รัฐบาล ยันหยุดยิง 72 ชม. ไม่กระทบอธิปไตย ช่วยคุ้มครองปชช. เปิดพื้นที่การทูต ยังตรึงกำลังเต็มขีด

รัฐบาล ยันหยุดยิง 72 ชม. ไม่กระทบอธิปไตย ช่วยคุ้มครองปชช. เปิดพื้นที่การทูต ยังตรึงกำลังเต็มขีด

วันอาทิตย์ ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 16.41 น.

รัฐบาลย้ำหยุดยิง 72 ชม.ไม่กระทบอธิปไตย ยึดคุ้มครองประชาชน–เปิดพื้นที่การทูต พร้อมคงกำลังเต็มขีด

เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2568 ที่ศูนย์อำนวยการร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พล.อ.อ.ประภาส  สอนใจดี ผู้อำนวยการศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา กล่าวถึง กรณีที่รัฐบาลยืนยันมาตรการหยุดยิงชั่วคราวเป็นเวลา 72 ชั่วโมง เป็นหนึ่งในกลไกลดระดับความตึงเครียดตามแนวชายแดน เพื่อมุ่งสู่การยุติการปะทะอย่างถาวรและสันติภาพที่ยั่งยืน โดยย้ำชัดว่าไม่กระทบสิทธิหรืออธิปไตยของประเทศแต่อย่างใด ขณะที่กำลังทหารในพื้นที่ยังคงตรึงกำลัง เฝ้าระวัง และปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคงอย่างเต็มขีดความสามารถ


สำหรับการตัดสินใจดังกล่าวเป็นไปบนพื้นฐาน “ผลประโยชน์ของชาติและความปลอดภัยของประชาชน” โดยไทยยังคงรักษาศักดิ์ศรีและอธิปไตยครบถ้วน การรับฟังข้อเสนอจากมิตรประเทศถือเป็นเรื่องปกติในเวทีระหว่างประเทศ แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายเป็นของไทย ไม่ได้เกิดจากแรงกดดันจากภายนอก

ต่อข้อกังวลว่าอีกฝ่ายอาจใช้ช่วงหยุดยิงเพื่อเสริมกำลัง รัฐบาลระบุว่าได้กำหนดมาตรการเฝ้าตรวจและติดตามอย่างเข้มงวด ทั้งด้านการข่าวและการลาดตระเวน หากพบความเคลื่อนไหวผิดปกติจะมีการบันทึกหลักฐานและดำเนินการตามขั้นตอนทันที พร้อมยืนยันว่าหากมีการละเมิดการหยุดยิง ไทยจะรายงานผ่านกลไกที่ตกลงกันไว้ และยังคงสงวนสิทธิในการป้องกันตนเอง โดยการตอบโต้จะยึดหลักความจำเป็นและความได้สัดส่วน เพื่อลดความเสี่ยงต่อประชาชนและไม่เปิดช่องให้เกิดการบิดเบือนในเวทีสากล

รัฐบาลย้ำหลักการยึด “ตำแหน่งปัจจุบัน” ในการควบคุมพื้นที่อย่างชัดเจน มีการบันทึกพิกัด เหตุการณ์ และหลักฐานการเคลื่อนไหวทุกกรณี เพื่อคุ้มครองสิทธิของไทยทั้งในภาคสนามและในโต๊ะเจรจา

สำหรับกรอบเวลา 72 ชั่วโมง เป็นช่วงเวลาที่สั้นพอให้ควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ยาวพอสำหรับภารกิจเร่งด่วน อาทิ การตรวจสอบสถานการณ์จริง การช่วยเหลือประชาชน การจัดการความปลอดภัย และเปิดช่องให้กลไกการเจรจาทำงานโดยไม่ให้สถานการณ์ลุกลาม

การหยุดยิงครั้งนี้เป็น “ทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์” เพื่อรักษาชีวิตประชาชน คงความชอบธรรมในสายตานานาชาติ และเปิดพื้นที่ให้การทูตเดินหน้า ขณะที่ความพร้อมทางทหารของไทยยังคงอยู่ครบถ้วน เป้าหมายหลักของการปฏิบัติการคือการปกป้องอธิปไตย ลดภัยคุกคาม และคุ้มครองประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาไทยสามารถควบคุมพื้นที่สำคัญได้แล้ว การหยุดยิงจึงไม่ใช่การยุติการป้องกันประเทศ แต่เป็นการลดการปะทะเพื่อประเมินผลและกำหนดก้าวถัดไปอย่างรอบคอบ

