แนวหน้า มั่นคง ตรงไป ตรงมา...
■■ การสวดมนต์นั้น มุ่งปลูกศรัทธาและทำให้จิตสงบ แต่หากพิจารณาบทสวดมนต์ไปด้วยก็จะเกิดปัญญา ที่จริงระหว่างสวดมนต์ก็ดูจิตไปด้วยได้ เพราะบ่อยครั้งจิตอาจจะเผลอแวบคิดไปนอกตัว หรือออกจากปัจจุบันไป การดูจิตจะช่วยให้จิตกลับมา
อยู่กับการสวดมนต์ การสวดมนต์จึงสามารถเป็นการเจริญสติไปด้วยในตัว…(ข้อธรรม คำสอน ของพระไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต จังหวัดชัยภูมิ)...
■■ ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งของรัฐบาลไทยชุดปัจจุบันคือ ยังสื่อสารกันเองระหว่างคนในรัฐบาลไม่ชัดเจน แม้จะไม่ถึงต่างคนต่างพูด แต่ก็ต้องยอมรับว่าพูดไม่เป็นภาษาเดียวกัน วันหนึ่งกระทรวงสาธารณสุขไปทางหนึ่ง อีกวันหนึ่งกระทรวงคมนาคมก็ดูเสมือนไปอีกทางหนึ่ง ส่วนโฆษกรัฐบาลก็ถูกตั้งคำถามว่า ทำหน้าที่สื่อสารกับประชาชนได้ความหรือไม่ขอย้ำว่าเรื่องความเป็นเอกภาพในการทำงานของรัฐบาลคือภารกิจสำคัญของนายกรัฐมนตรี แล้วก็ต้องถามนายกรัฐมนตรีว่า ในยามที่ปัญหาโควิด-19 รุมเร้าสังคมไทย รัฐบาลสามารถทำให้คนไทยส่วนใหญ่มั่นใจกับรัฐบาลได้จริงหรือ...
■■ ในยามนี้แม้คนไทยจำนวนไม่น้อยจะออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนไทยทุกคนจะต้องการให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง แต่เพียงต้องการให้นายกรัฐมนตรีช่วยทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้คนไทยมั่นใจกับการทำงานของรัฐบาล แล้วที่สำคัญที่สุดคือขอให้รัฐบาลให้ข่าวสารข้อมูลที่ทันการณ์
กับประชาชน อย่าปล่อยให้โฆษกรัฐบาลพูดไปทางหนึ่ง แล้วผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครพูดในเรื่องเดียวกัน แต่ไปอีกทางหนึ่ง เพราะมันทำให้ประชาชนสับสน เมื่อประชาชนสับสนเพราะข้อความอันเกิดจากปากของคนมีอำนาจรัฐแล้ว ความโกลาหลจะบังเกิดขึ้น...
■■ ไม่ต้องดูอะไรมากมายเลยดูแค่เพียงวันเสาร์ที่ผ่านมาก็พอ หลังจากผู้ว่าฯกรุงเทพฯ พูดเรื่องปิดห้างสรรพสินค้า แล้วโฆษกรัฐบาลพูดในเวลาไล่เลี่ยกันแต่ดูแล้วเป็นคนละเรื่องกับที่ผู้ว่าฯกรุงเทพฯ พูด เพียงเท่านั้นความโกลาหลก็บังเกิดขึ้นในบัดดล เพราะคนจำนวนมากแห่กันไปซื้อของกันอย่างอลหม่านในห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่หลายแห่งในกรุงเทพฯ ส่งผลให้ผู้คนจำนวนมากเข้าไปแออัดยัดทะนานในห้างฯ บางคนก็แตกตื่นพากันขนซื้อข้าวของราวกับว่าจะไม่สามารถหาซื้อได้อีกต่อไป ขอถามตรงๆ ว่า ต้นเหตุที่ทำให้คนแตกตื่นมาจากใครกันแน่ ระหว่างข่าวลือกับข่าวที่มาจากปากของคนมีอำนาจรัฐ แต่ดันพูดกันคนละทิศละทาง...
■■ ใครก็ตามที่ติดตามดูการแถลงข่าว และการตอบคำถามของสื่อมวลชน ประจำวันระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลอเมริกา คงจะตอบได้ตรงกันว่า มันช่างห่างชั้นกันราวยอดเขาสูงสุดกับก้นเหวที่ลึกสุดๆ จะเห็นได้ชัดเจนว่ารัฐบาลอเมริกันนำโดยประธานาธิบดี แถลงข่าวโดยนำเอาทีมงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โควิด-19 มาตอบคำถามกับนักข่าวแบบเผชิญหน้ากัน ส่วนของไทยนั้นเน้นการให้รัฐบาลพูดเพียงฝ่ายเดียว แต่ที่น่าหนักใจมากคือคนที่พูดเพียงฝ่ายเดียวก็ดันพูดแล้วทำให้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าใจได้ เมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้ก็ทำให้คนไทยตั้งคำถามว่า นี่มันเป็นปัญหาของรัฐบาลหรือปัญหาของประชาชนกันแน่...
