม MOU ดีอี-บ.เอกชนสิงคโปร์ เชื่อเรื่องนี้เป็นการเมือง

ประเสริฐ เข้าให้ปากคำ DSI ปม MOU ดีอี-บ.เอกชนสิงคโปร์ เชื่อเรื่องนี้เป็นการเมือง

วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 19.41 น.

“ประเสริฐ” เข้าให้ปากคำ DSI ปม MOU ดีอี-บ.เอกชนสิงคโปร์ โยงคดีสแกนม่านตาแลกเหรียญดิจิทัล พ้อ มองเป็นการถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง - ดิสเครดิตก่อนเลือกตั้งใหญ่ ‘69 เหตุ MOU เซ็นปี 67ยัน MOU จัดทำเป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย มั่นใจไม่มีปัญหา  ขณะที่ DSI เตรียมเรียกบุคคลในภาพถ่ายรวมหมู่วันเซ็น MOU"  ที่ถูกซัดทอดว่าอยู่เบื้องหลังลงนาม27 มี.ค.67 มาให้ปากคำ

วันที่ 23 ธันวาคม 2568 จากกรณีนายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยถึงประเด็นภาพการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และบริษัทไพรม์ ออพ พอร์ทูนิตี้ ฟันด์ วิซีซี จากประเทศสิงคโปร์ (Prime Opportunity Fund VCC Singapore) เมื่อวันที่ 27 มี.ค.67 ทราบว่าการลงนามดังกล่าว พบว่าการลงนาม MOU มีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ตำแหน่งในขณะนั้น) มีนายเบน สมิธ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ (ในขณะนั้น) และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ผู้แทนการค้าไทย (ในขณะนั้น) ร่วมเป็นสักขีพยานด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 24 พ.ย.68 นายไชยชนก มีคำสั่งยกเลิกบันทึกข้อตกลงดังกล่าว 


ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องสำนักงานรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ชั้น 8 ศูนย์ราชการฯ อาคารบี ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ว่า ภายหลังจากที่คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 148/2568 กรณีธุรกิจสแกนม่านตาแลกเหรียญคริปโตเคอเรนซี ภายใต้โครงการ Worldcoin ได้ดำเนินการตรวจสอบรวบรวมพยานหลักฐาน พยานเอกสาร ขยายผล สอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้อง โดยก่อนหน้านี้ พนักงานสอบสวนดีเอสไอได้สอบปากคำพยาน นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ประธานกรรมการ ก.ล.ต. ในฐานะอดีตปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ,เจ้าหน้าที่ของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA ,เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPC ,เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ และพนักงานบริษัทบิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด หรือ Bitkub  เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเข้าเหรียญ Worldcoin   ซึ่งการสอบปากคำพยานในส่วนของข้าราชการประจำไปแล้ว โดยยังเหลือในส่วนของข้าราชการฝ่ายการเมือง คือ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง และนายวัลลภ รุจิรากร  เท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ เวลา 14.40 น. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ได้เดินทางมามาที่ห้องสำนักงานรองอธิบดีดีเอสไอ โดยก่อนเข้าพบพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้เปิดเผยเพียงสั้นๆ ว่าวันนี้ตนเดินทางมาให้ข้อมูลดีเอสไอในฐานะพยาน ส่วนข้อมูลที่จะให้แก่ดีเอสไอถึงที่มาที่ไปของ MOU หรือไม่นั้น ตนยังไม่ทราบว่าคำถามมีอะไรบ้าง แต่ตนยืนยันว่าพร้อมให้ข้อมูลทุกอย่าง

ต่อมาเวลา 16.30 น. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ตนขออนุญาตว่าข้อมูลที่ให้ดีเอสไอถือเป็นความลับ ขอไม่เปิดเผย ส่วนจะเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือไม่นั้น ก็มองได้ และเมื่อถามว่า MOU ฉบับดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 แต่เพิ่งมาเกิดประเด็นในตอนนี้ นายประเสริฐ กล่าวว่า ก็มองได้ว่าเป็นประเด็นทางการเมือง ส่วนจะเป็นเหมือนการดิสเครดิตก่อนการเลือกตั้งใหญ่หรือไม่นั้น นายประเสริฐ ตอบว่า ครับ และระบุว่าการลงนามMOUเป็นไปตามกระบวนการตามกฎหมายและมั่นใจว่าไม่มีประเด็นปัญหาใด 

ด้าน ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า นายประเสริฐ มาให้ปากคำในฐานะพยานในเรื่องการทำเอ็มโอยูฉบับดังกล่าวว่ามีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับที่มีการสแกนม่านตาคนไทย จำนวน 1.2 ล้านคน ว่าเอาไปเพื่ออะไร โดยนายประเสริฐ ให้การว่าไม่ทราบเรื่องการสแกนม่านตาว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายประเสริฐ ได้ให้การยืนยันกับคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ว่า มีคนหนึ่งในรูปภาพรวมหมู่ที่ปรากฏในเหตุการณ์การบันทึกความเข้าใจ (MOU) เมื่อวันที่ 27 มี.ค.67 เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง MOU ฉบับดังกล่าวซึ่งดีเอสไอจะได้เชิญมาสอบปากคำในฐานะพยานต่อไปด้วย
 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top