ด้านความปลอดภัยของประชาชน รัฐบาลย้ำว่าเป็นสิ่งที่ให้ความสำคัญสูงสุด มีการเพิ่มการลาดตระเวน การเฝ้าระวัง และระบบแจ้งเตือนตามระดับความเสี่ยง การหยุดยิงไม่ได้หมายถึงการเปิดพื้นที่โดยอัตโนมัติ พร้อมเตรียมแผนฉุกเฉินรองรับ ทั้งการอพยพ การแพทย์ฉุกเฉิน ศูนย์พักพิง และการประสานงานหน่วยงานในพื้นที่

ประชาชนสามารถทยอยกลับเข้าพื้นที่และเริ่มต้นทำมาหากินได้ตามขั้นตอน โดยต้องผ่านการประเมินความปลอดภัยเป็นจุดต่อจุด เช่น การตรวจสอบทุ่นระเบิด วัตถุระเบิดตกค้าง และความเสี่ยงจากการปะทะซ้ำ ขณะเดียวกันทางการได้เพิ่มมาตรการคุ้มครองทรัพย์สิน ตั้งจุดตรวจ และเปิดช่องทางร้องเรียน พร้อมมาตรการเยียวยาตามกฎหมาย

ต่อประเด็นความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้าม รัฐบาลระบุว่าใช้ระบบที่ “ตรวจสอบได้” มากกว่าอาศัยความเชื่อใจ โดยยึดหลักฐานและข้อเท็จจริงเป็นสำคัญ มีกลไกบันทึกเหตุการณ์ รายงานตามลำดับชั้น และใช้คณะกรรมการหรือช่องทางที่ตกลงกันไว้ หากเกิดปัญหาจะยกระดับเข้าสู่กระบวนการเจรจา พร้อมเตรียมรับมือสงครามข้อมูลข่าวสารด้วยการสื่อสารเชิงรุก ยืนยันข้อเท็จจริงตามมาตรฐานสากล

ในเชิงการเมือง รัฐบาลย้ำว่าการตัดสินใจทั้งหมดเป็นการทำงานร่วมกันของรัฐบาลและกองทัพ ภายใต้เป้าหมายเดียวกันคือความปลอดภัยของประชาชนและการรักษาอธิปไตย ยืนยันไม่มีข้อตกลงลับหรือเงื่อนไขแฝงที่กระทบต่ออธิปไตย พร้อมชี้แจงต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่องเท่าที่ไม่กระทบความมั่นคง และรัฐบาลพร้อมรับผิดชอบทางนโยบายตามระบบ หากเกิดผลกระทบจะมีการประเมินและปรับมาตรการเป็นระยะ

ด้านบทบาทนานาชาติ ไทยยินดีต่อการสนับสนุนเชิงสร้างสรรค์ในกรอบที่เคารพอธิปไตย การยุติการปะทะเพื่อคุ้มครองประชาชนช่วยเสริมความน่าเชื่อถือของไทยในเวทีโลก และลดการบิดเบือนข้อมูล ภาพลักษณ์ไทยจึงถูกมองว่า “เข้มแข็งแต่รับผิดชอบ” และให้ความสำคัญกับมนุษยธรรมควบคู่หลักสากล

หลังครบกำหนด 72 ชั่วโมง จะมีการประเมินสถานการณ์บนพื้นฐานข้อเท็จจริง เพื่อกำหนดแนวทางต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการขยายมาตรการลดความตึงเครียด การปรับการคุ้มครองประชาชน หรือกลับสู่การปฏิบัติหากจำเป็น โดยย้ำว่าไทยยังคงความพร้อมตลอดเวลา หากการเจรจาล้มเหลวหรือมีการละเมิด ไทยมีสิทธิและความพร้อมดำเนินการตามกรอบกฎหมายและหลักสากล

ทั้งนี้ เส้นแดงของไทยคือการละเมิดอธิปไตย การคุกคามประชาชน และการใช้กำลังโจมตีเป้าหมายที่ไม่ใช่ทางทหาร ไทยไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงในพื้นที่ด้วยการยั่วยุหรือการแทรกซึม

จากผลการประชุม GBC เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2568 ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้พลเรือนในพื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบสามารถกลับสู่ที่อยู่อาศัยและประกอบอาชีพภายในฝั่งของตนเองได้โดยเร็ว ภายใต้ความปลอดภัยและศักดิ์ศรี โดยไม่พบการยิงหรือการยั่วยุ สถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้น ทางการขอให้ประชาชนปฏิบัติตามแผนที่จังหวัดกำหนด และติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top