วันอาทิตย์ ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2568
'บิ๊กเล็ก’ชี้เซ็นหยุดยิงวัดใจเขมร
ไม่ใช่ยอมจำนน!
ทภ.2ลั่นทหารควบคุมทุกพื้นที่
ยึดอธิปไตยไทยคืนได้หมด
ยุทธศาสตร์รักษาชีวิตปชช.
ไฟเขียวปชช.กลับภูมิลำเนา
“บิ๊กเล็ก” ชี้หยุดยิงแบบมีเงื่อนไข ทดสอบความจริงใจ โดยการกระทำยุติเป็นปรปักษ์ ไม่ใช่แค่คำพูด ด้านกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ชายแดน ช่วงเช้า 27 ธันวาคม ถึงเที่ยงมีการปะทะหนักในหลายพื้นที่ ก่อนสั่งหยุดยิงเที่ยงวัน ลั่นทหารไทยควบคุมได้ทั้งหมดทุกพื้นที่ ที่เป็นของประเทศไทยที่ยึดคืนกลับมาได้ ขณะที่ชาวบ้านและแม่ค้าชายแดน ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ที่เริ่มกลับเข้าไปค้าขาย และทำมาหากินในพื้นที่ ต่างไม่เชื่อกัมพูชาว่าจะหยุดยิงจริง
เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม หลังประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย–กัมพูชา สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคมที่ผ่านมาพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม เปิดเผยถึงข้อตกลงการหยุดยิงและจุดยืนของประเทศไทย โดยย้ำว่าการหยุดยิงครั้งนี้ไม่ใช่การยอมจำนน แต่เป็นการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์เพื่อพิสูจน์ความจริงใจของอีกฝ่าย
หยุดยิงมีเงื่อนไขทดสอบเขมรทำได้จริงหรือไม่
รมว.กลาโหมระบุว่า ไทยเห็นชอบ “การหยุดยิงแบบมีเงื่อนไข” เพื่อทดสอบว่าอีกฝ่ายสามารถยุติการใช้อาวุธและการคุกคามได้จริงหรือไม่ พร้อมย้ำว่า ความสงบต้องวัดจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่จริง ไม่ใช่จากคำประกาศหรือถ้อยแถลงฝ่ายเดียว สำหรับกรอบการหยุดยิง ทั้งสองฝ่ายตกลงให้มีผลพร้อมกันตั้งแต่เวลา 12.00 น. ของวันที่ 27 ธันวาคม โดยกำหนดให้คงกำลังในที่ตั้งปัจจุบัน ห้ามเคลื่อนย้ายหรือเสริมกำลัง ห้ามโจมตี ยั่วยุ หรือคุกคามซึ่งกันและกัน และจะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างน้อย 72 ชั่วโมง เพื่อยืนยันว่าการหยุดยิงเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง
“หากการหยุดยิงไม่เกิดขึ้นจริง หรือมีการละเมิดข้อตกลง ไทยยังคงมีสิทธิชอบธรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศในการป้องกันตนเอง โดยการใช้กำลังจะอยู่ภายใต้หลักความจำเป็น ความได้สัดส่วน และการคุ้มครองประชาชนเป็นสำคัญ”รมว.กลาโหมกล่าวย้ำ
ย้ำทดสอบความจริงใจยันสิ้นสุดเป็นปรปักษ์
ในประเด็นความไว้วางใจ รมว.กลาโหม ระบุว่า การหยุดยิงครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องการเชื่อใจ แต่เป็นเรื่องของการตรวจสอบความจริงใจ โดยไทยยึดหลักว่าการสิ้นสุดความเป็นปรปักษ์ต้องสะท้อนผ่านการกระทำ ไม่ใช่เพียงคำพูด สำหรับประชาชนในพื้นที่ชายแดน การกลับเข้าที่อยู่อาศัยจะเกิดขึ้นได้เมื่อการหยุดยิงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์สงบ และได้รับการยืนยันด้านความปลอดภัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยรัฐจะดูแลและสนับสนุนการกลับเข้าพื้นที่อย่างรอบคอบเป็นขั้นตอน
ด้านมาตรการด้านมนุษยธรรม ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้เก็บกู้ทุ่นระเบิดผ่านกลไกความร่วมมือร่วม (JCTF) เพื่อให้พื้นที่ปลอดภัยก่อนจะเข้าสู่กระบวนการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในอนาคต โดยย้ำว่าต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ โปร่งใสและปลอดภัย การติดตามและตรวจสอบการหยุดยิงจะมีกลไกหลายระดับ ทั้งผู้สังเกตการณ์ในระดับภูมิภาค เช่น อาเซียน และกลไกระดับพื้นที่อย่างสำนักงานประสานงานชายแดนไทย–กัมพูชา เพื่อยืนยันข้อเท็จจริงและลดความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่ความตึงเครียดซ้ำ
หยุดยิงไม่กระทบศักดิ์ศรี-อธิปไตยของไทย
รมว.กลาโหมยืนยันว่า การหยุดยิงครั้งนี้ไม่กระทบต่อศักดิ์ศรีหรืออธิปไตยของไทย ทุกการตัดสินใจยึดความปลอดภัยของประชาชนและศักดิ์ศรีของชาติเป็นหลักสูงสุด รัฐบาลย้ำว่า จะดูแลทหารและประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ ทั้งด้านสิทธิ สวัสดิการ การเยียวยา รวมถึงการดูแลครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ และการฟื้นฟูกำลังพลหลังการปฏิบัติภารกิจอย่างจริงจัง
ทภ.2สรุปปะทะชายแดนหนักก่อนหยุดยิงเที่ยง
กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) สรุปสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ตลอดช่วงเช้ามีการปะทะด้วยอาวุธยิงสนับสนุนหลายพื้นที่ โดยเฉพาะแนวจ.อุบลราชธานี และ จ.ศรีสะเกษ ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะมีคำสั่ง “หยุดยิง” พร้อมกันหลังเวลา 12.00 น. ส่งผลให้สถานการณ์โดยรวมคลี่คลายลง
ชายแดนจังหวัดอุบลราชธานีพื้นที่ช่องบก ช่วงเช้าฝ่ายตรงข้ามใช้อาวุธยิงสนับสนุนและจรวดหลายลำกล้องจากด้านหลังเนิน 745 ฝ่ายไทยตรึงกำลังรับมือ ก่อนมีคำสั่งหยุดยิงช่วงเที่ยง ขณะที่พื้นที่ช่องอานม้าไม่พบความเคลื่อนไหวสำคัญ และเข้าสู่ภาวะหยุดยิงเช่นเดียวกัน
ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ จุดปะทะหนาแน่น แนวซำแต–โดนตรวล–ภูผี–สัตตะโสม–พนมประสิทธิโส–ช่องตาเฒ่า มีการยิงตอบโต้กันต่อเนื่อง ฝ่ายไทยใช้อาวุธยิงต่อต้านที่ตั้งฝ่ายตรงข้าม พื้นที่สัตตะโสมมีกำลังพลไทยได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิด 1 นาย แม้ไม่มีการรุกภาคพื้นขนาดใหญ่ แต่พบความพยายามแทรกซึมเป็นระยะ หลังหยุดยิงยังตรวจพบการเคลื่อนไหวบางจุด
แนวผามออีแดง–ห้วยตามาเรีย พบการระดมยิงจากฝั่งตรงข้าม ฝ่ายไทยตอบโต้ด้วยการรวมอำนาจการยิงหลายระลอก มีกำลังพลได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดและแรงอัดหลายราย และหลังหยุดยิงยังพบความเคลื่อนไหวกำลังพลและยานพาหนะใกล้ปากช่องคานม้าและวัดแก้ว
ไทยคุมได้ทุกพื้นที่-ยึดอธิปไตยคืนได้ทั้งหมด