■■ มีผู้คนจำนวนไม่น้อยถามว่าทำไมสื่อมวลชนบางรายจึงชอบตั้งคำถามจับผิดรัฐบาล ก็ต้องขอถามกลับว่า เมื่อรัฐบาลถูกสื่อ ตั้งคำถามเรื่องทำไมประชาชนทั่วไปจึงหาซื้อหน้ากากอนามัยได้ยากลำบากมาก ประชาชนจำนวนไม่น้อยบอกว่าไม่สามารถหาซื้อหน้ากากอนามัยได้ รัฐบาลจะแก้ปัญหานี้อย่างไร คำถามเช่นนี้คือคำถามจับผิดรัฐบาลหรือ หรือรัฐบาลจะกล้าตอบว่า ใครๆ ก็หาซื้อหน้ากากอนามัยได้แสนสะดวก เพราะมีขายทุกที ราคาก็ไม่แพง...
■■ เมื่อโลกใบนี้ตกอยู่ในสถานการณ์ถูกโควิด-19 รุกราน รัฐบาลปักกิ่งก็แสดงบทพระเอกได้อย่างน่าประทับใจด้วยการประกาศส่งความช่วยเหลือด้านการแพทย์และส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปช่วยประเทศที่กำลังถูกเชื้อโรคตัวนี้เล่นงาน โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มยุโรปหลายประเทศ หลังจากประธานคณะกรรมาธิการยุโรป อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิร์น ออกมาประกาศเมื่อกลางเดือนมีนาคมว่า ห้ามสมาชิก EU ส่งอุปกรณ์การแพทย์ไปให้ประเทศที่ไม่ใช่สมาชิก EU เพราะต้องการเก็บอุปกรณ์การแพทย์ไว้ให้ประเทศสมาชิกเท่านั้น...
■■ เมื่อ EU แสดงความใจแคบเช่นนี้ ก็ทำให้รัฐบาลปักกิ่งใช้โอกาสนี้สร้างภาพลักษณ์ให้โลกปรากฏด้วยการประกาศส่งความช่วยเหลือไปให้เซอร์เบียทันทีเพราะเซอร์เบียยังไม่ได้เป็นสมาชิก EU แต่กำลังเผชิญกับมหันตภัยโควิด-19 แต่จะว่าไปแล้วแม้กระทั่งอิตาลีซึ่งเป็นสมาชิก EU ก็ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่ม EU ดังจะพบว่าทูตอิตาลีประจำ EU เมาริซิโอ มัสซารี แสดงความผิดหวังมากเมื่อ EU ปฏิเสธคำร้องขอจากคณะกรรมการ EU ที่ให้ส่งอุปกรณ์การแพทย์ไปช่วยเหลืออิตาลี แต่มีเพียงจีนเท่านั้นที่ให้ความช่วยเหลือ นี่เป็นเครื่องแสดงว่าไม่ใช่สัญญาณที่ดีของการรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวของ EU ในอนาคต...
■■ ปิดท้ายวันนี้ด้วยเรื่องการบินไทย สายการบินแห่งชาติที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวจนเกินจะเยียวยาได้อีกต่อไป ไม่ต้องถามว่าใครทำให้การบินไทยมีหนี้สิน เพราะคนที่ก่อหนี้สินให้การบินไทยก็คือ ผู้บริหารการบินไทย หรือว่าผู้บริหารการบินไทยจะกล้าปฏิเสธความรับผิดชอบ ถึงวันนี้แล้วต้องขอบอกตรงๆ ว่าการบินไทยมีอนาคตที่ไม่ดีเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องล่มสลายในบัดดล หากการบินไทยแก้ปัญหาภายในของตนเองได้ทันเวลา ปัญหาหนึ่งที่การบินไทยต้องทำทันที คือ ต้องไม่ยอมให้อำนาจใดๆ จากภายนอกเข้ามามีอิทธิพลเหนือการบินไทย อย่าลืมว่าการบินไทยถูกอำนาจรัฐแทรกแซงมาโดยตลอด เช่น การซื้อเครื่องบินสารพัดแบบ การซื้ออุปกรณ์ราคาสูงโดยไม่จำเป็น สิ่งเหล่านี้คนการบินไทยรู้ดีว่าใครออกคำสั่ง หากคนการบินไทยไม่สามารถยับยั้งคำสั่งสูบเลือดเช่นนี้ได้ แล้วไม่สามารถกระชากหน้ากากคนออกคำสั่งสามานย์ได้ ก็หมายความว่าการบินไทยรอวันตายทั้งกลม และถ้าหากผู้บริหารชุดปัจจุบันของการบินไทยยังเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว ยังไม่ยอมคายค่ารถพิเศษประจำเดือน เดือนละหลายหมื่น ไม่ยอมลดเงินเดือนหลักหลายแสนอย่างน้อยๆ 50 เปอร์เซ็นต์ แต่กลับหน้าทนเรียกร้องให้พนักงานระดับล่างยอมลดเงินเดือน แบบนี้เห็นทีจะต้องขับไล่ผู้นำหน้าทนเช่นนั้นออกไปให้หมดจากการบินไทยโดยเร็ว เพราะแค่สวมชุดดำไม่สามารถทำให้คนหน้าทนเกิดความสำเหนียกได้...■■
ธรรมกร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี