บทความพิเศษ : วิถีชีวิตชาวนา กับ ประสบการณ์นอกห้องเรียน

บทความพิเศษ : วิถีชีวิตชาวนา กับ ประสบการณ์นอกห้องเรียน

วันจันทร์ ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557, 06.00 น.
Tag :

 

 


นักศึกษา ม.หาดใหญ่ เรียนรู้วิธีการทำนา

ระบบการศึกษาของไทยมุ่งเน้นวิชาการในห้องเรียนตามระเบียบวิธีการปฏิบัติมาช้านาน มีบ้างบางครั้งบางคราวออกไปเสาะแสวงหาจากภายนอกห้องเรียน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับอาจารย์ผู้สอน จากการวิจัยพบว่าในระดับอุดมศึกษา นักศึกษาส่วนใหญ่มีความสนใจการศึกษานอกระบบหรือการศึกษานอกห้องเรียนอยู่ไม่น้อย จึงขอเล่าประสบการณ์การเรียนการสอนนอกห้องเรียน ในรายวิชา การคิดวิเคราะห์ รายวิชาเศรษฐกิจพอเพียง ที่มีการจัดการเรียนการสอนให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยหาดใหญ่

ซึ่งมีการทดลองปฏิบัติจริงหลังจากที่มีการเรียนการสอนในภาคทฤษฎีในห้องเรียนกันมาแล้ว ก่อนสอบปลายภาคการศึกษาได้พาคณะนักศึกษาและคณะอาจารย์ผู้สอนออกเดินทางไปหาประสบการณ์ใหม่นอกห้องเรียน ภายใต้แนวคิด “ประโยชน์สูงสุด ประหยัดสุดสุด” ในที่สุดแนวคิดร่วมกันของนักศึกษาและคณาจารย์ ก็ตกผลึกเป็นโครงการ “นั่งรถไฟฟรี ไปเกี่ยวข้าวที่พัทลุง”

เราเริ่มจากเขียนหนังสือไปถึงนายสถานีรถไฟหาดใหญ่อารัมภบทว่าจะมีคณะนักศึกษาและอาจารย์จำนวนประมาณ 200 คน ขอนั่งรถไฟฟรี (ตามนโยบายประชานิยม) ไปและกลับในวันเดียวกันเวลาเดินทาง 06.30 น. เวลากลับ 16.30 น. ใช้รถไฟขบวนท้องถิ่น นายสถานีรถไฟตอบกลับ มีความยินดีออกตั๋วให้ทั้งไปและกลับตามคำขอ แถมจัดโบกี้เพิ่มอีก 2 โบกี้ เพื่อจะได้ไม่กระทบกับผู้โดยสารหลักที่ใช้รถไฟเป็นประจำ

ระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร จากสถานีหาดใหญ่ ถึงสถานีปลายทางบ้านต้นโดน อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ผ่านสถานีรถไฟทั้งหมด 13 สถานี แวะจอดทุกสถานี (รถไฟฟรีขบวนท้องถิ่นจอดทุกสถานีเป็นการให้บริการที่มุ่งเน้นให้ประชาชนในท้องถิ่น) ระหว่างเส้นทางนักศึกษากว่า 200 ชีวิต ต่างตื่นเต้น และมีความสุขสนุกสนานเป็นอย่างมากกับการเดินทางในครั้งนี้

แทบไม่น่าเชื่อว่าร้อยละ 90 ของผู้ร่วมเดินทางในครั้งนี้ขึ้นรถไฟเป็นครั้งแรก นี่คือประสบการณ์ตรงที่ได้รับ สองข้างทางผ่านท้องไร่ท้องนา เห็นรวงข้าวเหลืองอร่ามยามมองผ่านหน้าต่างรถไฟ รวงข้าวที่สุกงอมเต็มเม็ดเต็มหน่วย รวงข้าวก็จะต่ำลงมามากกว่ารวงอื่นๆ

จึงเป็นที่มาของสุภาษิต หรือคำคมที่ว่า “ข้าวรวงงามย่อมโน้มต่ำ” เปรียบเทียบกับความอุดมสมบูรณ์ของแต่ละรวงข้าวแล้ว ย่อมนับได้ว่ารวงใดสวยงาม เปรียบเทียบกับบุคคล บุคคลใดมีสัมมาคารวะ นบน้อมถ่อมตน บุคคลนั้นย่อมเป็นที่นับหน้าถือตาของคนทั่วไป นี่คือคำสอนนอกห้องเรียนบนโบกี้รถไฟ นักศึกษาตั้งใจฟังกันเป็นอย่างดี ทุกคนล้วนร้อง..อ๋อ อ๋อ อ๋อ

ผมเคยคุยกับชาวญี่ปุ่นว่า ทำไมเวลาคนญี่ปุ่นคำนับ ทักทายถึงต้องคำนับโค้งศีรษะมาเกือบจะถึงเอวมากขนาดนั้น?ได้รับคำตอบว่าหากเป็นลูกค้าที่สำคัญหรือผู้ที่มีบุญคุณหรือผู้ที่เคารพนับถือ การขอบคุณหรือการคารวะคุณจะนอบน้อมด้วยการโค้งคำนับที่ต่ำลง ต่ำลงมากทีเดียวนี่ก็เป็นอีกประการหนึ่งของคำคมที่ว่า ข้าวรวงงาม ย่อมโน้มต่ำ