พื้นที่ภูมะเขือ–ช่องโดนเอาว์–พลาญยาว–พลาญหินแปดก้อน ฝ่ายตรงข้ามโจมตีจากช่องโดนเอาว์และพยายามแทรกซึมหลายครั้ง ฝ่ายไทยใช้การยิงสกัด ทำให้แนวที่มั่นไม่เปลี่ยนแปลงหลังเข้าสู่ห้วงหยุดยิง
ส่วนพื้นที่ช่องสะงำ แม้ไม่พบความเคลื่อนไหวภาคพื้นสำคัญ แต่ตรวจพบโดรนจำนวนมากตั้งแต่เช้ามืด ฝ่ายไทยใช้อากาศยาน รถถัง และโดรนโจมตีเป้าหมาย รวมถึงเกิดการปะทะเป็นช่วง ๆ
ชายแดนจังหวัดสุรินทร์–บุรีรัมย์ สถานการณ์ทรงตัว หลายพื้นที่ใน จ.สุรินทร์ อาทิ ช่องจอม ช่องเปรอ ช่องระยี คนา ตาควาย เนิน 350 ช่องกร่าง และตาเมือนธม ไม่พบความเคลื่อนไหวสำคัญ และอยู่ในภาวะหยุดยิงหลังเที่ยงวัน โดยภาพรวมยังเป็นการกดดันด้วยอาวุธยิงไกล ไม่มีการเข้าตีประชิดชัดเจน ขณะที่ จ.บุรีรัมย์ พื้นที่ช่องสายตะกู สถานการณ์สงบและตรึงกำลังเดิม
“ภาพรวมสถานการณ์ตลอดทั้งวัน การปะทะรุนแรงเกิดขึ้นตั้งแต่เช้ามืดจนถึงช่วงเที่ยง โดยเฉพาะแนวเขาพระวิหาร–ผามออีแดง–ภูมะเขือ และแนวช่องบก–ช่องอานม้า ก่อนที่คำสั่งหยุดยิงหลังเวลา 12.00 น. วันที่ 27 ธ.ค.68 จึงทำให้ความรุนแรงลดลงอย่างชัดเจนและสถานการณ์เข้าสู่ภาวะที่ไทยควบคุมได้ทั้งหมดทุกพื้นที่ ที่เป็นพื้นที่ของไทย เราสามารถยึดคืนกลับมาได้”รายงานกองทัพภาคที่2ระบุ
ทภ.2ให้ปชช.กลับภูมิลำเนาได้แล้ว
ช่วงบ่ายวันเดียวกัน ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก “กองทัพภาคที่ 2” ได้โพสต์ข้อความระบุว่า “ประกาศสถานการณ์” จากเหตุการณ์การสู้รบที่ผ่านมาขณะนี้สถานการณ์ได้คลี่คลายลงแล้วกองทัพภาคที่ 2 แจ้งประชาชนสามารถเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนา และที่พักอาศัยได้ตามปกติโดยขอให้ใช้ความระมัดระวัง และคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 2 ยังคงปฏิบัติภารกิจด้วยความมุ่งมั่นและเต็มกำลัง ในการปป้องอธิปไตยของชาติ รวมถึงดูแลรักษาความปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยั้ง
ชาวบ้านไม่เชื่อเขมรหยุดยิงจริง
ชาวบ้านและพ่อค้าแม่ค้าในอำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 4 อำเภอของจังหวัดบุรีรัมย์ ที่จังหวัดมีคำสั่งให้ประชาชนอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย ช่วงที่มีการสู้รบระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็เริ่มกลับไปใช้ชีวิตและประกอบอาชีพทำมาหากินที่บ้าน และเปิดร้านค้าขายของกันแล้ว หลังจากสถานการณ์ยิงปะทะตามแนวรบในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ เบาบางลง แต่ส่วนใหญ่ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ายังใช้ชีวิตแบบหวาดระแวงและไม่สบายใจ แต่ก็ต้องยอมเสี่ยงกลับไปประกอบอาชีพเพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัวและหาเงินชำระหนี้สิน
ทั้งนี้ ชาวบ้านชายแดนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ที่มีการเจรจาหยุดยิงในเวที GBC เพราะไม่เชื่อใจกัมพูชา ว่าจะทำตามข้อตกลงจริง หลายคนยิ่งกังวลว่าข้อตกลงเจรจาหยุดยิง 72 ชั่วโมง กลับจะยิ่งเปิดโอกาสให้ทางฝั่งกัมพูชาเติมอาวุธและกำลังพล มาตลบหลังถล่มทหารไทยและพื้นที่พลเรือนมากกว่า และหากมีการปะทะรอบ 3 อาจจะเกิดการสูญเสียมากกว่าเดิม
ชี้เปิดโอกาสให้เขมรเติมอาวุธ
นางสาวแสงเดือน ไสยลา แม่ค้าขายของชำใน อ.ละหานทราย บอกว่า ในฐานะคนชายแดนก็ไม่เชื่อเลยว่ากัมพูชาจะหยุดยิงจริง ตามที่มีการทำข้อตกลงในเวที GBC ล่าสุด เพราะที่ผ่านมากัมพูชาก็ไม่เคยทำตามข้อตกลงอะไรเลย ส่วนตัวมองว่าจะยิ่งเปิดโอกาสให้กัมพูชาเติมอาวุธมากกว่า เหมือนครั้งก่อนที่มีการสู้รบกันพอไทยจะได้เปรียบก็มีการเจรจาหยุดยิง ทั้งที่ในหัวใจคนชายแดนไม่อยากให้เจรจาเลยอยากให้ทหารจัดการให้จบๆ ชาวบ้านก็พร้อมอพยพเปิดทางให้แล้ว เพราะไม่อยากให้สู้รบรอบที่ 4 อีก การอพยพแต่ละครั้งเดือดร้อนมาก แต่สิ่งที่ชาวบ้านจะเชื่อคือกัมพูชาต้องประกาศยกธงขาวยอมแพ้ให้ชาวโลกรับรู้ ว่าจะไม่ยิงปะทะไทยอีก ชาวบ้านถึงจะมั่นใจ ก็ขอบคุณทหารทุกนายที่เสียสละต่อสู้ปกป้องแผ่นดิน
เช่นเดียวกับ นางสมทรง บอกว่า ไม่เชื่อว่าเขมรจะหยุดยิงตามที่ทำข้อตกลงเพราะเขมรไว้ใจเคยได้ แต่ที่ตัดสินใจกลับมาเพราะต้องทำมาหากิน เนื่องจากอพยพไปอยู่ศูนย์พักพิงหลายวันแล้วขาดรายได้ ก็อยู่ท่ามกลางความเสี่ยงหวาดระแวง แต่การเจรจาหยุดยิงครั้งนี้ก็ยังไม่เชื่อใจอยู่ดี เป็นไปได้อยากให้ทหารรบให้จบเบ็ดเสร็จ ให้จบที่รุ่นเราจะได้ไม่ต้องเกิดปัญหากับรุ่นลูกหลานอีก
ผบ.ทร.สั่งคุมจุดยุทธศาสตร์ตราด24ชม.
ด้านพลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า ตามที่ไทยและกัมพูชาเจรจาในกรอบคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) และมีข้อตกลงร่วมกันในการดำเนินมาตรการหยุดยิงภายในวันที่ 27 ธันวาคม เวลา 12.00 น. รวมถึงการลดระดับความตึงเครียดในพื้นที่ชายแดนนั้น กองทัพเรือรับทราบผลเจรจาดังกล่าว และพร้อมปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลไทยอย่างเคร่งครัด โดยยึดหลักการลดการเผชิญหน้าเพื่อรักษาเสถียรภาพ ความปลอดภัยของประชาชน และสันติภาพในพื้นที่ชายแดนเป็นสำคัญขณะเดียวกัน พลเรือเอก ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้สั่งให้วางกำลังการควบคุมพื้นที่ และการรักษาความมั่นคงในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างรัดกุม พร้อมเฝ้าติดตามสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันและตรวจสอบการกระทำที่อาจเป็นการละเมิดข้อตกลงหรือกระทบต่ออธิปไตยของประเทศไทย
กองทัพเรือเน้นย้ำว่า มาตรการหยุดยิงดังกล่าว ไม่ใช่การลดความพร้อมทางทหาร แต่เป็นการบริหารสถานการณ์ตามกรอบการทูตและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยกองทัพเรือยังดำรงความพร้อม ทั้งกำลังรบและกำลังสนับสนุนไว้ในพื้นที่ตามเดิม เพื่อเตรียมรับสถานการณ์หากมีการเปลี่ยนแปลงหรือมีการละเมิดข้อตกลงเกิดขึ้น