รถไฟวิ่งมาได้ประมาณ 2 ชั่วโมง ก็มาถึงสถานีปลายทางบ้านต้นโดน คณะเราลงสถานีนี้ ผู้ใหญ่บ้าน สมศักดิ์ ทองใสผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 15 บ้านควนกุฏ ตำบลควนมะพร้าว อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง มาคอยต้อนรับพร้อมชาวบ้านอีกกว่า 10 คน มีรถกระบะ และรถสองแถวอีก 8 คัน เดินทางต่อไปที่ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านควนกุฏ ประมาณ 5 กิโลเมตร

ณ ที่แห่งนี้ เหล่าคณะผู้ที่เดินทางต่างกระวีกระวาดเป็นที่สุด เพราะสิ่งที่เห็นและเราต้องปฏิบัติกันจริงๆ ในวันนี้คือนาข้าวที่อยู่ด้านหน้าเรา พวกเราจะต้องลงไปเกี่ยวข้าวด้วยตัวเอง เป็นการเกี่ยวข้าวแบบโบราณโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “แกละ” แกละเป็นเครื่องมือเกี่ยวข้าวที่นิยมใช้กันในภาคใต้ในอดีต เกี่ยวข้าวได้ทีละรวงสองรวง ซึ่งเปรียบเทียบกับยุคปัจจุบันแล้วค่อนข้างช้ามาก

เช่น นาข้าว 1 ไร่ หากใช้แกละเกี่ยวข้าว ต้องใช้คนลงแขกเกี่ยวประมาณ 10-15 คน ใช้เวลาประมาณ 1-2 วันด้วยซ้ำไป แต่สิ่งที่ได้คือรวงข้าวจะมัดเป็นฟ่อนๆ สวยงาม และเป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาที่สามารถคัดเลือกพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพดีไว้ปลูกในฤดูทำนาครั้งถัดไป หากใช้เครื่องจักรหรือรถเกี่ยวข้าว 1 ไร่ ใช้คน 3 คน ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ค่าจ้างรถเกี่ยวข้าวก็ไร่ละประมาณ 500-800 บาท ซึ่งถือว่ามีการนำเทคโนโลยีการเก็บเกี่ยวมาใช้ในงานเกษตรกรรม

ถึงตรงนี้ผู้ใหญ่บ้านต้อนรับ พร้อมเดินนำชมวิถีชีวิตของชาวนาที่พอเพียงและเพียงพอ วิถีชีวิตที่ผสมผสานกับความพอดี ปลูกทุกอย่างที่กินได้ เลี้ยงปลา ไก่ เป็ด วัว ควาย ทำโรงสีเองเป็นต้น ห้วงเวลาที่รอคอยก็มาถึงผู้ใหญ่สมศักดิ์ ทองใส สาธิตวิธีการใช้แกละเกี่ยวข้าว ให้พวกเราพอเข้าใจเสร็จสรรพ ก็ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่มละ 30 คนลงแปลงนาเพื่อเกี่ยวข้าว ตั้งเป้าหมายไว้ว่าทุกคนต้องได้ข้าวมาคนละ 1 ฟ่อน หรือ 1 มัด แล้วนำมาส่ง แล้วให้ผลัดต่อไปลงไปเกี่ยวข้าวสลับกันไป มีชาวบ้านประกบเป็นพี่เลี้ยง 1 ต่อ 4 คน

เผลอแป๊บเดียวชาวบ้านเกี่ยวได้ 1 ฟ่อนแล้ว ส่วนพวกเรายืนเก้ๆ กังๆยังได้ไม่ถึง 10 รวงเลย เห็นไหมเล่าครับ ชาวนาเหนื่อยยากขนาดไหนกว่าจะทำนาได้ข้าวมาให้เรากิน ต้องทนแดด ทนฝนหรือสุภาษิตที่ว่า “หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน” ปลูกข้าวให้เรากินนี่คือชาวนาไทย ต้องบอกเลยว่า นักศึกษาร้อยละ 98 ไม่เคยเหยียบผืนนาและไม่เคยเกี่ยวข้าวกันมาก่อนเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นของจริง ที่เห็นผิวคล้ำดำกร้าน ที่เห็นหยาดเหงื่อชโลมกายซึ่งชาวนาเปรียบประดุจ “ผู้ปิดทองหลังพระ” ข้าวที่ผลิตได้ถูกส่งไปขายต่างประเทศให้ชาวต่างชาติกินกันอย่างเอร็ดอร่อย

พวกเราต้องหันมาดูกันบ้าง ถึงตรงนี้ขอเขียนแบบเลี้ยวกลับ 360 องศา สักหน่อยเกี่ยวกับเรื่องการบ้านการเมืองเรื่องจำนำข้าว ของชาวนาไทย น่าเห็นใจยิ่งนัก น่าเห็นใจตรงที่ทำนาด้วยน้ำพักน้ำแรงด้วยความยากลำบาก ได้ข้าวแล้วนำไปฝากได้กลับมาเป็นใบประทวน ถึงฤดูทำนาใหม่อีกครั้ง ไม่มีทุน จะซื้อข้าวของเครื่องใช้มาทำนาใหม่อีกรอบ หนี้สินก็พะรุงพะรัง ดินพอกเป็นหางหมู

ก็ขอเป็นกระบอกเสียงป่าวประกาศไปถึงผู้ที่มีหน้าที่ในความรับผิดชอบ ช่วยเร่งรัดจัดการ ให้ชาวนาผู้เป็นกระดูกสันหลังของชาติ ได้ลืมตาอ้าปากกับเขาบ้างในเร็ววันนี้ด้วยนะครับ

 

 

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top