พลเรือเอก ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ฝากถึงประชาชน ขอให้เชื่อมั่นว่ากำลังพลกองทัพเรือทุกนายจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ และพร้อมปกป้องอธิปไตย ความมั่นคง และผลประโยชน์ของชาติอย่างถึงที่สุด
กองทัพลั่นถ้าเขมรเติมของมีแผนรับมือ
เวลา 14.00 น.ที่ศูนย์อำนวยการร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาพลอากาศเอก ประภาส สอนใจดี ผู้อำนวยการศูนย์ ฯ กล่าวถึงความกังวลกรณีกัมพูชาจะเสริมกำลังอาวุธ จากการเผยแพร่ภาพเครื่องบินขนส่ง จากประเทศเบลารุส บินกรุงพนมเปญหลังมีการลงนามในแถลงการณ์หยุดยิงว่ากรณีที่เป็นข่าว มีการวิเคราะห์ไปต่างๆนานาก็ขอให้เชื่อมั่นในกองทัพอากาศซึ่งเราทราบว่าจุดเริ่มต้นมาจากไหน ปลายทางไปถึงจุดไหน ผ่านประเทศอะไรบ้าง และเครื่องบินลำนี้บรรทุกได้เท่าไหร่ มีพิสัยบินเท่าไหร่และมีควรมีอะไรบรรทุกอยู่ ในนั้นบ้าง ซึ่งเราดำเนินการต่อในแง่ของข่าวกรอง
“ขอให้มั่นใจว่าแม้จะมีอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเติมกำลัง หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้ามีการใช้ขึ้นมาเรามีมาตรการป้องกัน ดูแลประชาชน บางครั้งอาจเป็นข่าวที่เป็นข้อสงสัย ก็ส่งมาหลังไมค์สอบถามได้ ซึ่งเราพร้อมจะตอบ ซึ่งมีรายละเอียดมากกว่านี้ที่เราจะให้ข้อเท็จจริงได้ ยืนยันว่าไม่ได้มีภัยคุกคามอะไร บางทีลือ หรือวิพากษ์วิจารณ์กันไป อาจจะเกิดการวิตกกังวลใจ ตอนนี้เราต้องการสร้างบรรยากาศในเรื่องของการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน และการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมซึ่งประชาชนสองประเทศได้รับผลกระทบ พร้อมเดินหน้าไปตามแถลงการณ์ดังกล่าว เพื่อนำไปสู่สันติสุขอย่างยั่งยืน“พลอากาศเอกประภาสกล่าว
ทอ.จับตาเครื่องบินขนส่งสินค้าไปพนมเปญ
นาวาอากาศโท ณัฐนัย จันทร์เปล่งผู้ช่วยโฆษกกองทัพอากาศ กล่าวว่า สำหรับ เครื่องบินขนส่งสินค้าIL62M ที่เดินทางไปที่กรุงพนมเปญนั้น ทางกองทัพอากาศติดตามความเคลื่อนไหวของเที่ยวบินนี้ใกล้ชิด ขอแสดงความเชื่อมั่นกับประชาชนว่ากองทัพอากาศยังเตรียมความพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง หากมีเหตุการณ์ขึ้น กองทัพอากาศก็ยังมีความพร้อม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจarmy military force ระบุว่า เมื่อเวลา 11:00 น. วันนี้ (28 ธันวาคม 2568) เครื่องบินขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ (Cargo) Boeing 747-4FTF (400F) ไฟล์ทCAO10903 ทะเบียน B-2475 ของสายการบิน Air China ได้ลงจอด ณ สนามบินนานาชาติเตโช จังหวัดกันดาล โดยมีรายงานว่าเที่ยวบินดังกล่าวบินตรงมาจากนครเซี่ยงไฮ้ มุ่งหน้าสู่พนมเปญ ในเวลาต่อมา รัฐบาลจีนได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ได้จัดส่ง “ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมฉุกเฉิน” ให้แก่รัฐบาลกัมพูชา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี